หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 101 (เล่ม 4)

พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ. ..ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ . .. ไม่ใช่ชื่อ
ธนิฎฐกะ. . . ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะ .. . ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต . . . ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต .. . ไม่ใช่ชื่อ
สังฆรักขิต. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร . . . ไม่ใช่ภารทวาชโคตร . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร . . . ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร . . . ไม่ใช่
กัจจายนโคตร . . . ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร . . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ . . .ไม่ใช่คนเทดอกไม้ . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา . . . ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย. . . ไม่ใช่
คนทำงานเลี้ยงโค. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักสาน . . . ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ . . .
ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก. . .ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง . . . ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก
. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

101
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 102 (เล่ม 4)

พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ . . . ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ. . .
ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน . . . ไม่ใช่เป็นโรคฝี . . . ไม่ใช่เป็น
โรคกลาก . . .ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ . . .ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป . . . ไม่ใช่ต่ำเกินไป . . . ไม่ใช่ดำเกินไป . . .
ไม่ใช่ขาวเกินไป. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก . . ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก . . . ไม่ใช่ไม่ดำนัก . . .
ไม่ใช่ไม่ขาวนัก . . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม. . . ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี . . ไม่ใช่ถูก
โมหะครอบงำ. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ . . . ไม่ใช่ปราศจากโทสะ . . . ไม่ใช่
ปราศจากโมหะ . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

102
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 103 (เล่ม 4)

พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก . . . อาบัติสังฆาทิเสส. . .
อาบัติถุลลัจจัย . . . อาบัติปาจิตตีย์ . . . อาบัติปาฎิเทสนียะ . . .อาบัติทุกกฏ . . .
อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่มีความพระพฤติดังอูฐ . . . แพะ . . . โค . . .ลา
. . . สัตว์ดิรัจฉาน . . . สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่
ทุคติ. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤกฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต . . .ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา
. . .ไม่ใช่พหูสูต . . . ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้อง
หวังได้แต่สุคติ . . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
อุปสัมบันอุปสัมบัน
พูดล้อกดกระทบชาติ
[๒๕๐] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท
อนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด
กะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติคนจัณฑาล . . . มีชาติคนจักสาน . . .มีชาติพราน . . .มีชาติคนช่างหนัง
มีชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็น

103
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 104 (เล่ม 4)

ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์
. . . มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็น
ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ใม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล
. . . ชาติคนจักสาน . . . ชาติพราน . . .ชาติคนช่างหนัง . . .ชาติคนเทดอกไม้
ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
. . .อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะลบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์
. . .มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

104
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 105 (เล่ม 4)

พูดล้อกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ
. . . ชื่อชวกัณณกะ . . .ชื่อธนิฎฐกะ . . .ชื่อสวิฏฐกะ . .. ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน
อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่าน
กุลวัฑฒกะ . . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสันบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชื่ออุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต
. . . ชื่อธัมมรักขิต . . . ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ
ว่าท่านธนิฎฐกะ ว่าท่านสวิฎฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ
. . . ชื่อชวกัณณกะ ...ชื่อธนิฏฐกะ . .. ชื่อสวิฏฐกะ . ..ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน
พุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.

105
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 106 (เล่ม 4)

พูดล้อยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชื่ออุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต
. . .ชื่อธัมมรักขิต .. .ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต
ว่าท่านสังฆรักขิต . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร
. . .ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโครตอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร
. . .โมคคัลลานโคตร . . . . กัจจายนโคตร . . . วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร
ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน

106
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 107 (เล่ม 4)

มีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร
. . . ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน
กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ
คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร
. . . โมคคัลลานโคตร . . . กัจจายนโคตร . . . วาเสฎฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร
ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น
ช่างไม้ . . . เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้
. . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน

107
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 108 (เล่ม 4)

มีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น
ชาวนา . . . เป็นพ่อค้า . . . เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำ
งานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันเป็น
ช่างไม้ . . . เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย
ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น
ชาวนา . . . เป็นพ่อค้า . .. เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำ
งานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างจักสาน . . .มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . . . มีวิชา

108
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 109 (เล่ม 4)

การช่างหนัง . . . มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี
วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่าน
มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือพูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างนับ . . . มีวิชาการช่างคำนวณ . . . มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมี
วิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่าน
มีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างจักสาน . . . มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก. . . มีวิชาการ
ช่างหนัง . . . มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ
ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.

109
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 110 (เล่ม 4)

พูดล้อยกยอกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ
อนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ . . . มีวิชาการช่างคำนวณ. . . มีวิชาการช่างเขียน
ว่าท่านมีวิชาการช่างนบ . . . ช่างคำนวณ . . . ช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน
. . . โรคฝี . . . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . .โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น
โรคเรื้อน . .. โรคฝี . . . โรคกลาก . . .โรคมองคร่อ . . .โรคลมบ้าหมู ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศแต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค
เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน. . .โรคฝี. . . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . .
โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

110