No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 195 (เล่ม 47)

ให้พ่ายแพ้เสียเอง ก็ ม อักษรในคำว่า สพฺพตฺถมปราชิตา นี้ พึงทราบว่า
เป็นการเชื่อมบท (บทสนธิ)
บาทคาถาว่า สพฺพตฺถ โสตถึ คจฺฉนฺติ ความว่า บุคคลกระทำ
ตามมงคล เหล่านี้แล้ว เป็นผู้ที่มารทั้ง ๔ ให้แพ้ไม่ได้ ย่อมถึงความสวัสดี
ในที่ทั้งปวง คือในโลกนี้และโลกหน้า และในสถานที่ทั้งหลาย มีทางเดิน
จงกรมเป็นต้น มีคำอธิบายว่า อาสวะ การเข่นฆ่า และความเร่าร้อนเหล่า
ใด จะพึงเกิดขึ้น จากการคบคนพาลเป็นต้น ชนทั้งหลายเหล่านั้นย่อมถึงความ
สวัสดี เพราะไม่มีอาสวะ การเข่นฆ่าและความเร่าร้อนเหล่านั้น ถือว่า เป็นผู้
ไม่มีอุปัทวะ ไม่มีอุปสรรค มีความเกษม ไม่มีภัย ย่อมถึงความสวัสดีได้
ก็อนุนาสิก (นิคคหิต) ในคำว่า สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ นี้ พึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อความสะดวกในการประพันธ์คาถา พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงให้เทศนาจบลง ด้วยบาทพระคาถานี้ว่า ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมํ.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เทศนาจบลงอย่างไร ?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เทศนาจบลง โดยพุทธประสงค์
อย่างนี้ว่า ดูก่อนเทวบุตร ก็เพราะชนเหล่าใดกระทำตามมงคลเหล่านี้ อย่างนี้
ชนเหล่านั้นย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ฉะนั้น ท่านจงถือเอามงคลทั้ง ๓๘
ประการ มีการไม่เสพพวกคนพาลเป็นต้นนั้น เป็นมงคลอย่างสูงสุด ได้แก่
ประเสริฐที่สุด คือเลิศสำหรับชนทั้งหลายเหล่านั้น ผู้กระทำตามมงคลเหล่านี้นี้.
ก็ในที่สุดแห่งพระเทศนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้จบลงแล้ว
อย่างนี้ เทวดาประมาณแสนโกฏิบรรลุพระอรหัต. ผู้ที่บรรลุเป็นพระ
โสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี นับไม่ถ้วน.

195
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 196 (เล่ม 47)

ต่อจากนั้นในวันที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระอานนทเถระ
มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อคืนนี้เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาหาเราแล้วถาม
มงคลปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงได้กล่าวมงคล ๓๘ ประการ แก่เทวดานั้น
ดูก่อนอานนท์ เธอจงเรียนมงคลนี้ ครั้นเรียนมงคลปริยาขึ้นแล้วจงบอกภิกษุ
ทั้งหลาย. พระเถระเรียนเอาแล้ว จึงได้บอกภิกษุทั้งหลาย มงคลสูตรนี้นั้น
อาจารย์นำสืบ ๆ กันมา ย่อมเป็นมาได้จนถึงทุกวันนี้ พรหมจรรย์นี้พึงทราบ
ว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ประกาศดีแล้ว จนกระทั่งบริบูรณ์ แพร่หลาย
กว้างขวาง มีคนรู้กันมาก และเป็นปึกแผ่น ด้วยประการฉะนี้.
สรุปมงคล ๓๘
บัดนี้ เพื่อความฉลาดในการอบรมญาณ ในมงคลเหล่านี้นั้น แหละ จึง
มีโยชนา (วาจาประกอบการอธิบายความให้เชื่อมกัน) จำเดิมแต่ต้นดังต่อไปนี้.
สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ผู้ใคร่ต่อความสุขในโลกนี้ โลกหน้าและโลกุตร-
สุข ละการเสพคนพาล อาศัยบัณฑิตทั้งหลาย บูชาซึ่งบุคคลทั้งหลาย ที่ควร
บูชา อันการอยู่ในประเทศอันสมควร และการเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วใน
ปางก่อน ตักเตือนอยู่ ในการสั่งสมกุศล จึงตั้งตนไว้ชอบ มีอัตภาพอันประดับ
แล้ว ด้วยพาหุสัจจะ ศิลปะ และวินัย กล่าวอยู่ซึ่งวาจาสุภาษิต อันสมควร
แก่วินัย ตนยังไม่ละความเป็นคฤหัสถ์ตราบใด ก็ชำระหนี้เก่าโดยการเลี้ยงดู
มารดาบิดาอยู่ตราบนั้น ประกอบหนี้ใหม่ด้วยการสงเคราะห์บุตรและภรรยาอยู่
บรรลุถึงความสำเร็จแห่งสมบัติ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น ด้วยความ
เป็นผู้มีการงานไม่อากูล ถือเอาสาระแห่งโภคะด้วยการให้ทานและสาระแห่ง

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 197 (เล่ม 47)

ชีวิตด้วยการประพฤติธรรม กระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนของตน ด้วยการ
สงเคราะห์ญาติ และกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนอื่น ด้วยการประกอบการงาน
ที่ปราศจากโทษ เว้นการเบียดเบียนคนอื่น ด้วยการงดจากบาปและการเบียด-
เบียนตน ด้วยการสำรวมจากการดื่มน้ำเมา เจริญธรรมฝ่ายกุศลทั้งหลาย ด้วย
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย สละเพศคฤหัสถ์ ด้วยความเป็นผู้ฉลาดใน
กุศลธรรมที่ตนเจริญแล้ว แม้ดำรงอยู่แล้วในความเป็นบรรพชิต ก็ยินดีความ
ถึงพร้อมด้วยวัตร ด้วยความเคารพและความอ่อนน้อม ในทักขิเณยยบุคคล
ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า พุทธสาวก อุปัชฌาย์และอาจารย์เป็นต้น. สละ
ความคิดในปัจจัย ด้วยความสันโดษ ดำรงอยู่ในสัปปุริสภูมิ ด้วยความกตัญญุ
ละจิตที่ท้อแท้เสียได้ด้วยการฟังธรรม ครอบงำอันตรายทั้งปวงเสียได้ด้วยความ
อดทน ทำคนให้มีที่พึ่งด้วยการเป็นผู้ว่าง่าย เห็นอยู่ซึ่งการประกอบความเพียร
ในการปฏิบัติ ด้วยการเห็นสมณะ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความสงสัยเสียได้ด้วยการสนทนาธรรม ทำศีลวิสุทธิให้บริบูรณ์ ด้วย
การสำรวมอินทรีย์และตบะ ทำจิตตวิสุทธิให้บริบูรณ์ด้วยพรหมจรรย์คือสมณ-
ธรรม ทำวิสุทธิอีก ๔ อย่างที่เหลือจากนั้นให้บริบูรณ์ (ทิฏฐิ, กังขา, มัคคา,
ปฏิปทา) บรรลุญาณทัสสนวิสุทธิ. อันเป็นปริยายแห่งอริยสัจจทัสสนะ ด้วย
ปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ) นี้ ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน กล่าวคือ
อรหัตผล ซึ่งครั้นทำให้แจ้งแล้ว ก็เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘
ดุจภูเขาสิเนรุไม่หวั่นไหว เพราะลมและฝนฉะนั้น จึงเป็นบุคคลที่ไม่เศร้าโศก
มีจิตปราศจากธุลี มีจิตเกษม ก็บุคคลเหล่าใดเป็นผู้มีจิตเกษม บุคคลเหล่านั้น

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 198 (เล่ม 47)

เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง และย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
เอตาทิสานิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา
สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงคลมุตฺตมํ.
เหล่าชนครั้นกระทำการมงคลทั้ง ๓๘
ประการเหล่านี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ใน
ที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน
การถึงความสวัสดีนั้นเป็นมงคลอย่างสูงสุด
ของชนเหล่านั้น.
จบการพรรณนามงคลสูตร ในอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 199 (เล่ม 47)

สูจิโลมสูตรที่ ๕
ว่าด้วยกิเลสเป็นเหตุเกิด
[๓๑๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่บน (แท่นหิน) เตียงมี
แม่แคร่ในที่อยู่ของสูจิโลมยักษ์ ใกล้ บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ขรยักษ์และ
สูจิโลมยักษ์เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น ขรยักษ์
ได้กล่าวกะสูจิโลมยักษ์ว่า นั่นสมณะ สูจิโลมยักษ์ได้กล่าวกะขรยักษ์ว่า นั่น
ไม่ใช่สมณะ นั่นเป็นสมณะเทียม เราทราบชัดว่า สมณะหรือสมณะเทียมเพียงไร
ลำดับนั้น สูจิโลมยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
น้อมกายของตนเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นกาย
(ของสูจิโลมยักษ์) ออกไป สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านกลัว
ข้าพเจ้าหรือสมณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราไม่กลัวท่านดอกผู้มีอายุ
แต่สัมผัสของท่านลามก.
ส. ดูก่อนสมณะ ข้าพเจ้าจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่พยากรณ์
ไซร้ ข้าพเจ้าจักควักดวงจิตของท่านออกโยนทิ้งเสีย หรือจักฉีกหทัยของท่าน
เสีย หรือจักจับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้างไป ในแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น.
พ. เราไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ผู้ซึ่งจะควักดวงจิตของ
เราออกโยนทิ้ง หรือจะฉีกหทัยของเราเสีย หรือจะจับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้าง

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 200 (เล่ม 47)

ไปในแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น ผู้มีอายุ ก็แลท่านปรารถนาจะถามปัญหาข้อใด ก็จง
ถามเถิด.
ลำดับนั้นแล สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
[๓๒๐] ราคะและโทสะมีอะไรเป็น
เหตุเกิด ความไม่ยินดี ความยินดี ขนลุก
ขนพอง เกิดแต่อะไร วิตกทั้งหลายเกิดแต่
อะไร แล้วจึงปล่อยลงไปหาใจที่เป็นกุศล
เหมือนพวกเด็กน้อยเอาด้ายผูกตีนกาแล้ว
ปล่อยลงไป ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
ราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุเกิด
ความไม่ยินดี ความยินดี ขนลุกขนพอง
เกิดแต่อัตภาพนี้ วิตกทั้งหลายเกิดแต่อัตภาพ
นี้ แล้วปล่อยลงไปหาใจที่เป็นกุศล เหมือน
พวกเด็กน้อยเอาด้ายผูกตีนกา แล้วปล่อยลง
ไปฉะนั้น.
กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น เกิดแต่
ความเยื่อใย เกิดในตน เหมือนย่านไทรเกิด
แต่ต้นไทร ฉะนั้น กิเลสเป็นอันมาก ซ่าน
ไปแล้วในกามทั้งหลาย เหมือนเถาย่านทราย
รึงรัดไปแล้วในป่า.

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 201 (เล่ม 47)

สัตว์เหล่าใด ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่กิเลส
นั้นว่ามีกิเลสใดเป็นเหตุ สัตว์เหล่านั้นย่อม
บรรเทาซึ่งหมู่กิเลสนั้นได้ ท่านจงฟังเถิด
ยักษ์ สัตว์เหล่าใดย่อมบรรเทาซึ่งหมู่กิเลสได้
สัตว์เหล่านั้นย่อมข้ามพ้นซึ่งโอฆะอันข้ามได้
โดยยาก ที่ยังไม่เคยข้ามแล้ว เพื่อความ
ไม่เกิดอีก.
จบสูจิโลมสูตรที่ ๕
อรรถกถาสูจิโลมสูตรที่ ๕
สูจิโลมสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า การเกิดขึ้นของพระสูตรนี้ จักมีแจ้ง (จักปรากฏ) โดยนัย
ที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ ในการพรรณนาเนื้อความ. ก็ในคำว่า คยายํ วิหรติ
ฏงฺกิตมญฺเจ สูจิโลมสฺส ยกฺขสฺส ภวเน นี้. พึงทราบวินิจฉัยว่า คยา
คืออะไร เตียงที่มีตั่งคืออะไร และเพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ประทับอยู่ที่ภพของยักษ์นั้น ข้าพเจ้าจะได้กล่าวเฉลยต่อไป.
บ้านก็ดี ท่า (น้ำ) ก็ดี ท่านเรียกว่า คยา บ้านและท่าแม้ทั้งสองนั้น
สมควรในพระสูตรนี้ ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ประทับอยู่ในประเทศที่

201
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 202 (เล่ม 47)

ไม่ไกลแห่งบ้านคยา ท่านก็เรียกว่า คยายํ วิหรติ ประทับอยู่ที่บ้านคยา
ก็ในที่ใกล้ คือ ที่ไม่ไกล ได้แก่ ที่ใกล้ประตูแห่งบ้านนั้น มีเตียงที่มีแม่แคร่
นั้นตั้งอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ประทับอยู่ที่ท่าคยา ท่านก็เรียกว่า คยายํ
วิหรติ ประทับอยู่ที่ท่าคยา และที่ท่าคยานั้น มีเตียงที่มีแม่แคร่นั้นตั้งอยู่.
เตียงหิน ซึ่งเขายกหินแผ่นกว้างไปวางไว้บนก้อนหิน ๔ ก้อน เรียกว่า
เตียงมีเเม่แคร่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยเตียงมีแม่แคร่นั้นอันเป็นภพของ
ยักษ์ดุจภพของอาฬวกยักษ์.
ก็อีกประการหนึ่ง เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาบัติ
อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้น ทรงตรวจดูสัตวโลกด้วย
พุทธจักษุ ได้ทรงเห็นอุปนิสสัยแห่งโสดาปัตติผลแม้ของยักษ์ทั้งสอง คือ
สูจิโลมยักษ์และขรยักษ์ ฉะนั้นจึงทรงถือบาตรและจีวร ภายในอรุณนั้นเอง
(ในเวลาอรุณขึ้น) ได้เสด็จยังประเทศอัน เป็นท่านั้น แม้เป็นภูมิภาคซึ่ง
สกปรก อันเป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาด มีประการต่าง ๆ มีน้ำลาย และ
น้ำมูกเป็นต้นของประชาชน ซึ่งมาประชุมกันจากทิศต่าง ๆ แล้วประทับ
นั่งบนเตียงที่มีแม่แคร่นั้น อันเป็นภพของสูจิโลมยักษ์ เพราะเหตุนั้น พระ-
อานนทเถระจึงกล่าวว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนเตียงมีแม่แคร่
อันเป็นภพของสูจิโลมยักษ์ ใกล้บ้านคยา (หรือใกล้ท่าคยา).
คำว่า เตน โข ปน สมเยน ความว่า สมัยใดพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ที่ภพของสูจิโลมยักษ์นั้น สมัยนั้น ขรยักษ์และสูจิโลมยักษ์ได้ก้าว
เข้าไปในที่ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

202
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 203 (เล่ม 47)

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ยักษ์ทั้งสองนั้นจึงก้าวเข้าไป ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป.
ในบรรดายักษ์ทั้งสองนั้น จะได้พูดถึงยักษ์ตนหนึ่งก่อน คือ ใน
อดีตกาล ชายผู้หนึ่งไม่ได้บอกกล่าวเลย ถือเอาน้ำมันของสงฆ์ไปทาสรีระของคน
เพาะกรรมนั้นเขาจึงไหม้ในนรก และมาบังเกิดในกำเนิดยักษ์ ที่ฝั่งแห่งสระ
โบกขรณีแห่งคยา เขามีอวัยวะแปลกประหลาด ด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้น
นั่นเอง และผิวหนังของเขามีสัมผัสหยาบเช่นกับกระเบื้องอิฐ ได้ยินว่า เมื่อใด
เขาต้องการจะให้ผู้อื่นกลัว เมื่อนั้น เขาก็ขยายผิวหนังอันเช่นกับกระเบื้องทำให้
กลัว ยักษ์นั้นจึงได้นามว่า ขรยักษ์ ก็เพราะเหตุที่มีสัมผัสหยาบนั้นเอง
ด้วยประการฉะนี้.
(ส่วน) สูจิโลกยักษ์นอกนี้ ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
กัสสปะ เป็นอุบาสกไปวัดฟังธรรมเดือนละ ๘ ครั้ง วันหนึ่งเมื่อเขาประกาศ
การฟังธรรมกัน เขาก็เล่นอยู่ที่นาของตน ใกล้ประตูสังฆาราม ฟังเสียงการ
โฆษณาแล้ว ก็คิดว่า ถ้าว่าเราจะอาบน้ำไซร้ ก็จักชักช้า ดังนี้ ทั้ง ๆ ที่มี
ร่างกายสกปรกนั้นเอง ก็เข้าไปยังโรงอุโบสถ แล้วก็นอนหลับไปบนเครื่องลาด
อันมีค่ามาก ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ อาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวคัมภีร์สังยุตตนิกาย
กล่าวว่า เขาผู้นี้เป็นภิกษุนั้นเอง หาใช่อุบาสกไม่ ด้วยกรรมนั้น และด้วย
กรรมอื่นอีก เขาจึงไหม้ในนรก และมาเกิดในกำเนิดยักษ์ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณี
เขาเป็นผู้มีรูปร่างน่าเกลียดด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้น ก็ที่กายของ
สูจิโลมยักษ์นั้นมีขนเหมือนเข็ม ก็ยักษ์นั้นทำสัตว์ทั้งหลายที่ควรให้ตกใจ ให้

203
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 204 (เล่ม 47)

กลัวอยู่ดุจทิ่มแทงด้วยเข็มฉะนั้น เขาจึงได้ชื่อว่า สูจิโลมยักษ์ ก็เพราะเหตุที่เขา
มีขนดุจเข็มนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้. ยักษ์ทั้งสองนั่นออกจากภพของตนเพื่อ
ไปหากิน ไปได้ครู่เดียวก็กลับมา โดยทางที่ตนไปนั้นเอง มาถึงยังทิสาภาค
นอกนี้ ได้ก้าวเข้าไปในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ในคำว่า อถ โข ขโร เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร ยักษ์ทั้งสองเหล่านั้นจึงได้กล่าวอย่างนี้ ?
ตอบว่า ขรยักษ์ได้เห็นอาการของสมณะแล้วกล่าวกะสูจิโลมยักษ์ส่วน
สูจิโลมยักษ์เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ใดกลัวผู้นั้นหาใช่สมณะไม่ แต่จะต้อง
เป็นสมณะเทียม เพราะเปรียบเทียบกับสมณะ (แท้) เพราะฉะนั้น เมื่อจะ
ดูหมิ่นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เช่นนั้น แม้จะกล่าวด้วยความรุนแรงว่า บุรุษผู้นี้
หาใช่สมณะไม่ เขาเป็นสมณะปลอม เมื่อใคร่จะทดลองอีกจึงกล่าวว่า เราทราบ
อยู่เพียงไรเป็นต้น.
คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อถ โข เป็นต้น ซึ่งท่านกล่าวไว้จำเดิมแต่
คำนี้ว่า สูจิโลโม ยกฺโข จนถึงคำว่า อปิจ เต สมฺผสฺโส ปาปโก
ก็อีกอย่างหนึ่ง สัมผัสของท่านเลว ดังนี้ เนื้อความตื้นทั้งนั้น ด้วยว่าใน
คำนั้น พึงทราบสัมพันธ์อย่างนี้ เพียงอย่างเดียวว่า คำว่า ภควโต กายํ
หมายถึงน้อมกายของตนเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ต่อจากนั้นสูจิโลมยักษ์
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงหวาดหวั่นอยู่ จึงกล่าวว่า "สมณะ เราจะถาม
ปัญหากะท่าน" ดังนี้เป็นต้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร สูจิโลมยักษ์จึงถามปัญหา ?

204