No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 364 (เล่ม 46)

อรรถกถาเมตตสูตร
เมตตสูตรเริ่มต้นด้วยคาถาว่า กรณียมตฺถกุสเลน ดังนี้ :-
มีอุบัติอย่างไร ? ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายถูกเทวดาทั้งหลายข้างภูเขา
หิมวันต์หลอกให้กลัวแล้ว มาสู่กรุงสาวัตถี อันเป็นสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้ เพื่อประโยชน์แก่การป้องกัน และเพื่อ
ประโยชน์แก่กรรมฐานแก่ภิกษุเหล่านั้น ความสังเขปเพียงเท่านี้ก่อน ส่วนความ
พิสดารมีดังนี้ :-
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อวันเข้าพรรษาใกล้เข้าแล้วประทับ
อยู่ ณ กรุงสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุชาวเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก เรียน
กรรมฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีความประสงค์เพื่อเข้า
จำพรรษา ณ ที่นั้น ๆ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ยินว่า ในที่นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมฐาน อันอนุกูลแก่จริตจำนวน ๘๔,๐๐๐ ประเภท
โดยนัยนี้คืออสุภกรรมฐาน ๑๑ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งสวิญญาณกะและอวิญ-
ญาณกะ สำหรับผู้ราคจริตทั้งหลาย กรรมฐานมีเมตตาเป็นต้น ๔ อย่าง
สำหรับผู้โทสจริตทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลายมีมรณานุสติกรรมฐานเป็นต้น
สำหรับผู้โมหจริตทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลายมีอานาปานัสสติและปฐวีกสิณ
เป็นต้น สำหรับผู้วิตกจริตทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลายมีพุทธานุสติกรรมฐาน
เป็นต้น สำหรับผู้ศรัทธาจริตทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลายมีจตุววัฏฐานเป็นต้น
สำหรับผู้พุทธิจริตทั้งหลาย.

364
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 365 (เล่ม 46)

ครั้งนั้นแล ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป เรียนกรรมฐานในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว แสวงหาเสนาสนะอันสบาย และโคจรคาม ได้เห็น
ภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับหิมวันต์ที่ปลายแดนโดยลำดับ มี
พื้นศิลาสะพรั่งไปด้วยทรายและแก้วมณีสีเขียว ประดับด้วยราวป่าสีเขียวมีร่มเงา
เย็นและหนาทึบ มีภูมิภาคเกลื่อนกล่นด้วยทรายเช่นกับด้วยพวงแก้วมุกดาและ
แผ่นเงิน แวดล้อมด้วยชลาลัยอันสะอาด จืด เย็นสนิท ลำดับนั้นแล ภิกษุ
เหล่านั้นได้พักอยู่ที่ภูเขานั้นคืนหนึ่ง เมื่อราตรีสว่างแล้ว ทำบริกรรมสรีระเสร็จ
ก็เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหนึ่ง ในที่ไม่ไกลภูเขานั้น บ้านนั้นประกอบด้วย
ตระกูลเข้าไปตั้งบ้านเรือนอย่างหนาแน่นประมาณ ๑,๐๐๐ ตระกูล.
ก็ในบ้านนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีศรัทธา เลื่อมใส พอเห็นภิกษุเหล่านั้น
ก็เกิดความปีติและโสมนัส เพราะการเห็นบรรพชิตในปัจจันตชนบทหาได้โดย
ยาก ยังภิกษุเหล่านั้นให้ฉันแล้ว เรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้า
ทั้งหลายจงอยู่ในบ้านนี้แหละตลอดสามเดือน ครั้นขอแล้ว ก็ให้ทำกุฎีสำหรับ
ทำความเพียร ๕๐๐ หลัง จัดแจงเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่าง มีเตียง ตั่ง หม้อ
น้ำดื่ม น้ำใช้เป็นต้นไว้ในบ้านนั้น ในวันที่สอง ภิกษุทั้งหลายเข้าไปยังบ้านอื่น
เพื่อบิณฑบาตมนุษย์ทั้งหลายแม้ในบ้านนั้น ก็บำรุงเหมือนอย่างนั้น อ้อนวอน
ให้อยู่จำพรรษา ภิกษุทั้งหลายเห็นว่าไม่มีอันตราย จึงรับนิมนต์ เข้าไปสู่
ราวป่านั้น ปรารภความเพียรตลอดคืนและวันทั้งปวง เคาะระฆังบอกยาม
เป็นผู้อยู่มากไปด้วยโยนิโสมนสิการ นั่งอาศัยโคนต้นไม้.
รุกขเทวดาทั้งหลายปราศจากเดช เพราะเดชของภิกษุผู้มีศีลทั้งหลาย
ลงจากวิมานของตน ๆ แล้วพาเด็กทั้งหลายเที่ยวไปข้างนี้และข้างโน้น เหมือน

365
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 366 (เล่ม 46)

เมื่อโอกาสในเรือนของชาวบ้านทั้งหลายถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระ-
ราชายึดครองแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายออกจากเรือนไปอยู่ที่อื่น คอยมองดูแต่ไกล
ว่า เมื่อไรหนอ จักไปเสีย ชื่อแม้ฉันใด เทวดาทั้งหลายก็ฉันนั้นและทิ้งวิมาน
ของตน ๆ เที่ยวข้างนี้และข้างโน้น คอยแลดูแต่ไกลเทียวว่า เมื่อไรหนอ
พระคุณเจ้าทั้งหลายจักไปเสีย แต่นั้น ก็คิดร่วมกันอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย
เข้าจำพรรษาต้นอยู่ตลอด ๓ เดือนแน่แท้ แต่พวกเราจักไม่อาจเพื่อจะพาเด็ก
ทั้งหลายลงมาอยู่นานเพียงนั้น เอาเถิด พวกเราจักแสดงอารมณ์อันน่ากลัวแก่
ภิกษุทั้งหลาย และเทวดาเหล่านั้นได้เนรมิตรูปยักษ์ทั้งหลายที่น่ากลัว ในเวลา
ภิกษุทั้งหลายทำสมณธรรมในราตรี ยืนอยู่ข้างหน้า ๆ และร้องเสียงน่าสะพรึง-
กลัว.
เมื่อภิกษุทั้งหลายเห็นอยู่ซึ่งรูปเหล่านั้นและฟังเสียงนั้น หัวใจก็หวั่น-
ไหว และภิกษุทั้งหลายก็มีวรรณะเศร้าหมอง เกิดเป็นโรคผอมเหลือง ด้วย
เหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงไม่อาจเพื่อทำจิตให้เป็นอารมณ์เดียวได้ เมื่อภิกษุ
เหล่านั้น มีจิตไม่มีอารมณ์เดียว และสลดสังเวชบ่อย ๆ เพราะกลัวอารมณ์นั้น
สติก็หลงลืม แต่นั้น เทวดาทั้งหลายก็ประกอบอารมณ์ทั้งหลาย อันมีกลิ่นเหม็น
แก่ภิกษุผู้มีสติหลงลืมเหล่านั้น มันสมองของภิกษุเหล่านั้น เป็นเหมือนถูก
บีบคั้นด้วยกลิ่นเหม็นนั้น เวทนาในศีรษะอันแรงกล้าได้เกิดขึ้นแล้ว และภิกษุ
ทั้งหลายก็ไม่บอกประพฤติการณ์นั้นให้แก่กันและกัน.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหมดประชุมกัน ในเวลาบำรุงพระสังฆเถระ
พระสังฆเถระจึงถามว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เมื่อพวกท่านเข้าสู่ราวป่านี้

366
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 367 (เล่ม 46)

เพียงวันเล็กน้อย ผิวพรรณก็บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ขาวสะอาด และอินทรีย์ทั้งหลาย
ก็ผ่องใส แต่ในบัดนี้ ท่านทั้งหลายผ่ายผอม วรรณะเศร้าหมอง เป็นโรค
ผอมเหลือง ท่านทั้งหลาย ในป่านี้ มีความไม่สบายอย่างไร หรือ ? แต่นั้น
ภิกษุรูปหนึ่งเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกลางคืน กระผมเห็นและฟังอารมณ์
อันน่าสะพรึงกลัวอย่างนี้และอย่างนี้ และสูดกลิ่นเช่นนี้ ด้วยเหตุนั้น จิตของ
กระผม จึงไม่ตั้งมั่น ภิกษุทั้งหมดก็บอกประพฤติการณ์นั้น ด้วยอุบายนั้น
เหมือนกัน พระสังฆเถระกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
อนุญาตการเข้าจำพรรษา ๒ ครั้ง และเสนาสนะนี้ของพวกเราไม่สบาย มาเถิด
อาวุโส พวกเราจักไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามเสนาสนะ
อันสบายอื่น ภิกษุเหล่านั้น ตอบรับพระเถระว่า ดีละท่าน ทั้งหมดเก็บงำ
เสนาสนะแล้ว ถือบาตรจีวร ไม่บอกลาอะไรในตระกูลทั้งหลาย เพราะเป็นผู้
ไม่คลุกคลี หลีกไปสู่จาริกถึงกรุงสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นไปสู่กรุงสาวัตถี โดย
ลำดับ แล้วไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้บัญญัติสิกขาบทว่าภิกษุไม่พึงเที่ยวจาริกในภายใน
พรรษาแล้ว เธอทั้งหลายเที่ยวจาริกเพื่ออะไร ภิกษุเหล่านั้นทูลบอกเรื่องทั้งหมด
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใคร่ครวญอยู่ ก็ไม่ทรงเห็น
เสนาสนะอันเป็นที่สบายของภิกษุเหล่านั้น โดยที่สุดแม้สักว่าที่วางตั่งสี่เท้าใน
ชมพูทวีปทั้งสิ้น ครั้นแล้ว จึงตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เสนาสนะอันเป็นที่สบายของพวกเธอไม่มี พวกเธออยู่ในที่นั้นแหละ พึงถึง

367
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 368 (เล่ม 46)

ความสิ้นไปแห่งอาสวะได้ ไปเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอาศัยเสนาสนะ
นั้นอยู่เถิด ก็ถ้าพวกเธอปรารถนาความไม่มีภัยแต่เทวดาทั้งหลายก็จงเรียน
ปริตรนี้ เพราะปริตรนี้ จักเป็นเครื่องป้องกันและเป็นกรรมฐานของพวกเธอ
ดังนี้ จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสพระดำรัสนี้
ว่า ไปเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอาศัยเสนาสนะนั้นแหละอยู่ จึงตรัสว่า
เออแล ภิกษุผู้อยู่ป่าพึงทราบการคุ้มครอง คือ เมตตา ๒ ปริตร ๒ อสุภะ ๒
มรณสติ ๒ และการพิจารณามหาสังเวควัตถุ ๘ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
อบายทุกข์ ๔ ชื่อว่า มหาสังเวควัตถุ ๘ ด้วยอำนาจทำในเวลาเย็นและเวลาเช้า
อนึ่ง พึงทราบมหาสังเวควัตถุ ๘ อย่าง คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ๔
อบายทุกข์เป็นที่ ๕ ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต
ทุกข์มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสบอก
การคุ้มครองอย่างนี้แล้ว จึงตรัสพระสูตรนี้ แก่ภิกษุเหล่านั้น เพื่อเมตตา
เพื่อป้องกัน และเพื่อฌานอันมีวิปัสสนาเป็นบาท ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้น คาถาที่หนึ่งนี้ว่า กรณียมตฺถกุสเลน มีการพรรณ-
นาตามบทอย่างนี้ก่อน. บทว่า กรณียํ ได้แก่ ประโยชน์อันควรทำ. อธิบาย
ว่าควรแก่การกระทำ. ปฏิปทา ชื่อว่า ประโยชน์ หรือประโยชน์เกื้อกูลของตน
อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นทั้งหมด เรียกว่า ประโยชน์ เพราะเป็นประโยชน์ที่กุลบุตร
ควรได้รับ เพราะเป็นประโยชน์ที่กุลบุตรพึงเข้าถึง ชื่อว่า เพราะเป็นประโยชน์
ที่กุลบุตรควรได้รับ. ผู้ฉลาดในประโยชน์ ชื่อว่า อัตถกุศล อธิบายว่า ผู้
เฉลียวฉลาดในประโยชน์.

368
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 369 (เล่ม 46)

บทว่า ยํ เป็นปฐมาวิภัตติ อนิยมสรรพนาม. บทว่า ตํ เป็น
ทุติยาวิภัตติ นิยมสรรพนาม. หรืยบทว่า ยนฺตํ แม้ทั้งสองก็เป็นปฐมาวิภัตติ.
บทว่า สนฺติ ปทํ เป็นทุติยาวิภัตติ. ในบททั้งสองนั้น ชื่อว่า สนฺติ ก็
เพราะโดยลักษณะ ชื่อว่า ปทํ เพราะเป็นธรรมที่กุลบุตรพึงถึง. บทว่า
สนฺตํ ปทํ นั่นเป็นชื่อของพระนิพพาน.
บทว่า อภิสเมจฺจ ได้แก่ บรรลุแล้ว. ชื่อว่า สักกะ เพราะอรรถ
วิเคราะห์ว่า อาจหาญ มีอธิบายว่า เป็นผู้สามารถ เป็นผู้มีกำลังเฉพาะ.
บทว่า อุชู ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความซื่อตรง. ชื่อว่า สุหุชุ
เพราะอรรถว่า ซื่อตรงโดยดี. ชื่อว่า สุวจะ เพราะอรรถว่า ว่าง่าย. บทว่า
อสฺส ได้แก่ พึงเป็น. บทว่า มุทุ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความอ่อนโยน.
ผู้ไม่เย่อหยิ่ง ชื่อว่า อนติมานี.
ก็ในคาถานี้ มีการพรรณนาเนื้อความอย่างนี้ ในบาทคาถานี้ว่า
กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺตํ สน ตํ ปทํ อภิสเมจฺจ กิจที่ควรทำก็มี กิจที่
ไม่ควรทำก็มี ในกิจสองอย่างนั้น โดยย่อ สิกขา ๓ เป็นกิจที่ควรทำ กิจมี
อาทิอย่างนี้ว่า ศีลวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาจารวิบัติ อาชีววิบัติ เป็นกิจไม่ควรทำ
อนึ่ง กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ก็มี กุลบุตรผู้ฉลาดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
ก็มี.
ในกุลบุตร ๒ พวกนั้น กุลบุตรใดบวชในศาสนานี้แล้ว ย่อมไม่
ประกอบตนโดยชอบ เป็นผู้มีศีลขาด สำเร็จการเลี้ยงชีวิต โดยอาศัยอเนสนา
๒๑ อย่าง คือ ให้ไม้ไผ่ ให้ใบ ให้ดอกไม้ ให้ผลไม้ ให้ไม้สีฟัน ให้น้ำ
ล้างหน้า ให้เครื่องอาบ ให้จุณ ให้ดินเหนียว พูดยกยอเพื่อต้องการให้เขารัก

369
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 370 (เล่ม 46)

พูดทีเล่นทีจริงเสมอด้วยแกงถั่ว การเป็นคนรับเลี้ยงเด็ก การรับใช้ฆราวาส
การทำเวชกรรม การทำทูตกรรม การไปอย่างผู้ต่ำทราม การให้อาหารเพื่อ
หวังลาภ การทำนายพื้นที่ การทำนายฤกษ์ การดูอวัยวะ และเที่ยวไปใน
อโคจร ๖ อย่าง คือ หญิงแพศยา หญิงม่าย หญิงสาวทึนทึก บัณเฑาะก์
ภิกษุณี และร้านสุรา และอยู่คลุกคลีด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา
เดียรถีย์สาวกของเดียรถีย์ การคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ที่ไม่สมควร ก็หรือ ย่อมเสพ
คบ เข้าไปหาตระกูลทั้งหลายที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ด่าบริภาษ ใคร่ความ
ฉิบหาย ใคร่ต่อสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์เกื้อกูล ความไม่ผาสุกและความไม่เกษม
จากโยคะแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ อุบาสิกาทั้งหลาย กุลบุตรนี้ ชื่อว่า ผู้ฉลาด
ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์.
ส่วนกุลบุตรใดบวชในศาสนานี้แล้ว ประกอบตนโดยชอบ ละอเนสนา
เป็นผู้ใคร่เพื่อดำรงอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล บำเพ็ญปาฏิโมกขสังวร ด้วยศรัทธา
เป็นหลัก บำเพ็ญอินทริยสังวร ด้วยสติเป็นหลัก บำเพ็ญอาชีวปาริสุทธิ์
ด้วยวิริยะเป็นหลัก บำเพ็ญปัจจยปฏิเสวนา ด้วยปัญญาเป็นหลัก กุลบุตรนี้
ชื่อว่า ผู้ฉลาดในประโยชน์.
หรือ กุลบุตรใดชำระปาฏิโมกขสังวร ด้วยอำนาจแห่งการชำระอาบัติ
๗ กอง อินทริยสังวร ด้วยอำนาจแห่งความไม่เกิดขึ้น แห่งอุปกิเลสทั้งหลาย
มีอภิชฌาเป็นต้น ในอารมณ์ที่มากระทบในทวารทั้งหก ชำระอาชีวปาริสุทธิ์
ด้วยการคบพระพุทธเจ้า อนุพุทธสาวกและบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ที่ผู้รู้สรรเสริญ
แล้ว ด้วยอำนาจแห่งการงดเว้นอเนสนา ชำระปัจจยปฏิเสวนะ ด้วยอำนาจ
แห่งการพิจารณาตามทีกล่าวแล้ว และชำระสัมปชัญญะ ด้วยอำนาจแห่งการ

370
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 371 (เล่ม 46)

พิจารณาสิ่งที่มีประโยชน์เป็นต้น ในการเปลี่ยนอิริยาบถทั้งสี่ กุลบุตรแม้นี้
ชื่อว่า ผู้ฉลาดในประโยชน์.
หรือ กุลบุตรใดรู้ว่าศีลบริสุทธิ์ได้ เพราะอาศัยญาณ เหมือนผ้าสกปรก
ย่อมสะอาดได้ เพราะอาศัยน้ำสะอาด กระจกเงาผ่องใสได้ เพราะอาศัยขี้เถ้า
ทองบริสุทธิ์ได้ เพราะหลอมในเบ้า ฉะนั้น ล้างอยู่ด้วยน้ำคือญาณ ชื่อว่า
ยังศีลให้บริสุทธิ์ และเป็นผู้ไม่ประมาทเลย ย่อมรักษาศีลขันธ์ของตน เหมือน
นกต้อยตีวิดรักษาไข่ แม่เนื้อจามรีรักษาขนหาง นางนารีผู้มีบุตรน้อยคนเดียว
รักษาบุตรน้อยคนเดียวที่รัก และบุรุษมีนัยน์ตาข้างเดียว รักษานัยน์ตาข้างเดียว
นั้น ฉะนั้น พิจารณาอยู่ทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้า ย่อมไม่เห็นโทษแม้มีประมาณ
น้อย กุลบุตรแม้นี้ ชื่อว่า ผู้ฉลาดในประโยชน์.
ก็หรือ กุลบุตรใดดำรงอยู่ในศีลเป็นเครื่องกระทำไม่ให้เดือดร้อน
ประคองปฏิปทาเครื่องข่มกิเลส ครั้นประคองปฏิปทานั้นแล้ว ย่อมทำกสิณ
บริกรรม ครั้นทำกสิณบริกรรมแล้ว ย่อมยังสมาบัติทั้งหลายให้เกิด กุลบุตร
แม้นี้ ชื่อว่า ผู้ฉลาดในประโยชน์.
ก็กุลบุตรใดออกจากสมาบัติ พิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว บรรลุ-
พระอรหัต กุลบุตรนี้ เป็นผู้เลิศแห่งกุลบุตรผู้ฉลาดทั้งหลาย.
ในคาถานั้น ภิกษุเหล่านี้แม้ใด เป็นผู้ฉลาดในประโยชน์ที่พรรณนา
แล้ว ตั้งแต่การดำรงอยู่ในศีลเป็นเครื่องกระทำไม่ให้เดือดร้อน หรือตั้งแต่
การประคองปฏิปทาเป็นเครื่องข่มกิเลส ภิกษุเหล่านั้น ท่านประสงค์ว่า เป็น
ผู้ฉลาดในประโยชน์ ในอรรถนี้ และภิกษุเหล่านั้น ก็เป็นอย่างนั้น ด้วย

371
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 372 (เล่ม 46)

เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กรณียมตฺถกุสเลน ด้วยเทศนาอันมี
บุคคลเดียวเป็นที่ตั้ง ทรงหมายถึงภิกษุเหล่านั้น ต่อแต่นั้น จึงตรัสว่า ยนฺตํ
สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ แก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้เกิดความสงสัยว่า ประโยชน์
จะพึงทำเป็นอย่างไร อธิบายดังนี้ บทใดอันกุลบุตรผู้ต้องการเพื่อจะอยู่บรรลุ
บท คือ พระนิพพานอันสงบ ด้วยการแทงตลอด ควรกระทำ บทนั้นอัน
พระพุทธเจ้าและพระอนุพุทธะทั้งหลายพรรณนาไว้แล้ว.
ก็ในคาถานี้ บทที่กล่าวแล้วแต่ต้นแห่งคาถาบทนี้ว่า ยํ ย่อมคล้อยตาม
อธิการว่า กรณียํ. บทว่า ตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ พึงทราบว่า ก็
เนื้อความนี้มีบาลีที่เหลือ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิหริตุกาเมน.
อนึ่ง ในบทว่า สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ นี้ พึงทราบอธิบายอย่างนี้ว่า
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ รู้บทนิพพานว่า สงบ ด้วยโลกิยปัญญา ด้วย
อำนาจแห่งการฟังเป็นต้น เป็นผู้ใคร่เพื่อจะบรรลุบทนิพพานนั้น พึงกระทำ
กิจที่คล้อยตามอธิการว่า พึงกระทำ.
อนึ่ง เมื่อตรัสว่า กรณียมตฺถกุสเลน จึงตรัสว่า ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ
อภิสเมจฺจ แก่ภิกษุทั้งหลายผู้คิดอยู่ว่าอะไร ? ผู้ศึกษาพึงทราบอธิบายบท
นั้นว่า กุลบุตรตรัสรู้บทอันสงบด้วยโลกิยปัญญา พึงกระทำประโยชน์ที่ควร
กระทำ มีอธิบายว่า ประโยชน์นั้นควรทำนั่นเทียว.
ถามว่า ก็ประโยชน์นั้นคืออะไร ตอบว่า นอกจากอุบายเป็นเครื่อง
บรรลุสันตบทนั้น จะพึงมีประโยชน์อื่นอะไรเล่า ก็สันตบทนั้น ได้กล่าวแล้ว
ด้วยบทต้นอันแสดงถึงไตรสิกขา ซึ่งมีอรรถว่าสมควรแก่การกระทำ แม้ก็จริง

372
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 373 (เล่ม 46)

ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในการพรรณนาเนื้อความแห่งบทนั้นว่า
ประโยชน์ควรทำก็มี ประโยชน์ไม่ควรทำก็มี ในประโยชน์ ๒ อย่างนั้น โดย
ย่อไตรสิกขาเป็นประโยชน์ควรทำ แต่เพราะทรงแสดงโดยย่อเกินไป ภิกษุ
เหล่านั้น บางพวกก็รู้ บางพวกก็ไม่รู้ แต่นั้น ทรงแสดงประโยชน์ที่ภิกษุอยู่ป่า
เป็นวัตรจะพึงทำโดยพิเศษให้พิสดาร เพื่อให้ภิกษุพวกที่ยังไม่รู้ได้รู้ จึงตรัส
กึ่งคาถานี้ก่อนว่า เป็นผู้อาจหาญ เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน
ไม่เย่อหยิ่ง ดังนี้.
มีอธิบายอย่างไร ? กุลบุตรผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ประสงค์จะตรัสรู้สันตบท
อยู่ หรือตรัสรู้สันตบทนั้น ด้วยโลกิยปัญญา ปฏิบัติเพื่อบรรลุสันตบทนั้น
ไม่อาลัยในกายและในชีวิต ด้วยการถึงพร้อมด้วยความเพียรองค์ที่ ๒ และองค์
ที่ ๔ พึงอาจเพื่อปฏิบัติในการแทงตลอดสัจจะ อนึ่ง พึงเป็นผู้อาจหาญใน
กรณียกิจน้อยใหญ่ของสพรหมจารีทั้งหลายมีกสิณบริกรรม และการสมาทานวัตร
เป็นต้น ในกิจทั้งหลายมีการซ่อมแซมบาตรและจีวรของตน และในกิจเหล่าอื่น
เห็นปานนั้น เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน เป็นผู้สามารถ และแม้จะเป็นผู้
อาจหาญ ก็ต้องเป็นผู้ตรง ด้วยการถึงพร้อมด้วยความเพียรองค์ที่ ๓ และแม้
จะเป็นผู้ตรง ก็ต้องไม่ถึงความพอใจ ด้วยความเป็นผู้ตรงครั้งเดียว พึงเป็น
ผู้ตรงให้ดีกว่า ด้วยการกระทำไม่ย่อหย่อนบ่อย ๆ ตลอดชีวิต หรือเป็นผู้ตรง
เพราะความเป็นผู้ไม่โอ้อวด เป็นผู้ซื่อตรง เพราะความเป็นผู้ไม่มีมายา เป็น
ผู้ตรง ด้วยการละการคดทางกายและทางวาจา เป็นผู้ซื่อตรง ด้วยการละการ
คดทางใจ หรือเป็นผู้ตรง ด้วยการไม่โปรยคุณที่ไม่มี เป็นผู้ซื่อตรง ด้วยการ

373