No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 344 (เล่ม 46)

ด้วยคำว่า เป็นผู้ปฏิบัติชั่วเป็นต้น. ก็บทว่า ปริพฺพาชกํ คหฏฺฐํวา นั่น
เป็นวิเสสนะของสาวกเท่านั้น. อธิบายว่า บรรพชิต หรือคฤหัสถ์ ผู้ถวาย
ปัจจัย ผู้เป็นสาวกพระพุทธเจ้านั้น. โบราณาจารย์ทั้งหลายย่อมต้องการเนื้อ
ความในคาถานี้ อย่างนี้ว่า ย่อมติเตียนปริพาชกภายนอก หรือคฤหัสถ์คนใด
คนหนึ่ง ด้วยโทษอันไม่เป็นจริง.
บุทว่า อนรหํ สนฺโต ความว่า ผู้ไม่เป็นพระขีณาสพ. บทว่า
อรหํ ปฏิชานติ ความว่า ปฏิญาณว่า เราเป็นพระอรหันต์ คือ ย่อมเปล่ง
วาจา ย่อมตะเกียกตะกายด้วยกาย ย่อมปรารถนา ย่อมรับด้วยจิต โดยประการ
ที่บุคคลทั้งหลายรู้เขาว่า คนนี้เป็นพระอรหันต์. บทว่า โจเร ได้แก่ ขโมย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจคำอันอุกฤษฏ์ว่า ในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก
อธิบายว่า ในโลกทั้งปวง.
จริงอยู่ พวกผู้ร้ายทำการตัดที่ต่อ การปล้นสดมภ์ การปล้นเรือน
หลังเดียว และการดักปล้นในหนทางเป็นต้นแล้ว ปล้นทรัพย์ของคนเหล่าอื่น
ท่านเรียกว่า โจร ในโลก พวกบรรพชิตปล้นปัจจัยเป็นต้น ด้วยบริษัทสมบัติ
เป็นต้น ท่านเรียกว่า โจร ในพระศาสนา. สนดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[มหาโจร]
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ เหล่านี้ มีอยู่ ปรากฏอยู่ใน
โลก ๕ เป็นไฉน คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ คิด
อย่างนี้ว่า ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร ๑๐๐ คน หรือ ๑,๐๐๐ คน
แวดล้อมแล้ว จักเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ให้ฆ่า ตัดเอง

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 345 (เล่ม 46)

ให้ตัด จี้เอง ให้จี้ โดยสมัยอื่น เขามีบริวาร ๑๐๐ คน หรือ ๑,๐๐๐ คน
แวดล้อมแล้ว เที่ยวไปอยู่ในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ฯลฯ ให้จี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้ ก็เหมือนอย่างนั้นแล คิดอย่างนี้ว่า
ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร ๑๐๐ ฯลฯ แวดล้อมแล้ว จักไปสู่ที่จารึก
ในคาม นิคม และราชธานี ผู้อันคฤหัสถ์ทั้งหลายและบรรพชิตทั้งหลายสักการ
แล้ว เคารพแล้ว นับถือแล้ว บูชาแล้ว ยำเกรงแล้ว ได้จีวร ฯลฯ บริขาร
โดยสมัยอื่นอีก เขาอันบริวาร ๑๐ ฯลฯ เที่ยวไปสู่คาม นิคม ราชธานีสักการะ
แล้ว ฯลฯ ได้จีวร ฯลฯ บริขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ ๑ มีอยู่
ปรากฏอยู่ในโลก.
๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้
เรียนธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมเผาตนเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้มหาโจรที่ ๒ ฯลฯ ในโลก.
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้
กำจัดพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรย์อัน
ไม่มีมูล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ ๓ ฯลฯ ในโลก.
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์
คือ อาราม อารามวัตถุ วิหาร วิหารวัตถุ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อ-
โลหะ อ่างโลหะ ขวดโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สิ่ว เถาวัล
ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดินเหนียว
ภิกษุชั่วย่อมสงเคราะห์ ย่อมช่วยเหลือคฤหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารเหล่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ ๔ ฯลฯ ในโลก.

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 346 (เล่ม 46)

๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตนไม่มี ไม่
เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดา
และมนุษย์.
ในโจร ๕ จำพวกนั้น โจรทางโลกย่อมขโมยวัตถุมีทรัพย์และธัญชาติ
เป็นต้น เฉพาะทางโลกเท่านั้น ในบรรดาโจรที่กล่าวแล้วในศาสนา โจรที่ ๑
ย่อมขโมยสักว่าปัจจัยมีจีวรเป็นต้น มีรูปเห็นปานนั้นเท่านั้น โจรที่ ๒ ย่อม
ขโมยประยัติธรรม โจรที่ ๓ ย่อมขโมยพรหมจรรย์ของคนอื่น โจรที่ ๔ ย่อม
ขโมยครุภัณฑ์อันเป็นของสงฆ์ โจรที่ ๕ ย่อมขโมยทั้งคุณทรัพย์ที่เป็นโลกิยะ
และโลกุตระ อันต่างด้วยฌาน สมาธิ สมาบัติ มรรค และผลทั้งปัจจัยมีจีวร
เป็นต้น อันเป็นโลกีย์ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก้อนข้าวของแว่นแคว้น พวกเธอบริโภคแล้ว ด้วยไถยจิต.
ในโจร ๕ จำพวกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นโจรในโลก
พร้อมทั้งพรหมโลก ดังนี้ ทรงหมายถึงมหาโจรที่ ๕ นี้ เพราะมหาโจรนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นยอดมหาโจร เพราะขโมยโลกิยทรัพย์และ
โลกุตรทรัพย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตน
ไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก . . . พร้อม
ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้น จึงทรงประกาศภิกษุนั้น แม้ในศาสนานี้
ด้วยการกำหนดอย่างสูงนี้ว่า ในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก.
ศัพท์ว่า โข ในบทนี้ว่า เอโส โข วสลาธโม มีอวธารณะ
เป็นอรรถ. ด้วยโขศัพท์นั้น ทรงกำหนดลงไปว่า ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 347 (เล่ม 46)

คือ เลวที่สุดของคนถ่อยทั้งหลาย. เพราะเหตุไร เพราะหลั่งออกซึ่งไถยธรรม
ในวัตถุอันประเสริฐ เขาไม่สละปฏิญาณนั้นตราบใด เขาก็บรรลุแล้วซึ่งธรรม
ที่ทำให้เป็นคนถ่อย เป็นคนถ่อยตราบนั้น.
บทว่า เอเต โข วสลา ความว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ
จะทรงแสดงขยายถึงคนถ่อย ๓๓ พวก หรือ ๓๔ พวก ที่ตรัสอย่างนี้ว่า ใน
คาถาที่ ๑ มี ๕ พวก มีมักโกรธเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งอาสยวิบัติ หรือมี
๖ พวก โดยแยกลบหลู่อย่างเลวออกเป็น ๒ อย่าง ในคาถาที่ ๒ มี ๑ คือ ผู้
เบียดเบียนสัตว์ ด้วยอำนาจแห่งประโยควิบัติ ในคาถาที่ ๓ มี ๑ คือ ผู้ฆ่า
ชาวบ้านและชาวนิคม ด้วยอำนาจแห่งประโยควิบัติเท่านั้น ในคาถาที่ ๔ มี ๑
ด้วยอำนาจแห่งไถยาวหาร ในคาถาที่ ๕ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งการตระบัดหนี้
ในคาถาที่ ๖ มี ๑ คือ ฆ่าคนเดินทาง ด้วยอำนาจปสัยหาวหาร ในคาถาที่ ๗
มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งผู้เป็นพยานโกง ในคาถาที่ ๘ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งการ
ประทุษร้ายมิตร ในคาถาที่ ๙ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งผู้อกัตญญู ในคาถาที่ ๑๐
มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งผู้ทำความเสียหาย และเบียดเบียน ในคาถาที่ ๑๑ มี ๑
ด้วยอำนาจแห่งการลวงผู้อื่น ในคาถาที่ ๑๒ มี ๒ ด้วยอำแห่งคนผู้ปกปิด
กรรมและการงาน ในคาถาที่ ๑๓ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งคนอกตัญญูเหมือนกัน
ในคาถาที่ ๑๔ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งการลวง ในคาถาที่ ๑๕ มี ๑ ด้วยอำนาจ
แห่งการเบียดเบียน ในคาถาที่ ๑๖ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งการลวง ในคาถา
๑๗ มี ๒ ด้วยอำนาจแห่งการยกตนข่มท่าน ในคาถาที่ ๑๘ มี ๗ มีฉุนเฉียว
เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งประโยคและอาสยวิบัติ ในคาถาที่ ๑๙ มี ๒ ด้วย

347
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 348 (เล่ม 46)

อำนาจแห่งการติเตียน ในคาถาที่ ๒๐ มี ๑ ด้วยอำนาจแห่งอัครมหาโจร
ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว คนเหล่านั้นนั่นแล
เรากล่าวว่า เป็นคนถ่อย ดังนี้.
เนื้อความแห่งพระดำรัสนั้น มีดังนี้ :-
คนถ่อยเหล่านั้นใดที่เรากล่าวในกาลก่อนโดยย่ออย่างนี้ว่า ดูก่อน
พราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อยหรือ คนถ่อยเหล่านั้นนั่นแล เราประกาศแล้ว
โดยพิสดาร.
อนึ่ง คนถ่อยเหล่านั้นใด เรากล่าวแล้ว ด้วยอำนาจบุคคล คนถ่อย
เหล่านั้นนั่นแล เราประกาศแล้ว แม้ด้วยอำนาจแห่งธรรม.
อนึ่ง คนถ่อยเหล่าใด เราประกาศแล้วแก่ท่าน คนถ่อยเหล่านั่นแล
เรากล่าวแล้ว ด้วยอำนาจแห่งอริยธรรม หาได้กล่าวด้วยอำนาจแห่งชาติไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงคนถ่อยอย่างนี้ โดยนัยมีอาทิว่า
มักโกรธ ผูกโกรธ ดังนี้ บัดนี้ เมื่อจะทรงปฏิเสธทิฏฐิที่พราหมณ์ ยึดมั่น
อย่างยิ่ง ด้วยสักกายทิฏฐิ จึงตรัสว่า น ชจฺจา วสโล บุคคลไม่เป็นคน
ถ่อยเพราะชาติ.
เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ก็โดยปรมัตถ์ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะ
ชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์
เพราะกรรม เป็นคนถ่อยเพราะหลั่งออกซึ่งกรรมอันไม่บริสุทธิ์ เป็นพราหมณ์
เพราะลอยกรรมอันไม่บริสุทธิ์ ด้วยกรรมอันบริสุทธิ์ หรือ เพราะท่านสำคัญ
คนเลวว่าเป็นคนถ่อย คนประเสริฐว่าเป็นพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรง

348
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 349 (เล่ม 46)

ยังพราหมณ์ให้รู้เนื้อความแม้อย่างนี้ว่า บุคคลเป็นคนถ่อยเพราะกรรมเลว เป็น
พราหมณ์เพราะกรรมประเสริฐดังนี้ จึงตรัสอย่างนั้น.
บัดนี้ เพื่อทรงยังเนื้อความนั้นนั่นแลให้สำเร็จ ด้วยการทรงแสดง
ขยาย จึงตรัสคถา ๓ คาถา มีอาทิว่า ตทมินาปิ ชานาถ ดังนี้. ในคาถา
เหล่านั้น ๒ คาถามีคาถาละ ๔ บท คาถาหนึ่ง มี ๖ บท.
เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้นว่า ข้อใดมีอาทิว่า บุคคลไม่เป็นคนถ่อย
เพราะชาติ เรากล่าวแล้ว ท่านจงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ มีอธิบายว่า
คำที่เราแสดงขยายนี้ย่อมมีโดยประการใด คือ โดยความเหมือนกันอันใด ท่าน
จงรู้ข้อนั้น โดยประการแม้นี้.
หากจะมีคำถามว่า ตัวอย่างเป็นไฉน ?
ตอบว่า บุตรของคนจัณฑาล เลี้ยงตนเองได้ ฯลฯ เป็นผู้เข้าถึง
พรหมโลก เป็นตัวอย่าง. บุตรของคนจัณฑาล ชื่อว่าจัณฑาลบุตร บุคคลใด
ได้ของที่สุกแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การเคี้ยวกินของตนแล้ว หุงของสุกเหล่านั้น
อีก เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อว่า โสปาก ผู้เลี้ยงตนเองมีชื่อว่า มาตังคะ.
บทว่า วิสฺสุโต ความว่า ปรากฏแล้ว ด้วยชาติเลว เป็นอยู่เลว
และมีชื่ออย่างนี้. บทว่า โส ความว่า มาตังคะนั้นเกี่ยวกับบทก่อน ได้ยศ
อย่างสูง คือ บรรลุพร้อมแล้ว ซึ่งยศ คือ เกียรติ การสรรเสริญ น่า
อัศจรรย์ อันอุดม ประเสริฐยิ่ง. บทว่า ยํ สุทุลฺลภํ ความว่า อัน บุคคล
แม้เกิดแล้วในตระกูลสูงก็ได้โดยยาก อันบุคคลผู้เกิดในตระกูลเลว ก็ได้โดย
แสนยาก. อธิบายว่า ก็พวกกษัตริย์พวกพราหมณ์ เป็นอันมาก มาสู่ที่บำรุง

349
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 350 (เล่ม 46)

ของมาตังคะนั้น ผู้ได้ถึงยศอย่างนี้ คือ พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ และ
พวกมนุษย์ ในชมพูทวีปเหล่าอื่นมากมีแพศย์และศูทรเป็นต้น ต่างก็มาสู่ที่
บำรุงโดยมาก เพื่อบำรุงมาตังคะนั้น.
อธิบายว่า มาตังคะนั้นถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างนี้ ขึ้น
สู่ยาน คือ สมาบัติแปด ชื่อว่า วิรัช เพราะปราศจากธุลี คือ กิเลส ชื่อว่า
ทางใหญ่ เพราะท่านผู้ใหญ่มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ปฏิบัติแล้ว ที่รู้กันว่า ยาน
ไปสู่พรหมโลก เพราะเป็นยานสามารถเพื่อให้ถึงเทวโลก กล่าวคือ พรหมโลก
ชำรอกกามราคะเสียได้ ด้วยการปฏิบัตินั้น ก็ไม่ได้ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก
คือจากการอุบัติในพรหมโลก ก็ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความนี้ อย่างนี้.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล มหาบุรุษกระทำอยู่ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์
โดยอุบายนั้น ๆ อุบัติในตระกูลของคนจัณฑาล ซึ่งเลี้ยงชีพด้วยอาหารที่ตน
ให้สุกเอง เขามีชื่อว่า มาตังคะ มีรูปร่างไม่น่าดู อาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทำ
ด้วยหนังสัตว์ ในภายนอกนคร เที่ยวขอภิกษาในภายในนครเลี้ยงชีวิต.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเข้าโฆษณานักษัตรเกี่ยวกับสุราในนครนั้น พวกนัก
เลงพากันเล่นกับบริวารของตน ธิดาของพราหมณ์มหาศาลแม้คนหนึ่ง อายุราว
๑๕-๑๖ ปี มีรูปโฉมน่าดู. น่าเลื่อมใสดุจเทพกัญญา คิดว่า เราจักเล่นตาม
สมควรแก่ตระกูลวงศ์ของตน จึงบรรทุกสัมภาระเกี่ยวกับการเล่นมีของเคี้ยวของ
กินเป็นต้น อย่างเพียงพอใส่เกวียนทั้งหลาย ขึ้นสู่ยานที่เทียมด้วยแม่ม้าขาว-
ปลอด ไปสู่สถานที่ในอุทยาน ด้วยบริวารใหญ่ นางมีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา
ได้ยินว่า นางไม่ปรารถนาจะเห็นรูปที่ไม่สวยงามด้วยคิดว่า เป็นอวมงคล
ด้วยเหตุนั้น นางจึงเกิดมีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา.

350
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 351 (เล่ม 46)

ในกาลครั้งนั้น มาตังคะนั้นลุกขึ้นตามกาลนั่นเทียวนุ่งผ้าเก่า ผูกก้าน
ตาลที่มือ ถือภาชนะเข้าสู่นคร เห็นมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ก็เคาะก้านตาลแต่
ไกลแล ลำดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา อันบุรุษทั้งหลายกำลังไล่ชนที่เลวข้าง
หน้า ๆ ว่า พวกท่านจงลุกออกไป จงลุกออกไป นำทางอยู่ ได้เห็นมาตังคะ
ในท่ามกลางประตูนคร จึงกล่าว นั่นใคร. ข้าพเจ้าเป็นลูกคนจัณฑาล ชื่อ
มาตังคะ. นางคิดว่า คนทั้งหลายที่ไปเห็นคนเช่นนี้ จะมีความเจริญแต่ที่ไหน
จึงสั่งให้นำยานกลับ. มนุษย์ทั้งหลายโกรธว่า พวกเราไปสู่อุทยานแล้ว พึงได้
วัตถุมีของเคี้ยวและของกินเป็นต้นใด อันตรายแห่งวัตถุมีของเคี้ยวและของกิน
เป็นต้นนั้นของพวกเรา ถูกมาตังคะกระทำแล้ว จึงพูดว่า พวกท่านจงจับคนจัณ-
ฑาล ประหารด้วยก้อนดินทั้งหลาย รู้ว่าตายแล้ว จึงจับเท้าไปทิ้งที่ส่วนข้างหนึ่ง
กลบด้วยหยากเยื่อแล้วไป เขากลับได้สติแล้ว ลุกขึ้นถามมนุษย์ทั้งหลายว่า
นาย ! ชื่อว่า ประตูเป็นของทั่วไปแก่คนทั้งปวง หรือทำไว้สำหรับพวกพราหมณ์
เท่านั้น. มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ไม่ได้ทำ ประตูเป็นของทั่วไปแก่คนทั้งปวง.
มาตังคะคิดว่า มนุษย์ทั้งหลายให้เราผู้เข้าไปทางประตูที่ทั่วไปแก่ชนทั้งปวงแล้ว
ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยภิกขาจาร ให้ถึงความพินาศย่อยยับนี้ เพราะนางทิฏฐ-
มังคลิกาเป็นเหตุ จึงเที่ยวไปตามถนนสู่ถนน บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายแล้ว นอน
ที่ประตูเรือนของพราหมณ์ ด้วยคิดว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้ว จักไม่
ลุกขึ้น.
พราหมณ์ฟังว่า มาตังคะนอนที่ประตูเรือน จึงกล่าวว่า ท่านจงให้
กากณิกหนึ่งแก่เขา เอาน้ำมันงาทาตัวแล้ว จงไป มาตังคะนั้นย่อมไม่ปรารถนา

351
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 352 (เล่ม 46)

กากณิกนั้น จึงกล่าวว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้ว จักไม่ลุกขึ้น แต่นั้น
พราหมณ์กล่าวว่า จงให้ ๒ กากณิก จงกินมูล ๑ กากณิก เอาน้ำมันงาทาตัว
๑ กากณิก แล้วไป เขาไม่ต้องกากณิกแม้นั้น ยังพูดยืนยันตามเดิมนั่นแล
พราหมณ์ฟังแล้ว ก็สั่งว่า จงให้มาสก บาท กึ่งกหาปณะ ๒ กหาปณะ
๓ กหาปณะ จนถึง ๑๐๐ กหาปณะ เขาก็ไม่ต้องการ ยังพูดยืนยันตามเดิม
นั่นแล เมื่อพวกเขาอ้อนวอนอยู่อย่างนี้นั่นเทียว พระอาทิตย์ก็อัสดง.
ลำดับนั้น นางพราหมณีลงจากปราสาท ให้ล้อมผ้าม่าน เข้าไปหา
มาตังคะนั้นแล้วอ้อนวอน กล่าวว่า แน่ะพ่อมาตังคะ เจ้าจงอดโทษแก่นาง
ทิฏฐมังคลิกาเถิด จงรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ๒-๓ พันกหาปณะ จนถึงแสน
กหาปณะ เขาก็คงนอนนิ่งอย่างนั่นเทียว เมื่อ ๔-๕ วันล่วงไปอย่างนี้แล้ว
ชนทั้งหลายมีขัตติยกุมารเป็นต้น ให้บรรณาการแม้มากแล้ว เมื่อไม่ได้นาง
ทิฏฐมังคลิกา จึงกระซิบบอกที่หูมาตังคะว่า ธรรมดาบุรุษทั้งหลายทำความ
เพียรหลายปี จึงถึงความปรารถนา ท่านอย่าเบื่อเลย จักได้นางทิฏฐมังคลิกา
โดยล่วงไป ๒-๓ วันแน่แท้. เขาก็คงนอนนิ่งอย่างนั้นนั่นแหละ.
ลำดับนั้น ในวันที่ ๗ พวกคุ้นเคยโดยรอบ ลุกขึ้นกล่าวว่า ท่าน
จงให้มาตังคะลุกขึ้น หรือจงให้ทาริกา อย่าให้พวกเราทั้งหมดเสียหายเลย.
ได้ยินว่า พวกชนเหล่านั้นมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า คนจัณฑาลนอนตายอย่างนี้ ใน
ประตูเรือนของคนใด พวกคนที่อยู่ในเรือนโดยรอบละ ๗ หลังคาเรือน พร้อม
ด้วยเรือนของคนนั้น ก็จะกลายเป็นคนจัณฑาลด้วย. แต่นั้น พราหมณ์และ
นางพรหมณี ให้นางทิฏฐมังคลิกานุ่งผ้าเก่าสีเขียว ให้วัตถุทั้งหลายมีกระบวย

352
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ – หน้าที่ 353 (เล่ม 46)

และหม้อเป็นต้น นำนางผู้คร่ำครวญอยู่ไปสู่สำนักของมาตังคะนั้นแล้ว กล่าวว่า
เจ้าจงรับทาริกา ลุกขึ้นไปเสีย นางทาริกานั้นยืนที่ข้างกล่าวว่า จงลุกขึ้น. มา-
ตังคะนั้นกล่าวว่า จงจับมือฉันให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า พวกเราไม่ได้เพื่ออยู่ภาย
ในนคร มาเถิด จงนำฉันไปสู่กระท่อมหนัง ในภายนอกนคร. นางจูงมือเขา
นำไปที่กระท่อมหนัง. อาจารย์ผู้กล่าวชาดกว่า ให้ขี่หลัง. ก็ครั้นนำไปแล้ว
จึงเอาน้ำมันทาร่างกายของมาตังคะนั้น ให้อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น ต้มยาคูให้.
มาตังคะนั้นคิดว่า ขอพราหมณ์กัญญานี้อย่าฉิบหายเลย แล้วไม่กระทำ
การสมสู่ด้วยชาติเทียว พอได้กำลังสักกึ่งเดือนจึงพูดว่า ฉันจะไปป่า เจ้าอย่า
ร้อนใจว่า ชักช้ามาก และสั่งผู้คนในบ้านว่า พวกท่านอย่าละเลยนางนี้ ออก
จากเรือน บวชเป็นดาบส กระทำกสิณบริกรรมโดยไม่นานนัก ก็ยังสมาบัติ ๘
และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น คิดว่า ก็บัดนี้ เราจักเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกา
จึงเหาะมาทางอากาศลงที่ประตูนคร ส่งข่าวไปยังสำนักของนางทิฏฐมังคลิกา.
นางฟังแล้ว คิดอยู่ว่า เห็นจะเป็นญาติของเราคนหนึ่งบวชแล้ว รู้ว่าเราเป็นทุกข์
จักมาเยี่ยม ดังนี้ จึงไป รู้ว่าเป็นมาตังคะนั้นแล้ว หมอบที่เท้าทั้งสองกล่าวว่า
ท่านทำดิฉันให้หมดที่พึ่ง มาเพื่อประโยชน์อะไร.
มหาบุรุษกล่าวว่า แน่ะนางทิฏฐมังคลิกา เจ้าอย่าเป็นทุกข์เลย ฉัน
จักให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นทำสักการะแก่เจ้า แล้วกล่าวคำนี้ว่า จงไป เจ้าจง
ให้ทำการป่าวประกาศว่า ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของดิฉัน ไม่ใช่มาตังคะ
ท้าวมหาพรหมนั้นจักแหวกวิมานจันทร์แล้วมาสู่สำนักของดิฉันในวันที่ ๗.
นางกล่าวว่า ท่านเจ้าขา ดิฉันเป็นธิดาของพราหมณ์มหาศาล ถึง
ความเป็นคนจัณฑาลนี้ เพราะบาปกรรมของตน ไม่อาจเพื่อจะพูดอย่างนั้น.

353