No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 185 (เล่ม 47)

การว่ากล่าวได้โดยง่าย เพราะความเป็นผู้ปกติรับด้วยมือขวา(เคารพ)
มีอยู่ในบุคคลนี้ เพราะเหตุนี้ บุคคลนี้จึงชื่อว่า สุวโจ ผู้ว่าได้โดยง่าย.
กรรมของผู้ว่าง่ายนั้นชื่อว่า โสวจสฺส ภาวะแห่ง โสวจสฺส นั้นชื่อว่า
โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าได้โดยง่าย.
นักบวชทั้งหลาย ที่ชื่อว่า สมณะ ก็เพราะสงบระงับกิเลสเสียได้.
การดู ชื่อว่า ทัสสนะ การสนทนาซึ่งพระธรรมชื่อว่า ธัมมสากัจฉา
คำที่เหลือมีนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั้นแล นี่คือการพรรณนาเฉพาะบท ส่วน
การพรรณนาเนื้อความพึงทราบดังต่อไปนี้.
อธิวาสนขันติ ชื่อว่า ขันติ. ภิกษุประกอบแล้ว ด้วยขันติ ก็เป็นผู้
ไม่หวั่นไหว ราวกะว่าไม่ได้ยิน และราวกะว่าไม่ได้เห็น ในเมื่อบุคคลด่าอยู่
ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ หรือเบียดเบียนอยู่ ด้วยกรรมทั้งหลายมีการฆ่าและการจอง
จำเป็นต้น เสมือนขันติวาทีดาบสฉะนั้น. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า สมณะเป็น
ผู้แสดงความอดทน ในอดีตสิ้นกาลนาน
(เพราะ) พระเจ้ากาสิกราช ได้รับสั่งให้ตัด
ซึ่งขันติวาทีดาบสนั้น ผู้ดำรงอยู่แล้วด้วย
ขันตินั้นแล ดังนี้.
หรือว่าภิกษุย่อมมนสิการ โดยความเป็นผู้กระทำว่าดี ราวกะท่าน
ปุณณเถระผู้มีอายุ เพราะไม่ถือโทษยิ่งกว่านั้น ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า (พระ
ปุณณเถระกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าหาก
ว่าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตกะจักด่า จักบริภาษข้าพระองค์ไซร้ ในการด่า

185
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 186 (เล่ม 47)

บริภาษนั้น ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า ดีหนอ ที่มนุษย์เมืองสุนาปรันตกะ ฯลฯ
ดีทีเดียวหนอ ที่พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตกะเหล่านี้ไม่ใช้ฝ่ามือประหารข้าพระ-
องค์ดังนี้เป็นต้น และอธิวาสนขันติที่ภิกษุประกอบแล้ว เป็นผู้ที่แม้ฤาษีทั้งหลาย
พึงสรรเสริญ ดังที่สรภังคฤาษีกล่าวไว้ว่า
บุคคลฆ่าความโกรธเสียได้ จะไม่
เศร้าโศกในกาลไหน ๆ ฤาษีทั้งหลายสรร-
เสริญการละความลบหลู่ ท่านทั้งหลายจง
อดทนคำหยาบคายที่คนทั้งปวงกล่าวแล้ว
สัปบุรุษทั้งหลายกล่าวขันตินี้ว่าสูงสุด ดังนี้.
ภิกษุเช่นนั้นแม้เทวดาทั้งหลายก็สรรเสริญ ดังที่ท้าวสักกะจอมเทพ
ตรัสไว้ว่า
ผู้ใดแล เป็นคนมีกำลัง อดกลั้นต่อ
คนผู้ทรุพลไว้ ความอดกลั้นของบุคคลนั้น
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นขันติอย่างยิ่ง
เพราะคนทุรพลต้องอดทนอยู่เป็นนิตย์.๑
ผู้ที่มีความอดทนแม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ตรัสสรรเสริญ ดังที่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ผู้ใดไม่โกรธไม่ประทุษร้าย ย่อมอด
กลั้นต่อการฆ่าและการจองจำ เราเรียกผู้นั้น
ซึ่งมีขันติเป็นพลัง ผู้มีพลังเป็นเสนา ว่า
เป็นพราหมณ์.
๑. สัง. สคาถวรรค ๑๕/ ข้อ ๘๗๕.

186
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 187 (เล่ม 47)

ก็ขันตินี้นั้น พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งการได้รับ
คุณทั้งหลาย ที่ท่านกล่าวพรรณนาไว้ในที่นี้เหล่านี้ และคุณทั้งหลายเหล่าอื่น.
การไม่ถึงความฟุ้งซ่าน หรือความเป็นผู้นิ่ง หรือคิดถึงคุณและโทษ
ในเมื่อตนถูกว่ากล่าวประกอบด้วยธรรม (แต่) ทำความเอื้อเฟื้อความเคารพ
และความอ่อนน้อมอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า ดีละ (ที่ท่านได้กรุณาว่ากล่าวตักเตือน
ข้าพเจ้า) ดังนี้ชื่อว่า โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้ว่าง่ายนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้ได้โอวาทและอนุศาสนี
จากสำนักของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย และเพราะเป็นเหตุให้ได้ละโทษและ
บรรลุคุณ.
การเข้าไปหา การอุปัฏฐาก การระลึกถึง การฟังและการเห็นบรรพ-
ชิตทั้งหลายผู้มีกิเลสอันสงบแล้ว ผู้อบรมกาย วาจา จิตและปัญญาแล้ว ผู้
ประกอบด้วยความฝึกฝนและความสงบอย่างสูง ชื่อว่า การเห็นสมณะทั้งหลาย
การเข้าไปหาทั้งหมดเป็นต้นนั้น ท่านกล่าวว่า ทัสสนะ (การเห็น) เพราะ
ไม่ได้แสดงสิ่งที่ต่ำช้า ข้อนี้พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเหตุไร เพราะมีอุป-
การะมาก และพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเเม้การ
เห็นว่ามีอุปการะมากแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ดังนี้เป็นอาทิ เพราะกุลบุตรที่
ปรารถนาประโยชน์ เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ทรงศีลมาถึงประตูเรือน ถ้าหากว่า
ไทยธรรมมีอยู่ ก็พึงต้อนรับด้วยไทยธรรม ตามกำลัง ถ้าหากว่าไทยธรรม
ไม่มี ก็พึงไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เมื่อการไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์นั้น
ไม่สำเร็จ (ไหว้ไม่สะดวก) ก็พึงประคองอัญชลีนมัสการ แม้เมื่อการประคอง
อัญชลีนมัสการนั้นไม่สำเร็จ ก็พึงนั่งมองด้วยจิตที่เลื่อมใส ด้วยนัยน์ตาทั้งสอง
ที่ประกอบด้วยความรัก เพราะว่าด้วยบุญที่มีการมองดูอย่างนี้เป็นมูลเหตุ โรค
นัยน์ตาก็ดี โทษก็ดี ฝ้าก็ดี ไฝก็ดี ย่อมไม่มีตลอดพันชาติเป็นอเนก เขามี

187
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 188 (เล่ม 47)

จักษุที่แจ่มใส ประกอบด้วยสิริ มีวรรณะ ๕ เช่น กับด้วยหน้าต่างแก้วมณี
ที่เปิดไว้ในวิมานแก้ว เป็นผู้มีปกติได้สมบัติทุกอย่าง ทั้งในเทวโลก ทั้งใน
มนุษยโลกประมาณสิ้นแสนกัป ข้อที่บุคคลมีปัญญา เกิดเป็นมนุษย์มีปัญญา
จะพึงเสวยวิบากสมบัติเห็นปานนั้น ด้วยคุณซึ่งเกิดจากการเห็นสมณะที่เป็นไป
โดยชอบ นี้ไม่น่าอัศจรรย์ (แต่) ข้อที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวสรรเสริญวิบาก
สมบัติ แห่งการเห็นสมณะซึ่งเกิดจากเหตุ เพียงศรัทธาอย่างเดียวเท่านั้น แม้
ของสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย อย่างนี้ว่า
นกฮูกชื่อว่าโกสิยะนี้มีนัยน์ตากลม
อยู่ที่ภูเขาเวทิยกะมานาน มีความสุขหนอ
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้เสด็จลุก
ขึ้นตามกาล
นกฮูกนั้นทำใจให้เลื่อมใสในเรา
(ตถาคต) ในภิกษุสงฆ์ผู้เลิศ จะไม่ไปสู่
ทุคติสิ้นแสนกัป
เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว อันกุศล-
กรรมตักเตือนแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้า
ปรากฏพระนามว่า โสมนัส ผู้มีพระญาณ
อันไม่สิ้นสุด ดังนี้ (จึงเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์)
ชื่อว่า การสนทนาธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสากจฺฉา) ข้าพเจ้า
จะได้กล่าวต่อไป ในเวลาพลบค่ำ หรือในเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุนักพระสูตร ๒
รูป สนทนาพระสูตรกัน นักวินัย ๒ รูป สนทนาพระวินัยกัน นักอภิธรรม
๒ รูป สนทนาอภิธรรมกัน พระภิกษุผู้กล่าวชาดก ๒ รูป สนทนาชาดก

188
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 189 (เล่ม 47)

กัน พระภิกษุผู้เรียนอรรถกถา ๒ รูป สนทนาอรรถกถากัน หรือว่าภิกษุทั้งหลาย
ย่อมสนทนากันในกาลนั้น ๆ เพื่อชำระจิตที่หดหู่ ฟุ้งซ่าน และสงสัยเป็นไป
ในเบื้องหน้า การสนทนาธรรมตามกาลนั้น ท่านเรียกว่า เป็นมงคล เพราะ
เป็นเหตุแห่งคุณทั้งหลาย มีความเป็นผู้ฉลาดในอาคม (ปริยัติ) เป็นต้น.
ด้วยพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๔ มงคล คือ ขันติ ๑
โสวจัสสตา ๑ การเห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมตามกาล ๑ ดัง
พรรณนามาฉะนี้ และความที่ธรรมเหล่านั้นเป็นมงคล ข้าพเจ้าก็ได้อธิบายไว้
ชัดเจนแล้วในมงคลนั้น ๆ นั่นแหละ ดังนี้แล.
จบการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถานี้ว่า
ขนฺตี จ เป็นต้น
คาถาที่ ๙ (มี ๔ มงคล)
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคาถามีบทว่า ตโป จ เป็นต้นดังต่อไปนี้
ธรรมที่ชื่อว่า ตบะ เพราะอรรถว่าแผดเผาบาปธรรมทั้งหลาย. ความประพฤติ
ที่ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า พรหมจรรย์. อีกอย่างหนึ่ง ความประพฤติ
ของพรหมทั้งหลาย ชื่อว่า พรหมจรรย์ มีคำอธิบายว่า ความประพฤติอย่าง
ประเสริฐ. การเห็นอริยสัจทั้งหลาย ชื่อว่า อริยสจฺจานทสฺสนํ อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า อริยสจฺจานิ ทสฺสนํ ดังนี้ก็มี ข้อนี้ไม่ดี.
ที่ชื่อว่า นิพพาน เพราะออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัด ที่ชื่อว่า วานะ.
การทำให้แจ้ง ชื่อว่า สจฺฉิกิริยา.
การทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน ชื่อ นิพฺพานสจฺฉิกิริยา.

189
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 190 (เล่ม 47)

คำที่เหลือมีนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั้นแล นี่คือการพรรณาเฉพาะ
บท ส่วนการพรรณนาเนื้อความ ผู้ศึกษาพึงทราบ ดังต่อไปนี้.
การสำรวมอินทรีย์ โดยแผดเผาอกุศลธรรมทั้งหลาย มีอภิชฌาและ
โทมนัสเป็นต้น หรือความเพียร อันแผดเผาความเกียจคร้านชื่อว่า ตปะ.
เพราะว่าบุคคลที่ประกอบด้วยตปะนั้น ท่านเรียกว่า อาตาปี ผู้มีตบะ หรือ
ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องแผดเผาบาป.
ตบะนี้นั้น พึงทราบว่า เป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้ละอภิชฌาเป็นต้น
เสียได้ และเป็นเหตุให้ได้ฌานเป็นต้น.
ชื่อว่า พรหมจรรย์ เป็นชื่อแห่งเมถุนวิรัติ, สมณธรรม, ศาสนา
และมรรค จริงอย่างนั้น เมถุนวิรัติในธรรมทั้งหลาย มีคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า
บุคคลละความประพฤติที่ไม่ประเสริฐ เป็นผู้มีปกติประพฤติประเสริฐ ดังนี้
ท่านเรียกว่า พรหมจรรย์.
สมณธรรมทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส เราอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ท่านก็เรียกว่า พรหมจรรย์.
ศาสนาในธรรมทั้งหลาย มีคำเป็นอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป
เราจักยังไม่ปรินิพพาน ตราบเท่าที่พรหมจรรย์ของเรานี้ จักไม่บริบูรณ์ ไม่
แพร่หลาย กว้างขวาง มีคนรู้จักมาก ดังนี้ ท่านก็เรียกว่า พรหมจรรย์.
มรรคในคำทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ อัฏฐังคิกมรรค
อันประเสริฐนี้เท่านั้นแล เป็นตัวพรหมจรรย์ คือ สัมมาทิฏฐิ ดังนี้ ท่านก็
เรียกว่า พรหมจรรย์. แต่ในพระสูตรนี้ คำทั้งปวงที่เหลือก็ใช้ได้ เพราะยึดถือ
เอามรรคเป็นเบื้องหน้าในการเห็นอริยสัจ ก็พรหมจรรย์นี้นั้นพึงทราบว่าเป็น
มงคล เพราะเป็นเหตุแห่งการบรรลุคุณวิเศษ มีประการต่าง ๆ สูง ๆ ขึ้นไป.

190
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 191 (เล่ม 47)

การเห็นมรรค ด้วยสามารถแห่งการบรรลุอริยสัจ ๔ มีเนื้อความที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในกุมารปัญหา ชื่อว่า อริสัจจานทัสสนะ
การเห็นอริยสัจนั้นท่านกล่าวว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้ท่านพ้นจากทุกข์
ในสังสารเสียได้.
ชื่อว่า การกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ข้าพเจ้าจักได้กล่าวต่อไป. ใน
มงคลสูตรนี้ คำว่า อรหัตผล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ไว้ว่า นิพพาน
เพราะว่าอรหัตผลนั้น เรียกว่า นิพพาน เพราะออกจากตัณหาที่เรียกว่า
วานะ เพราะร้อยรัดคติ ๕ ไว้. การบรรลุหรือการพิจารณาพระนิพพานนั้น
ท่านเรียกว่า สัจฉิกิริยา การกระทำให้แจ้ง แต่การกระทำให้แจ้วพระนิพพาน
นอกนี้ สำเร็จได้ ก็ด้วยการเห็นอริยสัจเท่านั้น เพราะเหตุนั้นพระนิพพานนี้
จึงไม่ได้ประสงค์เอาในมงคลนี้ การกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานนี้ พึงทราบว่า
เป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ดังพรรณนามาฉะนี้.
ด้วยพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๔ ประการคือ ตบะ ๑
พรหมจริยา ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การทำนิพพานให้แจ้ง ๑ ดังพรรณนามา
ฉะนี้ ก็ความที่ธรรมเหล่านั้นเป็นมงคล ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วใน
มงคลนั้น ๆ นั่นแหละ ดังนี้แล.
จบการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถานี้ว่า
ตโป จ เป็นต้น
คาถาที่ ๑๐ (มี ๔ มงคล)
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในมงคลข้อว่า ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ เป็น
ต้นนี้ ดังต่อไปนี้.

191
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 192 (เล่ม 47)

บทว่า ผุฏฺฐสฺส ได้แก่ สัมผัส คือถูกต้อง ได้แก่ ถึงพร้อม.
ธรรมทั้งหลายในโลก ชื่อว่า โลกธรรม มีคำอธิบายว่า โลกยังเป็น
ไปอยู่ตราบใด ธรรมทั้งหลายก็ไม่หมุนกลับตราบนั้น.
มโน คือ มานัส ชื่อว่า จิต.
บทว่า ยสฺส ได้แก่ พระนวกะ หรือพระมัชฌิมะ หรือพระเถระ.
บทว่า น กมฺปติ ได้แก่ ไม่หวั่น ไม่สะเทือน.
บทว่า อโสกํ ได้แก่ไม่เศร้าโศก คือถอนลูกศรคือความโศกเสียได้.
บทว่า วิรชํ ได้แก่ ผู้ปราศจากราคะ คือผู้กำจัดราคะได้แล้ว.
บทว่า เขมํ ได้แก่ ไม่มีภัย คือไร้อุปัทวะ คำที่เหลือมีนัยดังข้าพเจ้า
กล่าวแล้วแล นี้เป็นการพรรณนาเฉพาะบทก่อน ส่วนการพรรณนาเนื้อความ
พึงทราบดังต่อไปนี้.
จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ก็ไม่หวั่นไหว คือ
จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้ง ๘ มีลาภเป็นต้น ถูกต้องแล้ว คือครอบงำแล้ว
ย่อมไม่หวั่นไหว ได้แก่ ไม่คลอนแคลน ไม่สะเทือน จิตนั้นของบุคคลนั้น
อันใคร ๆ ไม่พึงให้หวั่นไหวได้ เพราะนำโลกุตรมรรคมาให้.
ถามว่า ก็จิตของใครถูกโลกธรรมเหล่านี้ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว.
ตอบว่า จิตของพระอรหันตขีณาสพ ย่อมไม่หวั่นไหว หาใช่จิต
ของใครอื่นไม่ สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ภูเขาศิลาแท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหว
เพราะลมฉันใด รูป รส เสียง กลิ่น

192
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 193 (เล่ม 47)

สัมผัส รวมทั้งธรรมที่น่าปรารถนา และ
ธรรมนี้ไม่น่าปรารถนา หาได้ทำจิตซึ่งตั้งมั่น
หลุดพ้นแล้วของท่านผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่
ทั้งท่านย่อมเห็นความสิ้นไปแห่งสภาวธรรม
เหล่านั้นด้วย ดังนี้๑
จิตของพระขีณาสพเท่านั้น ชื่อว่า อโสกํ ไม่เศร้าโศก. จริงอยู่
จิตของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า ไม่เศร้าโศก เพราะไม่มีความโศก ที่ท่าน
เรียกกันโดยนัยว่า ความโศก ความเศร้าโศก ความเป็นผู้เศร้าโศก ความ
เศร้าโศกในภายใน ความแห้งเกรียมในภายใน ความที่ใจเผาไหม้ ดังนี้เป็นต้น.
อาจารย์บางพวก เรียกจิตที่ไม่เศร้าโศกนี้ว่า พระนิพพาน.
จิตที่ไม่เศร้าโศกนั้น ท่านไม่ต่อกับบทก่อน (จิตที่ถูกโลกธรรม)
เหมือนอย่างว่า คำว่าจิตไม่เศร้าโศกเป็นจิตของพระขีณาสพฉันใด แม้คำว่า
จิตที่ปราศจากธุลี จิตเกษม ก็เป็นจิตของพระขีณาสพเหมือนกันฉันนั้น ด้วยว่า
จิตของพระขีณาสพนั้น ชื่อว่า ปราศจากธุลี เพราะเป็นจิตที่ปราศจากธุลีคือ
ราคะ โทสะ และโมหะ และ ชื่อว่า เกษม เพราะเป็นจิตที่ปลอดจากโยคะ
ทั้งสี่ เพราะจิตของพระขีณาสพนี้ แม้จะมี ๓ อย่าง (อโสกํ วิรชํ เขมํ)
ด้วยสามารถที่ท่านถือเอาในปวัตติขณะนั้น ๆ แสดงไว้โดยอาการนั้น ๆ ก็พึง
ทราบว่า เป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งความเป็นผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีความที่ขันธ์
ไม่เป็นไปอีกเป็นต้น (ไม่ต้องเกิดอีก) และนำมาซึ่งความเป็น อาหุเนยยบุคคล
เป็นต้น.
๑. อัง. ฉักก. ๒๒/ ข้อ ๓๒๖.

193
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ – หน้าที่ 194 (เล่ม 47)

ด้วยพระคาถานี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๔ ประการ ความที่จิต
ไม่หวั่นไหว ด้วยโลกธรรม ๘ อย่าง ๑ จิตไม่เศร้าโศก ๑ จิตปราศจากธุลี ๑
จิตเกษม ๑ ดังพรรณนามาฉะนี้ ก็ความที่แห่งธรรมเหล่านี้เป็นมงคล ข้าพเจ้า
ได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ในมงคลนั้น ๆ นั่นแหละ ดังนี้แล
จบการพรรณนาเนื้อความ แห่งคาถาที่ว่า
ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ เป็นต้นนี้
คาถาที่ ๑๑
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๓๘ ประการ ด้วยพระคาถา ๑๐ พระ-
คาถาว่า อเสวน จ พาลานํ ดังนี้เป็นต้น ดังพรรณนามาฉะนี้. บัดนี้
เมื่อจะทรงชมเชยมงคล ที่พระองค์ตรัสไว้เหล่านี้แล จึงได้ตรัสพระคาถาสุดท้าย
นี้ว่า เอตาทิสานิ กตฺวาน ดังนี้เป็นต้น.
การพรรณนาเนื้อความแห่งพระคาถาสุดท้ายนั้น มีดังต่อไปนี้.
คำว่า เอตาทิสานิ ความว่า มงคลทั้งหลาย มีการไม่เสพพวกคน
พาลเป็นต้น เช่นนี้ เหล่านี้ คือที่มีประการอันเรากล่าวแล้ว.
บทว่า กตฺวาน ได้แก่ การทำแล้ว จริงอยู่บท ๓ บท คือ กตฺวาน
กตฺวา กริตฺวา โดยเนื้อความก็ไม่ใช่อื่น (ถือเป็นอันเดียวกัน)
บทว่า สพฺพตฺถมปราชิตา ความว่า เป็นผู้แม้อันศัตรูอย่างหนึ่งใน
บรรดาศัตรู ๔ ประเภท อันต่างโดยขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร และ
เทวปุตตมาร จะให้พ่ายแพ้ไม่ได้ อธิบายว่า ทำมารทั้ง ๔ ประเภทเหล่านั้น

194