อำนาจจิตต่าง ๆ กัน ในส่วนเบื้องต้น. ญาณอันหนึ่งเท่านั้นยังธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
เป็นต้นให้ถึงโดยลำดับ ด้วยญาตปริญญา ตีรณปริญญาและปหานปริญญาแล้ว
ยังธรรมทั้งหมดนั้นให้สำเร็จด้วยมรรคกิจในขณะเดียวกันนั่นเอง เป็นไปด้วย
ประการฉะนี้. บทว่า อภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ความว่าเป็นผู้ไม่ควรคือไม่
สามารถเพื่อความสิ้นทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยการดับกิเลส.
จ ศัพท์ในบทว่า สพฺพพฺจ โข นี้ เป็นไปในอรรถพยติเรกะ(มีความ
แย้งกัน ). โข ศัพท์เป็นไปอรรถอวธารณ. ด้วยบททั้งสองนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงถึงเหตุส่วนเดียวแห่งการสิ้นทุกข์อันพิเศษ ที่ควรได้จากการรู้ยิ่ง
เป็นต้น.
คำใดที่ควรกล่าวในบทว่า อภิชานนเป็นต้น คำนั้นท่านได้กล่าวไว้
ชัดเจนแล้ว แต่ในบทนั้นท่านกล่าวโดยการทักท้วง ในบทนี้พึงทราบโดยเป็น
กฏ. ความต่างกันมีดังนี้.
บทว่า อภิชานํ ความว่า เป็นผู้รู้ยิ่งซึ่งสักกายสัพพะอันได้แก่
อุปาทานขันธ์ ๕ โดยสรุปและโดยปัจจัยด้วยทำญาณไว้เฉพาะหน้า คือ กำหนด
รู้สักกายสัพพะนั้น โดยถือเอาอาการที่ไม่มีเป็นต้น ด้วยกำหนดตามลักษณะมี
อนิจจลักษะเป็นต้น. บทว่า วิราชยํ ความว่า กระทำจิตของตนให้คลาย
กำหนัดด้วยรู้ชัดถึงความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แห่งสักกายสัพพะนั้นโดยชอบ
และก้าวด้วยอานุภาพของญาณมีนิพพิทาญาณ คือ เบื่อหน่ายต่อภัยที่เกิดขึ้น
เป็นต้น ไม่ให้ความกำหนัดแม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นในจิตนั้น . บทว่า ปชหํ
ได้แก่ละ คือ ตัดขาดกิเลสวัฏอันเป็นฝ่ายของสมุทัยด้วยมรรคปัญญาอันประกอบ
กับวุฏฐานคามินีวิปัสสนา.
บทว่า ภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นวิปากวัฏ
ไม่มีส่วนเหลือ หรืออนุปาทิเสสนิพพานธาตุอันเป็นความสิ้นทุกข์ ในสังสารวัฏ