No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 255 (เล่ม 47)

ว่าน้ำเป็นต้นนั้น เป็นเครื่องใช้ของมนุษย์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงบูชายัญเถิด
ราชสมบัติของพระองค์มีมาก ขอเชิญพระองค์ทรงบูชายัญเถิด พระราชทรัพย์
ของพระองค์ก็มีมาก.
ถามว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร ?
ตอบว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า พวกพราหมณ์ทั้งหลายทูลว่า ข้า
แต่มหาบพิตร แม่โคเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การใช้ของมนุษย์ทั้งหลาย เหมือน
กับน้ำ ถึงการนำไปใช้เพื่อสัตว์ทั้งหลาย ในกิจการทั้งปวง มีล้างมือเป็นต้น
ฉะนั้น บาปเพราะการฆ่าแม่โคเหล่านั้นย่อมไม่มี เพราะเหตุไร ? เพราะโค
นั้นเป็นเครื่องใช้ (บริกขาร) คือว่าเกิดขึ้นเพื่ออุปกรณ์ของสัตว์ทั้งหลายคือว่าโค
ทั้งหลายเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การนำไปใช้สอยในกิจการทั้งหลายของมนุษย์
ทั้งหลาย เหมือนแผ่นดินใหญ่นี้ ถึงการนำไปใช้ในกิจการทั้งปวง มีการเดิน
และการยืนเป็นต้น เหมือนเงินกล่าวคือกหาปณะ ทรัพย์อันต่างด้วยทองและ
เงินเป็นต้น และข้าวเปลือกอันต่างข้าวเหนียวและข้าวละหานเป็นต้น ย่อม
ทั้งการใช้สอยในกิจการทั้งปวง มีสัพโยหารเป็นต้น ขอพระองค์จงฆ่าโค
เหล่านี้บูชายัญ ที่ประการต่าง ๆ ๆ ราชสมบัติของพระองค์มีมากเชิญพระองค์
ทรงบูชายัญเถิด ราชทรัพย์ของพระองค์มีมาก ดังนี้.
โดยนัยที่กล่าวแล้วในก่อนอย่างนี้นั้นแล ลำดับนั้นแล พระราชาผู้
ประเสริฐอันพราหมณ์ทั้งหลายให้ยินยอมแล้ว ได้ให้ฆ่าแม่โคทั้งหลาย ๑ แสน
ตัว ในยัญพิธี แม่โคทั้งหลายเหล่าใด เสมอด้วยแพะ สงบเสงี่ยม ถูกเขารีดนมลง
หม้อ ย่อมไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วยเท้า ไม่เบียดเบียนด้วยเขา ไม่เบียดเบียน

255
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 256 (เล่ม 47)

ด้วยอวัยวะอะไร ๆ เลย พระราชาผู้ไม่เคยฆ่าซึ่งสัตว์ใด ๆ ในกาลก่อนแต่กาล
นั้น ก็จับโคเหล่านั้นที่เขาทั้งหลายแล้วให้ฆ่าด้วยศัสตรา อธิบายว่า ได้ยินว่า
ในกาลนั้นพวกพราหมณ์ทั้งหลายทำหลุมยัญให้เต็มด้วยแม่โคทั้งหลาย แล้วก็ผูก
โคอุสภะตัวเป็นมงคล นำไปสู่บาทมูลของพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่
มหาบพิตร ขอพระองค์จงบูชายัญด้วยโค ทางแห่งพรหมโลกของพระองค์ก็จัก
บริสุทธิ์ พระราชาผู้ทรงกระทำกิจอันเป็นมงคลแล้ว ก็ทรงจับพระขรรค์ได้
ทรงรับสั่งให้ฆ่าแม่โคทั้งหลาย หลายแสนตัวเป็นอเนก พร้อมกับโคตัวประ
เสริฐ พราหมณ์ทั้งหลาย เชือดเนื้อทั้งหลายที่หลุมยัญแล้วบริโภค ในกาลนั้น
พวกพราหมณ์ได้ห่มผ้ากัมพลสีเหลือง ขาวและแดง ให้ฆ่าโคทั้งหลายแล้ว ได้
ยินว่าโคทั้งหลายเห็นพวกพราหมณ์ทั้งหลายห่มแล้วก็เกิดความหวาดเสียวเพราะ
อาศัยผ้านั้นเป็นเหตุ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า น ปาทา
ฯเปฯ ฆาตยิ.
หลายบทว่า ตโต เทวา เป็นต้น ความว่า เมื่อพระราชาพระองค์
นั้นทรงเริ่มให้ประหารโคทั้งหลายอย่างนี้ ครั้งนั้น คือในระหว่างนั้นนั่นเอง
เทวดาทั้งหลายชั้นจาตุมหาราชิกา พระพรหมทั้งหลาย ซึ่งได้นามในพวก
พราหมณ์ทั้งหลายว่าเป็นบิดา ท้าวสักกะจอมเทพ อสูรและรากษสทั้งหลาย ผู้
อยู่ที่เชิงภูเขา ที่รู้กันว่าทานพยักษ์ก็เปล่งวาจาอย่างนี้ว่า อธรรม จึงได้พากัน
กล่าวว่า น่าติเตียน พวกมนุษย์ เป็นมนุษย์อธรรม เสียงนั้นได้ดังไปตั้งแต่
พื้นดินจนถึงพรหมโลกเพียงครู่เดียวเท่านั้น โลกได้เต็มรอบด้วยอธิการอัน
เดียวกัน ถามว่าเพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะศัสตราตกลงบนแม่โค อธิบาย

256
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 257 (เล่ม 47)

ว่า เพราะศัสตราตกลงบนแม่โค พวกเทวดาเป็นต้นจะพากันเปล่งเสียงร้องอย่าง
เดียวก็หามิได้ ความพินาศแม้อย่างอื่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นเเล้วในโลก ท่านกล่าว
อธิบายไว้ว่า ก็โรค คือ ความอยาก ความอดอยาก ความทรุดโทรม เหล่านั้น
มี ๓ ชนิด ซึ่งมิแล้วในกาลก่อน ได้แก่ตัณหา คือความปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ๑
ความหิว ๑ ความแก่หง่อม ๑ ก็โรคเหล่านั้นของพวกสัตว์ได้แพร่ออกเป็น ๙๘
ชนิด อธิบายว่าถึงแล้วซึ่งความเป็นโรค ๙๘ อย่างโดยประเภทที่โรคตาเป็นต้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงติเตียน การปรารภปศุสัตว์ จึง
ตรัสว่า เอโส อธมฺโม ดังนี้เป็นต้น.
เนื้อความแห่งพระคาถาทั้งหลายเหล่านั้นว่า คำนี้กล่าวคือการปรารภ
ปศุสัตว์เป็นทัณฑ์ (คือกรรม) อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาทัณฑ์ ๓ อย่างมีกาย
ทัณฑ์เป็นต้น ชื่อว่า เป็นอธรรม เพราะไปปราศจากธรรม ได้เป็นธรรมที่
หยั่งลงแล้ว คือได้เป็นธรรมที่เป็นไปแล้ว ก็ธรรมนั้นแล ชื่อว่าเป็นธรรมเก่า
เพราะเป็นไปจำเดิมแต่กาลบัดนั้นมา แม่โคทั้งหลายชื่อว่าเป็นสัตว์ไม่ประทุษ-
ร้าย เพราะไม่เบียดเบียนด้วยอวัยวะไร ๆ มีเท้าเป็นต้น จำเดิมแต่การก้าวลง
ใด ๆ ย่อมถูกฆ่า ชนผู้บูชายัญทั้งหลายได้แก่ชนทั้งหลายผู้บูชาซึ่งยัญ เมื่อให้
ฆ่าแม่โคเหล่าใดอยู่ก็ย่อมเสื่อม คือว่า ย่อมฉิบหายจากธรรม (เพราะเหตุแห่ง
การฆ่าแม่โคเหล่านั้น)
บาทพระคาถาว่า เอวเมโส อณุธมฺโม ความว่า ธรรมอันเลวทราม
คือ ธรรมอันต่ำ มีคำอธิบายว่า เป็นอธรรม นี้อย่างนี้.

257
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 258 (เล่ม 47)

อีกอย่างหนึ่ง ก็เหตุที่แม้ธรรมคือการให้ (ทาน) ก็มีอยู่น้อยในธรรม
นี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อณุธมฺโม หมายเอาธรรม คือ
ทานที่น้อยนั้น.
บทว่า ปุราโณ ได้แก่ เป็นกาลเวลาที่ช้านานเพียงนั้น.
บาทพระคาถาว่า เอวํ ธมฺเม วิยาปนฺเน ได้แก่ เมื่อพราหมณธรรม
อันเป็นของเก่าฉิบหายแล้วอย่างนี้ พระบาลีว่า วิยาวตฺเต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า
ได้แก่ เป็นธรรมที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น.
บาทพระคาถาว่า วิภินฺนา สุทฺธเวสฺสิกา ความว่า พวกศูทรและ
แพศย์ทั้งหลายสามัคคีกันอยู่ในกาลก่อน พวกเขาแม้เหล่านั้นก็แตกกัน.
บาทพระคาถาว่า ปุถุ วิภินฺนา ขตฺติยา ความว่า แม้พวกกษัตริย์
เป็นอันมาก ก็แตกกัน.
บาทพระคาถาว่า ปตึ ภริยา อวมญฺญถ ความว่า และภรรยาซึ่งสามี
ให้ดำรงอยู่ในพลังคือความเป็นใหญ่ เมื่อครองเรือน เป็นผู้เข้าถึงแล้วด้วยพลัง
ทั้งหลาย มีพลังแห่งบุตรเป็นต้น ดูหมิ่น ได้แก่ดูแคลน คือดูถูกสามี ได้แก่
ไม่บำรุงโดยเคารพ.
พระคาถาว่า ขตฺติยา พรฺหฺมพนฺธู จ...กามานํ วสมาคมุํ
ความว่า พวกกษัตริย์และพวกพราหมณ์ พวกแพศย์และศูทรอื่นใดเป็นผู้
แตกกันอย่างนี้แล้ว ผู้ชื่อว่าอันโคตรรักษาแล้ว เพราะอันโคตรของตน ๆ
รักษาไว้ โดยประการที่จะไม่ระคนปนกัน (กับวรรณะอื่นนอกจากวรรณะของ
ตน) พวกชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ทำวาทะว่าชาตินั้นฉิบหายแล้ว ได้แก่ทำ
วาทะแม้ทั้งปวงนี้ว่า เราเป็นกษัตริย์ เราเป็นพราหมณ์ เป็นต้นให้ฉิบหายแล้ว

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 259 (เล่ม 47)

ไปสู่อำนาจแห่งกามทั้งหลาย กล่าวคือกามคุณ ๕ ได้แก่ถึงซึ่งความอยาก มีคำ
อธิบายว่า ชนเหล่านั้นไม่กระทำสิ่งไร ๆ ที่ไม่ควรกระทำก็หามิได้ คือกระทำ
สิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะกามเป็นเหตุ.
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคุณของพวกพราหมณ์โบราณ
ด้วยคาถา ๙ คาถาว่า อิสโย ปุพฺพกา อย่างนี้แล้ว ได้ทรงแสดงความ
ประพฤติที่เสมอด้วยพรหม ด้วยคาถาว่า โย เนสํ ปรโม เป็นต้น ความ
ประพฤติที่เสมอด้วยเทพ ด้วยคาถาว่า ตสฺส วตฺตมนุสิกฺขนฺตา เป็นต้น
ซึ่งความประพฤติเรียบร้อยด้วยคาถา ๔ คาถาว่า ตณฺฑุลํ สยนํ เป็นต้น
ซึ่งความประพฤติที่แตกทำลายด้วยคาถา ๑๗ คาถาว่า เตสํ อาสิ วิปลฺลาโส
เป็นต้น.
และเมื่อจะแสดงถึงการปฏิบัติออกนอกทางของพวกเทพเป็นต้น ด้วย
การปฏิบัติผิด ด้วยการประพฤตินั้น แล้วให้เทศนาจบลง. แต่พวกพราหมณ์
จัณฑาลพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้จัดไว้ในที่นี้เลย เพราะเหตุไร. เพราะไม่มี
การกระทำการปฏิบัติผิดไร ๆ ก็เมื่อความถึงพร้อมแห่งพราหมณ ธรรมมีอยู่
ธรรมของพราหมณ์ทั้งหลายก็ฉิบหายแล้ว เพราะเหตุนั้นนั่นแล โทณพราหมณ์
จึงทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย
ก็บำเพ็ญแม้พราหมณจัณฑาลให้บริบูรณ์ไม่ได้. คำที่เหลือในคาถานี้ มีนัยอัน
ข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นแล.
จบการพรรณนาเนื้อความแห่งพราหมณธัมมิกสูตร
แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา.

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 260 (เล่ม 47)

นาวาสูตรที่ ๘
ว่าด้วยอุปมาเหมือนเรือข้ามฝั่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[๓๒๕] ก็บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจาก
บุคคลใด พึงบูชาบุคคลนั้น เหมือนเทวดา
บูชาพระอินทร์ฉะนั้น บุคคลนั้นเป็นพหูสูต
ผู้อันเตวาสิกนั้น ย่อมชี้แจงธรรมให้แจ่มแจ้ง.
บุรุษผู้มีปัญญา ไม่ประมาท คบ
บุคคลผู้เป็นพหูสูตเช่นนั้น กระทำธรรมนั้น
ให้มีประโยชน์ใคร่ครวญแล้ว ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ย่อมเป็นผู้รู้แจ่มแจ้ง แสดง
ธรรมแก่ผู้อื่นและเป็นผู้ละเอียด.
อันเตวาสิก ซ่องเสพอาจารย์ผู้ประ-
กอบด้วยธรรมน้อย เป็นคนเขลา ผู้ยังไม่
บรรลุประโยชน์ และริษยา ไม่ยังธรรมให้
แจ่มแจ้งในศาสนานี้เทียว ยังข้ามความสงสัย
ไม่ได้ ย่อมเข้าถึงความตาย.
บุคคลไม่ยังธรรมให้แจ่มแจ้งแล้ว
ไม่ใคร่ครวญเนื้อความในสำนักแห่งบุคคล

260
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 261 (เล่ม 47)

ผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ไม่รู้ด้วยตนเอง ยัง
ข้ามความสงสัยไม่ได้ จะสามารถให้ผู้อื่น
เพ่งพินิจได้อย่างไร.
เหมือนคนข้ามแม่น้ำที่มีน้ำมาก มี
กระแสไหลเชี่ยว ถูกน้ำพัดลอยไปตามกระ
แสน้ำ จะสามารถช่วยให้ผู้อื่นข้ามได้อย่าง
ไร ฉะนั้น.
ผู้ใดขึ้นสู่เรือที่มั่นคง มีพายและถ่อ
พร้อมมูล ผู้นั้นรู้อุบายในเรือนั้น เป็นผู้
ฉลาด มีสติ พึงช่วยผู้อื่นแม้จำนวนมากใน
เรือนั้น ให้ข้ามได้ แม้ฉันใด
ผู้ใดไปด้วยมรรคญาณทั้ง ๔ อบรม
ตนแล้ว เป็นพหูสูต ไม่มีความหวั่นไหว
เป็นธรรมดา ผู้นั้นแลรู้ชัดอยู่ พึงยังผู้อื่นผู้ตั้ง
ใจสดับและสมบูรณ์ด้วยธรรมอันเป็นอุปนิสัย
ให้เพ่งพินิจได้ ฉันนั้น.
เพราะเหตุนั้นแล บุคคลควรคบ
สัปบุรุษผู้มีปัญญา เป็นพหูสูต บุคคลผู้คบ
บุคคลเช่นนั้น รู้ชัดเนื้อความแล้ว ปฏิบัติ
อยู่ รู้แจ้งธรรมแล้ว พึงได้ความสุข.
จบนาวาสูตรที่ ๘

261
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 262 (เล่ม 47)

อรรถกถาธรรมสูตร๑ที่ ๘
ธรรมสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺมา หิ ธมฺมํ ดังนี้.
พระสูตรนี้ท่านเรียกว่า นาถสูตร ก็มี.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า ก็พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปรารภพระสารีบุตรผู้มี
อายุ นี่คือความสังเขปในพระสูตรนี้ ส่วนความพิสดารพึงทราบจำเดิมแต่กาล
ที่พระอัครสาวกทั้งสองอุบัติขึ้น คือ
ดังได้สดับมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ทรงอุบัติขึ้น พระอัคร-
สาวกทั้งสองบำเพ็ญบารมีอยู่ ๑ อสงไขยกับแสนกัป แล้วบังเกิดในเทวโลก
บรรดาอัครสาวกทั้ง ๒ นั้น ท่านแรก (พระสารีบุตร) เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว
ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพราหมณีชื่อว่า รูปสารี แห่งพราหมณ์ผู้เป็นนาย
บ้านซึ่งมีทรัพย์ถึง ๕๖๐ โกฏิ ในบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัยของพวกพราหมณ์
ชื่อว่า อุปติสสคาม อันอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์. ท่านที่สอง (พระ-
โมคคัลลานะ) ถือปฏิสนธิในท้องของนางพราหมณีชื่อว่า โมคคัลลานี แห่ง
ท่านพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้าน ซึ่งมีทรัพย์จำนวน ๕๖๐ โกฎิ เช่นกัน ณ บ้าน
ที่อยู่อาศัยของพวกพราหมณ์ชื่อ โกลิตคาม ในที่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์นั้น
เช่นกัน (โดยถือปฏิสนธิ) ในวันนั้นนั่นเอง.
๑. บาลีว่า นาวาสูตร

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 263 (เล่ม 47)

การถือปฏิสนธิและการออกจากครรภ์แห่งท่านทั้งสองนั้น ได้มีแล้ว
ในวันเดียวกันเช่นกัน ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อให้เด็กคนหนึ่งในบรรดาเด็กสอง
คนนั้นว่า อุปติสสะ เพราะเกิดในอุปติสสคาม และตั้งชื่อเด็กอีกคนหนึ่งว่า
โกลิตะ เพราะเกิดในโกลิตคาม ก็ในวันเดียวกันเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้น
เป็นสหายวิ่งเล่นมาด้วยกัน ถึงความเจริญโดยลำดับ สหายคนหนึ่ง ๆ มีมาณพ
เป็นบริวารคนละ ๕๐๐ สหายทั้งสองนั้น เมื่อจะไปสู่อุทยานก็ตาม สู่ท่าน้ำก็
ตาม ย่อมไปพร้อมกับบริวารนั่นเอง สหายคนหนึ่ง (อุปติสสะ) ไปด้วยวอทอง
๕๐๐ หลัง สหายคนที่สอง (โกลิตะ) ไปด้วยรถเทียมม้าอาชาไนย ๕๐๐ คัน.
ก็ ณ กาลครั้งนั้น ในเมืองราชคฤห์ได้มีมหรสพบนยอดเขาในกาล
ตามลำดับกาล (ตามเทศกาล) ในเวลาเย็น พวกชาวแคว้นอังคะและแคว้นมคธะ
ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฉลาด มีขัตติยราชกุมารเป็นต้น ได้ประชุมกัน ณ สถานที่
นั้น ในท่ามกลางพระนคร ก็นั่งชมมหรสพชนิดต่าง ๆ อยู่บนสถานที่ทั้งหลาย
ที่ปูลาดไว้เป็นอย่างดี มีเตียงและตั่งเป็นต้น. ครั้งนั้น สหายทั้งสองเหล่านั้น
พร้อมกับบริวาร ก็ไปในที่นั้น แล้วนั่งบนอาสนะทั้งหลายที่ปูลาดไว้ มีเตียง
และตั่งเป็นต้น ชมมหรสพอยู่ได้มีความคิดว่า ยังไม่ถึงร้อยปีในระหว่างนี้ก็จัก
ตายดังนี้. ความตายได้มาปรากฏแก่อุปติสสะนั้นประดุจจับอยู่ที่หน้าผาก. ความ
คิดเช่นเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นแก่โกลิตมาณพเช่นกัน. เมื่อนักฟ้อนทั้งหลายมี
จำนวนมิใช่น้อยฟ้อนรำอยู่ จิตใจของสหายทั้งสองนั้นมิได้น้อมไปในเหตุแม้
สักว่าจะดู โดยที่แท้ความสังเวชเท่านั้นเกิดขึ้น.
ลำดับนั้น เมื่อมหรสพเลิกแล้ว บริษัทหลีกไปแล้ว เมื่อสหายทั้ง
หลายเหล่านั้นพร้อมกับบริวารหลีกไปแล้ว โกลิตะจึงได้ถามอุปติสสะว่า เพื่อน

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 264 (เล่ม 47)

เพราะเหตุไร ท่านไม่มีแม้สักว่าความบันเทิงในการชมฟ้อนรำเป็นต้น เขาได้
บอกเนื้อความนั้นแก่โกลิตะนั้น แล้วได้ถามเนื้อความแม้เช่นเดียวกันนั้น แม้
โกลิตะนั้นก็ได้นอกความเป็นไปของตนแก่อุปติสสะนั้น แล้วกล่าวต่อไปว่า มา
เถิดสหาย เราจักไปบวชแล้วแสวงหาอมตธรรมกันเถิด. อุปติสสะตอบรับว่า
ดีแล้วเพื่อน ต่อจากนั้นสหายทั้งสองได้สละสมบัตินั้นแล้ว ได้เดินทางมาถึง
กรุงราชคฤห์โดยลำดับอีก.
โดยสมัยนั้นแล ปริพาชก ชื่อว่า สัญชัย อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์.
สหายทั้งสองนั้น พร้อมด้วยมาณพบริวารคนละ ๕๐๐ บวชในสำนักของสัญชัย
นั้น โดย ๒-๓ วันเท่านั้น ก็เรียนจบไตรเพท และลัทธิของปริพาชกทั้งหมด
สหายทั้งสองนั้น เมื่อเข้าไปพิจารณาถึงเบื้องต้นและท่ามกลางและที่สุดของศา-
สตร์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่เห็นที่สุด จึงได้ถามอาจารย์ว่า เบื้องต้นและท่ามกลาง
แห่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏอยู่. แต่ที่สุดไม่ปรากฏ เพราะสิ่งที่บุคคลจะ
พึงบรรลุให้ยิ่งขึ้นด้วยคิดว่า ตนจะพึงบรรลุสิ่งชื่อนี้ได้ด้วยศาสตร์เหล่านี้ ดังนี้
ย่อมไม่มี แม้อาจารย์สัญชัยนั้นก็กล่าวว่า แม้เราเองก็ไม่เห็นที่สุดแห่งศาสตร์
เหล่านี้เช่นนั้นเหมือนกัน. สหายทั้งสองนั้นจึงพูดกันว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะ
แสวงหาที่สุดแห่งศาสตร์เหล่านั้น อาจารย์จึงพูดกะพวกเขาว่า พวกเธอพึงแสวง
หาตามสบายเถิด. สหายทั้งสองนั้นอันอาจารย์สัญชัยนั้นอนุญาตแล้วอย่างนี้ เมื่อ
จะแสวงหาอมตธรรม เที่ยวไปอยู่ เป็นผู้ปรากฏแล้วในชมพูทวีป ชนทั้งหลาย
มีกษัตริย์และบัณฑิตเป็นต้น อันสหายทั้งสองเหล่านั้นถามแล้ว ก็ตอบให้
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อชนทั้งหลายพูดว่า อุปติสสะ โกลิตะ ชนเหล่าใด
ที่พูดว่า พวกเราไม่รู้จักท่านทั้งสองนั้นเลย ดังนี้ย่อมไม่มี สหายทั้งสองจึง
เป็นผู้ปรากฏ (เป็นที่รู้จักกัน ) อย่างนี้.

264