หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 131 (เล่ม 4)

เจ้าเป็นพราหมณ์ชั่ว ดังนี้, แม้ภิกษุนั้น พระวินัยธรพึงปรับด้วยอาบัติ
เหมือนกัน.
ก็ในวาระว่า สนฺติ อิเธกจฺเจ เป็นต้นนี้ เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะ
เป็นคำกล่าวกระทบกระทั่ง. แม้ในวาระว่า เย-นูน-น-มยํ ดังนี้เป็นต้น
ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ในอนุปสัมบัน เป็นทุกกฏอย่างเดียว ในวาระทั้ง ๔.
แต่ด้วยคำว่า โจโรสิ คณฺฐเภทโกสิ (เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนทำลายปม)
เป็นต้น ทุก ๆ วาระ เป็นทุกกฏเหมือนกัน ทั้งอุปสัมบันทั้งอนุปสัมบัน.
อนึ่ง เพราะความประสงค์จะเล่น เป็นทุพภาษิตทุก ๆ วาระ ทั้งอุปสัมบัน
ทั้งอนุปสัมบัน. ความเป็นผู้มีความประสงค์ในอันล้อเลียนและหัวเราะ ชื่อว่า
ความเป็นผู้มีความประสงค์จะเล่น ก็ในสิกขาบทนี้ เว้นภิกษุเสีย สัตว์ทั้งหมด
มีนางภิกษุณีเป็นต้น บัณฑิตพึงทิราบว่า ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอนุปสัมบัน.
ในคำว่า อตฺถปุเรกขารสฺส เป็นต้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้กล่าว
อรรถแห่งพระบาลี ชื่อว่า อัตถปุเรกขาระ (ผู้มุ่งอรรถ). ผู้บอกสอนพระบาลี
พึงทราบว่า ธัมมปุเรกขาระ (ผู้มุ่งธรรม). ผู้ตั้งอยู่ในการพร่ำสอน กล่าว
โดยนัยเป็นต้นว่า ถึงบัดนี้ เจ้าเป็นคนจัณฑาล, เจ้าก็อย่าได้ทำบาป, อย่าได้
เป็นคนมีมืดมามืดไปเป็นเบื้องหน้า ดังนี้, พึงทราบว่า ชื่อว่า อนุสาสนี-
ปุเรกขาระ (ผู้มุ่งสอน). บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน ๓ เกิดทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
แต่ในอาบัติเหล่านี้ อาบัติทุพภาษิต เกิดทางวาจากับจิต เป็นกิริยา
สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ อกุศลจิต มีเวทนา ๒ คือ สุขเวทนา ๑ อุเปกขา-
เวทนา ๑.
โอมสวาทสิกขาบทที่ ๒ จบ

131
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 132 (เล่ม 4)

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๒๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระฉัพพัคคีย์ เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ
ถึงวิวาทกัน ไปบอกคือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย
ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะ
เหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่
ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้เก็บเอา
คำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะถึงวิวาทกันไปบอก
คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น
แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยัง
ไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ไม่เพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอเก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความ
บาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกันไปบอก คือ ฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอก

132
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 133 (เล่ม 4)

แก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อ
ทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น
แล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ
ถึงวิวาทกันไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย
ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะ
เหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น การ
กระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๒.๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕๖] ที่ชื่อว่า ส่อเสียด ขยายความว่า วัตถุสำหรับเก็บมาส่อเสียด
มีได้ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ของคนผู้ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ของคนผู้
ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑.

133
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 134 (เล่ม 4)

ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ
ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลป ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑
อาบัติ ๑ คำด่า ๑.
บทภาชนีย์
ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่กำเนิด มี ๒ คือ กำเนิดทราม ๑ กำเนิดอุกฤษฎ์ ๑.
ที่ชื่อว่า กำเนิดทราม ได้แก่กำเนิดคนจัณฑาล กำเนิดคนจักสาน
กำเนิดพราน กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ นี่ชื่อว่ากำเนิดทราม.
ที่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์ ได้แก่กำเนิดกษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์
นี่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์. ฯลฯ*.
ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่ามี ๒ คำ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค
เป็นลา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง
ได้แต่ทุคติ คำด่าที่เกี่ยวด้วยยะอักษร ภะอักษร หรือนิมิตของชายและนิมิต
ของหญิง นี่ชื่อว่า คำด่าทราม.
ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด
เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง
ได้แต่สุคติ นี่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฎ์.
อุปสัมบันส่อเสียดอุปสัมบัน
พูดเหน็บแนมกระทบชาติทราม
[๒๕๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติคนจัณฑาล...
* ที่ ฯลฯ ไว้นี้ หมายถึง นาม โคตรเป็นต้น พึงดูในสิกขาบทที่ ๒ ข้อ ๑๘๘

134
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 135 (เล่ม 4)

ชาติคนจักสาน. . . ชาติพราน. . .ชาติคนช่างหนัง. . .ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์
[๒๕๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติกษัตริย์ . .
เป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่อทราม
[๒๕๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบัน ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อว่าอวกัณณกะ . . .
ชื่อชวกัณณกะ...ชื่อธนิฎฐกะ...ชื่อสวิฏฐกะ...ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์
[๒๖๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าชื่อพุทธรักขิต ...
ชื่อธัมมรักขิต . . .ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรทราม
[๒๖๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็น โกสิยโคตระ ...
ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์
[๒๖๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ ถูกเหน็บแนมท่านว่า เป็นโคตมโคตร...

135
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 136 (เล่ม 4)

โมคคัลลานโคตร . . .กัจจายนโคตร. . .วาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานทราม
[๒๖๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงาน
ช่างไม้. . . เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์
[๒๖๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานไถนา
. . . ทำงานค้าขาย . . . ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปทราม
[๒๖๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่าง
จักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . . .มีวิชาการช่างหนัง .. .
. . .มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปอุกฤษฏ์
[๒๖๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างนับ
. . .มีวิชาการช่างคำนวณ . . . มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

136
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 137 (เล่ม 4)

พูดเหน็บแนมกระทบโรคทราม
[๒๖๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเรื้อน...
โรคฝี. . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . .. โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์
[๒๖๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอำคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเบาหวาน
ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม
[๒๖๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนสูงเกินไป...
ต่ำเกินไป. . . ดำเกินไป.. .ขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
[๒๗๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนไม่สูงนัก...
ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก. . .ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม
[๒๗๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ถูกราคะกลุ้มรุม
. . .ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

137
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 138 (เล่ม 4)

พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
[๒๗๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ปราศจากราคะ
...ปราศจากโทสะ. . . ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติทราม
[๒๗๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ต้องอาบัติ
ปาราชิก . . . อาบัติสังฆาทิเสส . . .อาบัติถุลลัจจัย . . .อาบัติปาจิตตีย์. . . อาบัติ
ปาฎิเทสนียะ . . .อาบัติทุกกฏ. . .อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
[๒๗๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ต้องโสดาบัติ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม
[๒๗๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นอูฐ. . .เป็นแพะ
.... เป็นโค . . . เป็นลา. . . . เป็นสัตว์ดิรัจฉาน . . . เป็นสัตว์นรก สุคติของท่าน
ไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
[๒๗๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นบัณฑิต . . .เป็น

138
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 139 (เล่ม 4)

คนฉลาด . . . เป็นคนมีปัญญา. . . เป็นพหูสูต. . . เป็นธรรมกถึก ทุคติของ
ท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[๒๗๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล .. . เป็นชาติคนจักสาน .. . เป็นชาติพราน
...เป็นชาติคนช่างหนัง. .. เป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่
ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
[๒๗๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์. . . ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกชื่ออวกัณณกะ . . . ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ . ..
ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

139
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 140 (เล่ม 4)

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกชี่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ
นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโกสิยโคตร . . . เป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่า
คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโคตมโคตร . . . บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร . . . บางพวกเป็น
กัจจายนโคตร . . . บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น
ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นคนทำงานช่างไม้. .. เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ
นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด

140