No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 96 (เล่ม 45)

อำนาจจิตต่าง ๆ กัน ในส่วนเบื้องต้น. ญาณอันหนึ่งเท่านั้นยังธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
เป็นต้นให้ถึงโดยลำดับ ด้วยญาตปริญญา ตีรณปริญญาและปหานปริญญาแล้ว
ยังธรรมทั้งหมดนั้นให้สำเร็จด้วยมรรคกิจในขณะเดียวกันนั่นเอง เป็นไปด้วย
ประการฉะนี้. บทว่า อภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ความว่าเป็นผู้ไม่ควรคือไม่
สามารถเพื่อความสิ้นทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยการดับกิเลส.
จ ศัพท์ในบทว่า สพฺพพฺจ โข นี้ เป็นไปในอรรถพยติเรกะ(มีความ
แย้งกัน ). โข ศัพท์เป็นไปอรรถอวธารณ. ด้วยบททั้งสองนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงถึงเหตุส่วนเดียวแห่งการสิ้นทุกข์อันพิเศษ ที่ควรได้จากการรู้ยิ่ง
เป็นต้น.
คำใดที่ควรกล่าวในบทว่า อภิชานนเป็นต้น คำนั้นท่านได้กล่าวไว้
ชัดเจนแล้ว แต่ในบทนั้นท่านกล่าวโดยการทักท้วง ในบทนี้พึงทราบโดยเป็น
กฏ. ความต่างกันมีดังนี้.
บทว่า อภิชานํ ความว่า เป็นผู้รู้ยิ่งซึ่งสักกายสัพพะอันได้แก่
อุปาทานขันธ์ ๕ โดยสรุปและโดยปัจจัยด้วยทำญาณไว้เฉพาะหน้า คือ กำหนด
รู้สักกายสัพพะนั้น โดยถือเอาอาการที่ไม่มีเป็นต้น ด้วยกำหนดตามลักษณะมี
อนิจจลักษะเป็นต้น. บทว่า วิราชยํ ความว่า กระทำจิตของตนให้คลาย
กำหนัดด้วยรู้ชัดถึงความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แห่งสักกายสัพพะนั้นโดยชอบ
และก้าวด้วยอานุภาพของญาณมีนิพพิทาญาณ คือ เบื่อหน่ายต่อภัยที่เกิดขึ้น
เป็นต้น ไม่ให้ความกำหนัดแม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นในจิตนั้น . บทว่า ปชหํ
ได้แก่ละ คือ ตัดขาดกิเลสวัฏอันเป็นฝ่ายของสมุทัยด้วยมรรคปัญญาอันประกอบ
กับวุฏฐานคามินีวิปัสสนา.
บทว่า ภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นวิปากวัฏ
ไม่มีส่วนเหลือ หรืออนุปาทิเสสนิพพานธาตุอันเป็นความสิ้นทุกข์ ในสังสารวัฏ

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 97 (เล่ม 45)

ทั้งสิ้น เพราะละมลทินคือกิเลสเสียได้ และเพราะสิ้นกรรมวัฏทั้งหมด พึงเห็น
ความในข้อนี้อย่างนี้ว่า เป็นผู้ควรเพื่อบรรลุธรรมนั้นโดยส่วนเดียว.
บทว่า โย สพฺพํ สพฺพโต ญตฺวา ความว่า ผู้ใดคือผู้ประกอบ
ความเพียร ผู้เจริญวิปัสสนารู้ธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งปวงโดยส่วนทั้งปวง
คือ โดยจำแนกขันธ์มีกุศลขันธ์เป็นต้น และโดยจำแนกการบีบคั้น มีทุกข์
เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพโต ได้แก่ รู้โดยอาการทั้งปวง คือ
โดยลักษณะมีหยาบและละเอียดเป็นต้น และโดยลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น
ทั้งปวง หรือเพราะเหตุแทงตลอดด้วยมรรคญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งวิปัส-
สนาแล้ว รู้ด้วยวิปัสสนาญาณ.
บทว่า สพฺพตฺเถสุ น รชฺชติ ได้แก่ ย่อมไม่กำหนัดในสักกาย-
ธรรมทั้งปวงอันมีประเภทต่างกันไม่น้อยโดยมีในอดีตเป็นต้น คือ ไม่ให้ราคะ
เกิดด้วยการบรรลุอริยมรรค.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งการยึดตัณหานั้น
ด้วยบทว่า สพฺพตฺเถสุ น รชฺชติ นี้ จึงทรงแสดงถึงความไม่มี แม้การ
ยึดผิด ๓ หมวดนี้ คือ นี้ของเรา ๑ นี้เป็นเรา ๑ นี้เป็นอัตตาของเรา ๑
ของผู้ที่ยึดทิฏฐิมานะ เพราะมีสิ่งนั้น เป็นนิมิต. บทว่า ส ในบทว่า สเว นี้
เป็นเพียงนิบาต. บทว่า เว เป็นพยัตตะ (ความปรากฏ). หรือเป็นนิบาต
ในความนี้ว่า เอกํเสน โดยส่วนเดียว. บทว่า สพฺพํ ปริญฺญา ได้แก่
เพราะกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง คือ เพราะกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงตามที่กล่าวแล้ว
โดยบรรลุปริญญา. บทว่า โส ได้แก่ พระโยคาจรตามที่กล่าวแล้วหรือ
พระอริยะนั่นเอง. บทว่า สพฺพํ ทุกฺขํ อุปจฺจคา ได้แก่ ล่วง คือ
ก้าวล่วง คือ พ้นทุกข์ในวัฏฏะได้ทั้งหมด.
จบอรรถกถาสัพพสูตรที่ ๗

97
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 98 (เล่ม 45)

๘. มานสูตร
ว่าด้วยละมานะไม่ได้ ไม่พ้นความทุกข์
[๑๘๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้มานะ ไม่ยังจิต
ให้คลายกำหนัดในมานะนั้น ยังละมานะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อ
ความสิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้มานะ ยังจิตให้
คลายกำหนัดในมานะนั้น ละมานะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความ
สิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
หมู่สัตว์นี้ประกอบแล้วด้วยมานะ มี
มานะเป็นเครื่องร้อยรัด ยินดีแล้วในภพ
ไม้กำหนดรู้มานะ ต้องเป็นผู้มาสู่ภพอีก
ส่วนสัตว์เหล่าใดละมานะได้แล้ว น้อมไป
ในธรรมที่เป็นสิ้นนานะ สัตว์เหล่านั้น
ครอบงำกิเลสเครื่องร้อยรัดคือมานะเสียได้
ก้าวล่วงได้แล้วซึ่งกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้ง-
ปวง.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบมานสูตรที่ ๘

98
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 99 (เล่ม 45)

อรรถกถามานสูตร
ในมานสูตรที่ ๘ ไม่มีเรื่องที่ไม่เคยกล่าว เทศนาเป็นไปด้วยมานะล้วน.
ในคาถาทั้งหลายมีอธิบายดังต่อไปนี้. บทว่า มานูเปตา อยํ ปชา
ความว่า สัตว์เหล่านี้ได้ชื่อว่า ปชา เพราะเกิดด้วยกรรมกิเลส ประกอบด้วย
มานะอันมีการคือตัวเป็นลักษณะ. บทว่า มานคณฺฐา ภเว รตา ความว่า
สัตว์ทั้งหลายถูกมานะร้อยรัด คือ ประกอบด้วยมานสังโยชน์ อบรมมาจาก
มานะนั้นเป็นเวลานาน ยินดีในกามภพเป็นต้น ด้วยเหตุผิดในสังขารนั้นว่า
เที่ยง เป็นสุข มีตัวตน เป็นต้น เพราะมัวหมกมุ่นในสังขารทั้งหลายว่า
นี้ของเราด้วยความถือตัว. บทว่า มานํ อปริชานนฺตา ความว่า ไม่กำหนด
รู้มานะนั้นด้วยปริญญา ๓ หรือไม่พ้นมานะนั้นด้วยอรหัตมรรคญาณ. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า มานํ อปริญฺญาย ดังนี้. บทว่า อาคนฺตาโร ปุนพฺภวํ
ความว่า เป็นผู้ต้องไปคือต้องเข้าไปสู่ภพอันจะต้องเกิดต่อไปอีก หรือสู่สงสาร
อันได้แก่ภพใหม่ จากที่เกิดบ่อย ๆ ด้วยการหมุนเวียนไป ๆ มา ๆ. อธิบายว่า
ไม่พ้นไปจากภพ.
บทว่า เย จ มานํ ปหนฺตฺวาน วิมุตฺตา มานสํสเย แปลว่า
ก็สัตว์เหล่าใดละมานะได้แล้ว น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นมานะ อธิบายว่า
ก็สัตว์เหล่าใดละมานะเสียด้วยประการทั้งปวง ด้วยอรหัตมรรคแล้ว น้อมไป
คือ น้อมไปด้วยดีในอรหัตผล หรือในนิพพานอันเป็นที่สิ้นสุดมานะด้วยการ
หลุดพ้นกิเลสทั้งมวล อันมีมานะนั้นเป็นตัวเอก.
บทว่า เต มานคณฺฐาภิภูตา สพฺพํ คณฺฐํ อุปจฺจคุํ แปลว่า
สัตว์เหล่านั้น ครอบงำกิเลสเครื่องร้อยรัด คือ มานะเสียไค้ ก้าวล่วงกิเลส
เครื่องร้อยรัดทั้งปวง ความว่า สัตว์เหล่านั้น คือ พระอรหันต์ผู้มีสังโยชน์

99
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 100 (เล่ม 45)

คือ ภพสิ้นไปแล้ว ครอบงำกิเลสเครื่องร้อยรัดคือมานะ กิเลสเครื่องผูกสัตว์ คือ
มานะ ได้โดยประการทั้งปวง ด้วยสมุจเฉทปหาน ตั้งอยู่ ก้าวล่วงวัฏทุกข์ได้โดย
ไม่มีส่วนเหลือ.
ในสูตรนี้และในสูตรที่ ๗ ท่านกล่าวถึงพระอรหัต.
จบอรรถกถามานสูตรที่ ๘
๙. โลภสูตร
ว่าด้วยละความโลภได้เป็นพระอนาคามี
[๑๘๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้โลภะ ไม่ยังจิตให้
คลายกำหนัดในโลภะ ยังละโลภะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความ
สิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้โลภะ ยังจิตให้คลาย
กำหนัดในโลภะนั้น ละโลภะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดี
ซึ่งความโลภอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้โลภไปสู่
ทุคติ แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อม
ไม่มาสู่โลกนี้อีกในกาลไหน ๆ.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบโลภสูตรที่ ๙

100
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 101 (เล่ม 45)

๑๐. โทสสูตร
ว่าด้วยละโทสะได้เป็นพระอนาคามี
[๑๘๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้โทสะ ไม่ยังจิตให้
คลายกำหนัดในโทสะนั้น ยังละโทสะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความ
สิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้โทสะ ยังจิตให้คลาย
กำหนัดในโทสะนั้น ละโทสะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
โทสะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ประทุษร้ายไปสู่
ทุคติ แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อม
ไม่มาสู่โลกนี้อีกในกาลไหน ๆ.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบโทสสูตรที่ ๑๐
จบปาฏิโภควรรคที่ ๑

101
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 102 (เล่ม 45)

อรรถกถาโลภสูตรและโทสสูตร
ในโลภสูตรที่ ๙ และโทสสูตรที่ ๑๐ ไม่มีเรื่องที่ไม่เคยพูด. ได้เคย
พูดเรื่องโลภะและโทสะมาแล้ว. พึงเห็นว่าพระสูตรเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงแก่ผู้รู้โดยเทศนาวิลาส หรือแก่เวไนยสัตว์ด้วยอัธยาศัย.
จบอรรถกถาโลภสูตรที่ ๙ และโทสสูตรที่ ๑๐
จบปาฏิโภควรรควรรณนาที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. โลภสูตร ๒. โทสสูตร ๓. โมหสูตร ๔. โกธสูตร ๕. มักขสูตร
๖. มานสูตร ๗. สัพพสูตร ๘. มานสูตร ๙. โลภสูตร ๑. โทสสูตร
และอรรถกถา.

102
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 103 (เล่ม 45)

อิติวุตตกะ เอกนิบาต วรรคที่ ๒
๑. โมหสูตร
ว่าด้วยโมหะให้ไปสู่ทุคติ
[๑๘๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้โมหะ ไม่ยังจิตให้
คลายกำหนัดในโมหะนั้น ยังละโมหะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความ
สิ้นทุก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้โมหะ ยังจิตให้คลาย
กำหนัดในโมหะนั้น ละโมหะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
โมหะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้หลงไปสู่ทุคติ
แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่
โลกนี้อีกในกาลไหน ๆ.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบโมหสูตรที่ ๑

103
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 104 (เล่ม 45)

๒. โกธสูตร
ว่าด้วยโกธะให้ไปสู่ทุคติ
[๑๙๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้โกธะ ไม่ยังจิตให้
คลายกำหนัดในโกธะนั้น ยังละโกธะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความ
สิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้โกธะ ยังจิตให้คลาย
กำหนัดในโกธะนั้น ละโกธะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
โกธะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้โกรธไปสู่ทุคติ
แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่
โลกนี้อีกในกาลไหน ๆ.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบโกธสูตรที่ ๒

104
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 105 (เล่ม 45)

๓. มักขสูตร
ว่าด้วยมักขะให้ไปสู่ทุคติ
[๑๙๑] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้มักขะ ไม่ยังจิตให้
คลายกำหนัดในมักขะนั้น ยังละมักขะนั้นไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความ
สิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่ง กำหนดรู้มักขะ ยังจิตให้คลาย
กำหนัดในมักขะนั้น ละมักขะนั้นได้เด็ดขาด เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
มักขะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ลบหลู่ไปสู่ทุคติ
แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่
โลกนี้อีกในกาลไหน ๆ.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบมักขสูตรที่ ๓
สามสูตรมีสูตรที่ ๑ เป็นต้น แม้ในวรรคที่ ๒ มีนัยดังได้กล่าวมาแล้ว
แม้เหตุแห่งเทศนาก็ได้กล่าวมาแล้วอย่างนั้น.

105