หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 81 (เล่ม 4)

เทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน
ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติ
อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ . . . ชาติ
พราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน
ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบัน
ชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล
. . . ชาติคนจักสาน . . .ชาติพราน . . .ชาติคนช่างหนัง .. .ชาติคนเทดอกไม้
ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติ
อุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ . . .ชาติ
พราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

81
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 82 (เล่ม 4)

พูดล้อกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
ชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ .. . ชื่อ
ชวกัณณกะ ...ชื่อธนิฎฐกะ ...ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน
อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่าน
กุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
ชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ...
ชื่อธัมมรักขิต . . . ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่า
ท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสมบันมี
ชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ
... ชื่อชวกัณณกะ...ชื่อธนิฎฐกะ ...ชื่อสวิฏฐกะ ...ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน
พุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

82
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 83 (เล่ม 4)

พูดล้อยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อ
อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ลือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต . . .
ชื่อธัมมรักขิต . . .ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่า
ท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร
. . . ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร
โมคคัลลานโคตร . . . กัจจายนโคตร . . . วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร
ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร

83
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 84 (เล่ม 4)

. . . ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน
กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ
คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โครตอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบัน โคตมโคตร
. . .โมคคัลลานโคตร. . . กัจจายนโคตร . . .วาเสฎฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร
ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
การงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้
. . .เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
การงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา
. . .เป็นพ่อค้า . . . เป็นคนเลี้ยงโค . . . ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงาน
เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

84
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 85 (เล่ม 4)

พูดล้อประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสันบันมี
การงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็น
ช่างไม้ . . . เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่าน
ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
การงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็น
ชาวนา . . . เป็นพ่อค้า . .เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงาน
ค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
วิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมี
วิชาการช่างจักสาน . . . มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . . . มีวิชาการ
ช่างหนัง . . .มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี
วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่าน
มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด

85
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 86 (เล่ม 4)

พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสันบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน
มีวิชาช่างนับ . . .มีวิชาการช่างคำนวณ. . . มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมี
วิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่าน
มีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
วิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน
มีวิชาการช่างจักสาน . . . มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . .. มีวิชาการ
ช่างหนัง . . . มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ
ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยกกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
วิชาการช่างอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน
มีวิชาการช่างนับ . . . มีวิชาการช่างคำนวณ . . . มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่าน

86
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 87 (เล่ม 4)

มีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน
ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน
. . .โรคฝี . . .โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . . โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น
โรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าเป็นโรคกลาก ว่าเป็นโรคมองคร่อ ว่าเป็น
โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน
ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็น
โรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสันบันมี
โรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน
. . . โรคฝี . . . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . . โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น
โรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.

87
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 88 (เล่ม 4)

พูดล้อยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
โรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน
ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
รูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูง
เกินไป . . . ต่ำเกินไป . . . ดำเกินไป . . . ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก
ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
รูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่
สูงนัก ...ไม่ต่ำนัก . . .ไม่ดำนัก . . .ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่าน
เป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ. แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอุปสัมบันมี

88
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 89 (เล่ม 4)

รูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูง
เกินไป . . .ต่ำเกินไป . . . ดำเกินไป . . . ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก
ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก
ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
รูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้
ไม่สูงเกินไป . . . ไม่ต่ำเกินไป . . .ไม่ดำเกินไป . . .ไม่ขาวเกินไป ว่าท่าน
เป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็น
คนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
กิเลสทรามด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม
. . . ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูก
โทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ
คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนำจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
กิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ

89
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 90 (เล่ม 4)

. . . ปราศจากโทสะ . . . ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูก
โทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ
คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
กิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม
. . . ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจาก
โทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี
กิเลสอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจาก
ราคะ . . . ปราศจากโทสะ . . . ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่าน
ปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่
ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้อง
อาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติ
ปาราชิก . . . ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส . . . ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย . . . ผู้ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ . . . ผู้ต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ . . . ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ . . . ผู้ต้องอาบัติ

90