No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 106 (เล่ม 45)

๔. โมหสูตร
ว่าด้วยโมหะให้ไปสู่ทุคติ
[๑๙๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้นิวรณ์อันหนึ่งอย่างอื่น
ซึ่งเป็นเหตุให้หมู่สัตว์ถูกนิวรณ์หุ้มห่อแล้วแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน
เหมือนนิวรณ์ คือ อวิชชานี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้ถูกนิวรณ์
คือ อวิชชาหุ้มห่อแล้วย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุ
ให้หมู่สัตว์ถูกธรรมนั้นหุ้มห่อแล้ว ท่อง-
เที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือนหมู่สัตว์ผู้ถูก
โมหะหุ้นห่อแล้ว ไม่มีเลย ส่วนพระอริย-
สาวกเหล่าใดละโมหะแล้ว ทำลายของ
แห่งความมืดได้แล้ว พระอริยสาวกเหล่า
นั้นย่อมไม่ท่องเที่ยวไปอีก เพราะอวิชชา
อันเป็นต้นเหตุ (แห่งสงสาร) ย่อมไม่มี
แก่พระอริยสาวกเท่านั้น.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบโมหสูตรที่ ๔

106
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 107 (เล่ม 45)

อรรถกถาโมหสูตร
ในโมหสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
น อักษรในบทเป็นต้นว่า นาหํ ภิกฺขเว มีอรรถปฏิเสธ. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงอ้างถึงพระองค์ว่า อหํ. บทว่า อญฺญํ ได้แก่ ธรรมอื่น
จากนิวรณ์ คือ อวิชชาที่จะต้องกล่าวในบัดนี้ . บทว่า เอกนีวรณมฺปิ ได้แก่
ธรรมป้องกันไม่ให้บรรลุความดีอย่างหนึ่ง. บทว่า สมนุปสฺสามิ ได้แก่
สมนุปัสสนา (การพิจารณาเห็น) ๒ อย่าง คือ ทิฏฐิสมนุปัสสนา (การ
พิจารณาเห็นด้วยทิฏฐิ) ๑ ญาณสมนุปัสสนา (การพิจารณาเห็นด้วยญาณ) ๑.
ในสมนุปัสสนา ๒ อย่างนั้น การพิจารณาเห็นที่มาโดยบาลี มีอาทิว่า
รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตัวตน นี้ชื่อ
ทิฏฐิสมุนุปัสสนา. ส่วนสมนุปัสสนาที่มาโดยบาลี มีอาทิว่า อนิจฺจโต สมนุ-
ปสฺสติ โน นิจฺจโต พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่พิจารณา
เห็นโดยความเป็นของเที่ยง นี้ชื่อว่า ญาณสมนุปัสสนา. ในพระสูตรท่าน
ประสงค์เอาญาณสมนุปัสสนาอย่างเดียว. บทว่า สมนุปสฺสามิ เชื่อมด้วย
น อักษร. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราแม้
ตรวจตราดูธรรมทั้งปวง ด้วยสมันตจักษุ (จักษุรอบคอบ) อันได้แก่สัพพัญ-
ญุตญาณ ดุจมะขามป้อมในมือ ก็ยังไม่เห็นแม้นิวรณ์อันหนึ่งอย่างอื่น.
บทว่า เยน นีวรเณน นิวุตา ปชา ทีฆรตฺตํ สนฺธาวนฺติ
สํสรนฺติ แปลว่า หมู่สัตว์ถูกนิวรณ์หุ้มห่อแล้วแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้น
กาลนาน ความว่า สัตว์ทั้งหลายถูกนิวรณ์ครอบงำ ปกคลุมหุ้มห่อให้มืดมัว
ไม่ให้เพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็น เพื่อแทงตลอดสภาวธรรมทั้งหลาย เพราะสภาว-

107
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 108 (เล่ม 45)

ธรรมถูกปกปิด ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไปในสงสารอันหาเบื้องต้นมิได้
และในภพใหญ่น้อยตลอดกัปอันกำหนดไม่ได้ โดยประการทั้งปวงด้วยการเกิด
แล้วเกิดอีก. การแล่นไป คือ การก้าวไปในระหว่างอารมณ์ การแล่นไป คือ
การก้าวไปในระหว่างภพ. หรือว่า การแล่นไปด้วยกิเลสมีกำลังแรง การแล่นไป
ด้วยกิเลสมีกำลังอ่อน. หรือว่าการแล่นไปในชาติหนึ่ง คือตายไปชั่วขณะ
การแล่นไปในหลาย ๆ ชาติ คือตายตามคำพูด หรือการแล่นไปด้วยจิต. ดัง
ที่ท่านกล่าวว่า จิตของเขาย่อมแล่นไป การท่องเที่ยวไปด้วยกรรม. พึงทราบ
ความต่างกันของการแล่นไปและการท่องเที่ยวไป ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ยถิยิทํ ตัดบทเป็น ยถาอิทํ. ย อักษรเป็นบทสนธิ ทำเป็น
ตรัสสะ ด้วยวิธีสนธิ.
ในบทว่า อวิชฺชานีวรณํ นี้ พึงทราบความดังต่อไปนี้ กายทุจริต
เป็นต้น ชื่อว่า ไม่ควรรู้ โดยอรรถว่า ไม่ควรบำเพ็ญ อธิบายว่า ไม่ควรได้.
ชื่อว่า อวิชฺชา เพราะอรรถว่ารู้สิ่งไม่ควรรู้นั้น. โดยตรงกันข้าม กายสุจริต
เป็นต้น ชื่อว่า เป็นสิ่งควรรู้. ชื่อว่า อวิชชา เพราะอรรถว่า ไม่รู้สิ่งควรรู้นั้น.
ท่านกล่าวถึงกองขันธ์ทั้งหลาย เครื่องติดต่ออายตนะทั้งหลาย ความ
สูญของธาตุทั้งหลาย ความเป็นใหญ่ของอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นจริงของ
สัจจะทั้งหลาย ด้วยการบีบคั้นของทุกข์เป็นต้น. ชื่อว่าอวิชชา เพราะอรรถว่า
ไม่รู้เนื้อความ ๔ อย่างนั้น . หรือว่า ชื่อว่าอวิชชา เพราะอรรถว่า ยังเหล่าสัตว์
ให้แล่นไปในสงสารอันไม่มีที่สุด. หรือว่าโดยปรมัตถ์ ชื่อว่าอวิชชา เพราะ
อรรถว่า ย่อมแล่นไป คือ ย่อมเป็นไปในอวิชชมานบัญญัติทั้งหลายมีสตรีและ
บุรุษเป็นต้น ย่อมไม่แล่นไป คือ ย่อมไม่เป็นไปในวิชชมานบัญญัติทั้งหลาย
มีขันธ์เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อวิชชา เพราะปกปิดวัตถุและอารมณ์
มีจักขุวิญญาณเป็นต้น และธรรมคือปฏิจจสมุปบาท. นิวรณ์คืออวิชชา ชื่อว่า
อวิชชานิวรณ์.

108
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 109 (เล่ม 45)

บทว่า อวิชฺชานีวรเณน หิ ภิก ขเว นิวุตา ปชา ทีฆรตฺตํ
สนฺธาวนฺติ สํสรนฺติ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อทำความในก่อนให้
หนักแน่นนั่นเอง. หรือบทก่อนว่า ยถยิทํ ภิกฺขเว อวิชฺชานีวรณํ แปลว่า
เหมือนนิวรณ์คืออวิชชา นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อให้แสดงข้ออุปมาอย่างนี้.
บทนี้ตรัสเพื่อแสดงอานุภาพของนิวรณ์. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอวิชชาเท่านั้น ไม่ตรัสถึงธรรมเหล่าอื่นด้วย ตอบว่า
เพราะอวิชชาเป็นวิเสสปัจจัยแห่งกามฉันทะเป็นต้น ด้วยการปกปิดโทษ. จริง
ดังนั้น กามฉันทะเป็นต้น ย่อมเป็นไปในอาการของโทษที่ถูกอวิชชานั้น
ปกปิดไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถามีอาทิว่า นตฺถญฺโญ ดังนี้ ด้วยรวบรวม
ความที่ตรัสแล้ว และที่ยังไม่ได้ตรัส. ในบทเหล่านั้น บทว่า นิวุตา ได้แก่
ปกคลุม หุ้มห่อ ปิดบังไว้. บทว่า อโหรตฺตํ แปลว่า ทั้งกลางวันกลางคืน.
อธิบายว่า ตลอดเวลา. บทว่า ยถา โมเหน อาวุตา ความว่า โดยประการ
ที่หมู่สัตว์ถูกโมหะคืออวิชชานิวรณ์หุ้มห่อปกปิดไว้ ไม่รู้แม้ธรรมที่ควรรู้ด้วยดี
ย่อมท่องเที่ยวไปในสงสาร พึงประกอบเนื้อความว่า ธรรมอย่างหนึ่งอื่น เห็น
ปานนั้นก็ดี นิวรณ์อย่างหนึ่งก็ดี ย่อมไม่มี. บทว่า เย จ โมหํ ปหนฺตฺวาน
ตโมกฺขนฺธํ ปทาลยุํ แปลว่า พระอริยสาวกเหล่าใดละโมหะแล้ว ทำลาย
กองแห่งความืดได้แล้ว ความว่า ก็พระอริยสาวกเหล่าใดละโมหะ อันมรรค
นั้น ๆ พึงฆ่า ด้วยมรรคเบื้องต่ำ ด้วยตทังคปหานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น
แล้วทำลายกองแห่งความมืด อื่นได้แก่โมหะนั่นเอง ด้วยญาณเปรียบด้วยเพชร
อันเป็นญาณชั้นเลิศ คือ ตัดขาดโดยไม่ให้มีส่วนเหลือ. บทว่า น เต ปุน
สํสรนฺติ ความว่า พระอริยสาวกคือพระอรหันต์เหล่านั้น ย่อมไม่ท่องเที่ยวไป
คือ ไม่หันกลับไปในสงสารนี้ ที่ท่านกล่าวว่า

109
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 110 (เล่ม 45)

ขนฺธานํ ปฏิปาฏิ ธาตุ อายตนา น จ
อพฺโพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา สํสาโรติ ปวุจฺจติ
ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ ยัง
เป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่าสงสาร.
ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะอวิชชาอันเป็นต้นเหตุ คือ
เป็นมูลเหตุแห่งสงสาร ย่อมไม่มีแก่พระอริยสาวกเหล่านั้น เพราะตัดขาดแล้ว
โดยประการทั้งปวง ดังนี้.
จบอรรถกถาโมหสูตรที่ ๔
๕. กามสูตร
ว่าด้วยกามตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปนาน
[๑๙๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้สังโยชน์อันหนึ่งอย่างอื่น
ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ประกอบแล้วแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือน
สังโยชน์ คือ ตัณหานี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วย
สังโยชน์ คือ ตัณหาย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุรุษ ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ท่อง-
เที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ก้าวล่วง

110
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 111 (เล่ม 45)

สงสารอันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็น
อย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้ตัณหาซึ่งเป็นแดน
เกิดแห่งทุกข์นี้โดยความเป็นโทษแล้ว เป็น
ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึง
เว้นรอบ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบกามสูตรที่ ๕
อรรถกถากามสูตร
ในกามสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า สังโยชน์ เพราะอรรถว่า ผูกมัดบุคคลผู้มีสังโยชน์ไว้ด้วยกรรม
และวิบากอันเป็นทุกข์ หรือด้วยลำดับของภพ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณ
ฐิติ และสัตตาวาส เป็นต้น ชื่อว่า ตัณหา เพราะอรรถว่าเป็นที่มาของ
ความอยาก. ชื่อว่า ตัณหา เพราะอรรถว่า ทำให้สะดุ้งหรือหวาดเสียว. บทว่า
สํยุตฺตา ได้แก่ ผูกมัดในอภินิเวสวัตถุ (วัตถุเครื่องยึดมั่น) มีจักษุเป็นต้น .
บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.
อนึ่ง ในที่นี้แม้อวิชชาก็เป็นสังโยชน์ และตัณหาเป็นนิวรณ์ยังมีอยู่
โดยแท้ ถึงดังนั้น ตัณหาย่อมผูกมัดสัตว์ด้วยภพอันมีโทษทีถูกอวิชชาปกปิดไว้
เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงความต่างกันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอวิชชาไว้
ในสูตรก่อนโดยความเป็นนิวรณ์ และตรัสตัณหาไว้ในสูตรนี้โดยความเป็น

111
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 112 (เล่ม 45)

สังโยชน์ ทั้งนี้เพื่อให้เห็นความเป็นใหญ่ของนิวรณ์และสังโยชน์. เหมือนอย่างว่า
อวิชชาเป็นใหญ่และเป็นประธานของธรรมเศร้าหมองทั้งหลาย โดยความเป็น
นิวรณ์ ฉันใด ตัณหาก็เป็นใหญ่ เป็นประธานของธรรมเศร้าหมองเหล่านั้น
โดยความเป็นสังโยชน์ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้นเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ของธรรม
เศร้าหมองเหล่านั้น จึงตรัสธรรมเหล่านี้อย่างนี้ในสูตรทั้งสอง. อีกอย่างหนึ่ง
ด้วยความต่างกันตรัสอวิชชาว่าเป็นนิวรณ์ เพราะห้ามนิพพานสุข. ตรัส
ตัณหาว่าเป็นสังโยชน์ เพราะผูกมัดสัตว์ไว้ด้วยสังสารทุกข์ สูตรทั้งสอง
ตรัสไว้เป็นสองส่วน โดยทำอันตรายแก่การเห็นการบรรลุหรือโดยเป็นข้าศึก
ของวิชชาและจรณะ. อวิชชาเป็นข้าศึกโดยตรงของวิชชา ทำอันตรายอย่าง
ยอดเยี่ยมแก่การเห็นนิพพาน และการเห็นที่ไม่วิปริต. ตัณหาเป็นข้าศึกโดยตรง
ของจรณธรรมทำอันตรายแก่การบรรลุ คือ แก่การปฏิบัติชอบ ด้วยประการ
ฉะนี้. บุคคลนี้ถูกอวิชชาหุ้มห่อ ทำให้มืดมัว พัวพันด้วยตัณหาโดยประการ
ทั้งปวง ไม่ฟัง มีกิเลสหนาผูกมัดดุจคนบอด ย่อมไม่ก้าวล่วง มหากันดาร
สงสารกันดาร ไปได้เลย. เพื่อแสดงสองหมวดอันเป็นเหตุให้เกิดความพินาศ
จึงตรัสสองหมวดโดยสองส่วน.
จริงอยู่ บุคคลที่มีอวิชชาย่อมเสื่อมประโยชน์ เพราะความเป็นคนโง่
และทำความพินาศให้แก่ตน. ผู้ไม่เสพสิ่งไม่เป็นสัปปายะ ทำดุจคนไม่ฉลาด
เดือดร้อน ดุจคนไม่รู้เพื่อจะทำในสิ่งไม่เป็นสัปปายะ. มักกฏาเลโปปมสูตร
เป็นตัวอย่างของเรื่องนี้. ในสูตรนี้ตรัสสองหมวดโดยส่วนสอง เพื่อแสดง
มูลเหตุของปฏิจจสมุปบาท. ก็โดยความต่างกัน ขอบเขตของอวิชชาเป็นอดีต
ยาวนาน เพราะสัมโมหะมีกำลังแรง. ขอบเขตของตัณหา เป็นอนาคตยาวนาน
เพราะความปรารถนามีกำลังแรงกล้า. จริงดังนั้น คนพาลมากด้วยสัมโมหะ
ย่อมเศร้าโศกถึงอดีต ควรแนะนำคนพาลผู้มากด้วยสัมโมหะนั้น ให้เข้าใจถึง

112
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 113 (เล่ม 45)

ปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเป็นต้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นปัจจัยดังนี้. คนพาลมากไปด้วยความปรารถนาย่อมบ่นถึงอนาคต
ควรแนะนำคนพาลผู้มากด้วยความปรารถนานั้นให้เข้าใจปฎิจจสมุปบาททั้งหมด
ว่า ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้. หรือว่า
ด้วยบทนี้นั่นเองทรงแสดงถึงมูลเหตุของปฏิจจสมุปบาทนั้นตามลำดับ ด้วยการ
เกี่ยวโยงกันจากส่วนเบื้องต้นถึงส่วนเบื้องปลาย ด้วยประการฉะนี้.
ในคาถาทั้งหลายพึงทราบเนื้อความดังต่อไปนี้ บทว่า ตณฺหา ทุติโย
คือ เป็นเพื่อนกับตัณหา. จริงอยู่ ตัณหาย่อมทำสัตว์ผู้ถูกความระหายครอบงำ
ถูกความทุกข์ที่ไม่สนองคุณครอบงำบ้าง อันเป็นหน้าที่ของสหายด้วยความพอใจ
และชักนำ ดุจความสำคัญว่าน้ำในพยับแดด ในที่กันดารไม่มีน้ำ กระทำไม่ให้
เบื่อหน่ายในภพเป็นต้น แล้วเวียนกลับมา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ตัณหาเป็นเพื่อนของคน ดังนี้. ถามว่า ก็กิเลสเป็นต้นแม้เหล่าอื่น
เป็นปัจจัย เพื่อให้เกิดในภพมิใช่หรือ. ตอบว่า ข้อนั้นจริง. แต่เป็นปัจจัย
พิเศษไม่เหมือนตัณหา. เพราะตัณหาเว้นจากกุศล อกุศล ส่วนปัจจัยพิเศษ
เว้นจากกามาวจรกุศลเป็นต้น เพื่อให้เกิดในภพด้วยรูปาวจรกุศลเป็นต้น เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสว่า สมุทยสจฺจํ ดังนี้.
บทว่า อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ ได้แก่ความเป็นอย่างนี้ และความเป็น
อย่างอื่น ชื่อว่า อิตฺถภาวญฺญถาภาโว. สงสาร ชื่อว่า อิตฺถภาวญฺญถาภาโว
เพราะอรรถว่า สงสารมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น. ในบทนั้น
ความเป็นอย่างนี้ คือ ความเป็นมนุษย์. ความเป็นอย่างอื่น คือ ที่อยู่ของ
สัตว์นอกจากความเป็นมนุษย์นั้น. หรือว่าความเป็นอย่างนี้ ได้แก่ อัตภาพ
ปัจจุบันของเหล่าสัตว์นั้น ๆ. ความเป็นอย่างอื่น ได้แก่อัตภาพอนาคต. หรือว่า

113
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 114 (เล่ม 45)

อัตภาพอื่นมีรูปอย่างนี้ ชื่อว่า อิตถการะ ไม่มีรูปอย่างนี้ ชื่อว่า อัญญถาภาวะ.
บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ย่อมไม่ก้าวล่วงสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และ
ความเป็นอย่างอื่นนั้น คือ ลำดับ ขันธ์ ธาตุ อายตนะไปได้.
บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺวา ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ แปลว่า
ภิกษุรู้ตัณหาอันเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์นี้ โดยความเป็นโทษ ความว่า ภิกษุรู้
ตัณหาอันเป็นแดนเกิด คือ เป็นเหตุเกิดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้นนี้ อธิบายว่า
รู้โดยความเป็นโทษ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺวา ได้แก่
รู้โทษ คือ ความชั่วร้ายอันจะไม่ทำให้ก้าวล่วงสงสารตามที่กล่าวแล้วนั้นไปได้.
บทว่า ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ได้แก่ รู้ตัณหาว่าเป็นเหตุให้เกิดวัฏทุกข์
โดยนัยที่กล่าวแล้ว.
บทว่า วีตตณฺโห อนาทาโน สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช แปลว่า
ภิกษุ เป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นเสีย ความว่า ภิกษุ
กำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ อย่างนี้ เจริญวิปัสสนาไปปราศจากตัณหาตามลำดับ
มรรค ชื่อว่า เป็นผู้ปราศจากตัณหา คือ มีตัณหาพ้นไปแล้ว โดยประการ
ทั้งปวงด้วยมรรคอันเลิศ ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ถือมั่น เพราะไม่มีแม้อะไร ๆ ใน
อุปาทาน ๔ เพราะปราศจากตัณหานั้น หรือเพราะไม่มีการยึดถือ อันได้แก่
ปฏิสนธิต่อไป ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ เพราะทำอย่างมีสติในที่ทั้งปวง ด้วยมีสติ
ไพบูลย์ เป็นผู้กำจัดกิเลสได้แล้ว พึงเว้น คือ พึงประพฤติ หรือพึงออกไป
จากความเป็นไปของสังขารด้วยขันธปรินิพพาน.
จบอรรถกถากามสูตรที่ ๕

114
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 115 (เล่ม 45)

๖. ปฐมเสขสูตร
ว่าด้วยโยนิโสมนสิการได้บรรลุผลสูงสุด
[๑๙๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้เป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตผล
ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุอันหนึ่ง
อย่างอื่น กระทำเหตุที่มี ณ ภายในว่ามีอุปการะมาก เหมือนโยนิโสมนสิการ
นี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมนสิการโดยแยบคาย ย่อมละอกุศลเสียได้
ย่อมเจริญกุศลให้เกิดมี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ธรรมอย่างอื่นอันมีอุปการะมาก เพื่อ
บรรลุประโยชน์อันสูงสุด แห่งภิกษุผู้เป็น
พระเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ ไม่มี
เลย ภิกษุเริ่มตั้งไว้ซึ่งมนสิการโดยแยบ-
คาย พึงบรรลุนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่ง
ทุกข์ได้.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าได้
สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบปฐมเสขสูตรที่ ๖

115