หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 1 (เล่ม 4)

พระวินัยปิฎก
เล่ม ๒
มหาวิภังค์ ทุติยภาค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปาจิตติยภัณฑ์
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระหัตถกะ ศากยบุตร
[๑๗๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นพระ
หัตถกะ ศากยบุตรเป็นคนพูดสับปลับ ท่านเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าว
ปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จ
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว ทำให้คลาดเคลื่อน.
พวกเดียรถีย์พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระหัตถกะ
ศากยบุตรเจรจาอยู่กับพวกเรา จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฎิเสธ
เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว
ทำให้คลาดเคลื่อนเล่า.

1
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 2 (เล่ม 4)

ภิกษุทั้งหลายได้ยินเดียรถีย์พวกนั้น เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
จึงเข้าไปหาพระหัตถกะ ศากยบุตรถึงสำนัก ครั้นแล้วได้ถามพระหัตถกะว่า
อาวุโสหัตถกะ ข่าวว่าท่านเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าว
รับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูด
นัดหมายไว้แล้ว ทำให้คลาดเคลื่อน จริงหรือ.
พระหัตถกะ ศากยบุตรตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์
เหล่านี้ เราต้องเอาชนะด้วยวิธีใครวิธีหนึ่ง เราไม่ควรให้ความชนะแก่เดียรถีย์
พวกนั้น.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่
ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระหัตถกะ ศากยบุตร
เจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฎิเสธ เอา
เรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว ทำให้
คลาดเคลื่อนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม พระหัตถกะ
ศากยบุตรว่า จริงหรือหัตถกะ ข่าวว่าเธอเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าวปฏิเสธ
แล้วรับ กล่าวรับแล้ว ปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้งๆ
ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว ทำให้คลาดเคลื่อน.
พระหัตถกะ ศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

2
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 3 (เล่ม 4)

ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอ
เจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฎิเสธ
เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว
ทำให้คลาดเคลื่อนเล่า การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั้น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส และเพื่อ ความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรง ติเตียนพระหัตถกะ ศากยบุตร โดยอเนก
ปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลีความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความ
สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ
ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักกับบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่ง
ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก เพื่อป้องกัน อาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อ
กำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่

3
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 4 (เล่ม 4)

เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่น
แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้ :-
พระบัญญัติ
๕๐.๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชานมุสาวาท.
เรื่องพระหัตถกะ ศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๑๗๔] ที่ชื่อว่า สัมปชานมุสาวาท ได้แก่ วาจา เสียงที่เปล่ง
ถ้อยคำเป็นแนวทาง การเปล่งวาจา เจตนาที่ให้เขาเข้าใจทางวาจา ของบุคคล
ผู้จงใจจะพูดให้คลาดจากความจริง ได้แก่คำพูดของอนารยชน ๘ อย่าง คือ
ไม่เห็น พูดว่าข้าพเจ้าเห็น ๑ ไม่ได้ยิน พูดว่าข้าพเจ้าได้ยิน ๑ ไม่ทราบ
พูดว่าข้าพเจ้าทราบ ๑ ไม่รู้ พูดว่าข้าพเจ้ารู้ ๑ เห็น พูดว่าข้าพเจ้าไม่เห็น .
ได้ยิน พูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ๑ ทราบ พูดว่าข้าพเจ้าไม่ทราบ ๑ รู้ พูดว่า
ข้าพเจ้าไม่รู้ ๑.
บทภาชนีย์
[๑๗๕] ที่ชื่อว่า ไม่เห็น คือ ไม่เห็นด้วยตา
ที่ชื่อว่า ไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ยินด้วยหู.
ที่ชื่อว่า ไม่ทราบ คือ ไม่ได้สูดดมด้วยจมูก ไม่ได้ลิ้มด้วยลิ้น ไม่
ได้สัมผัสด้วยกาย.

4
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 5 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า ไม่รู้ คือ ไม่รู้ด้วยใจ.
ที่ชื่อว่า เห็น คือ เห็นด้วยตา.
ที่ชื่อว่า ได้ยิน คือ ได้ยินด้วยหู
ที่ชื่อว่า ทราบ คือ ได้สูดดมด้วยจมูก ได้ลมด้วยลิ้น ได้สัมผัสด้วยกาย.
ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ด้วยใจ.
อาการของการกล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้
ไม่เห็น - ว่าเห็น
[๑๗๖] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓
อย่าง คือ ๑ เบื้องต้น เธอรู้ว่าจักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓
ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๔ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จ ว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้น เธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความความ
ถูกใจ ๖อำพรางความชอบใจ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

5
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 6 (เล่ม 4)

ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๗ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใ จ
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน - ว่าได้ยิน
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง
ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ - ว่าทราบ
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๔ อย่าง....... ด้วยอาการ ๕ อย่าง........ ด้วยอาการ ๖ อย่าง .. . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ - ว่ารู้
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง . . . ด้วย
อาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . . ด้วย
อาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และได้ยิน
[๑๗๗] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็นและได้ยินด้วย
อาการ ๓ อย่าง.... ด้วยอาการ ๔ อย่าง..... ด้วยอาการ ๕ อย่าง......ด้วย
อาการ ๖ อย่าง........ ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

6
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 7 (เล่ม 4)

ไม่เห็น ว่าเห็น และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . . ด้วยอาการ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง
. . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วย
อาการ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

7
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 8 (เล่ม 4)

ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และทราบ
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง.. . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และรู้
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ อย่าง . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง
. . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และเห็น
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
การ ๖ อย่าง ..... ด้วยอาการ ๗ อย่าง....... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ และเห็น
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และเห็น ด้วย
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

8
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 9 (เล่ม 4)

ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น
ไม่ไค้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอา-
การ ๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และรู้
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง
. . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ เเละได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และได้ยิน ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . .. ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

9
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 10 (เล่ม 4)

ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และได้ยิน ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วย
อาการ ๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ เห็น และ ได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ เห็น และได้ยิน
ด้วยอาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . .
ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และเห็น
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และเห็น ด้วยอาการ อย่าง. . .
ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง .....
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และได้ยิน
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และได้ยิน ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และทราบ
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง
. . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

10