No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 6 (เล่ม 45)

โดยพระสูตร รวมพระสูตรไว้ ๑๑๒ พระสูตร คือ ในเอกนิบาต ๒๗ สูตร
ในทุกนิบาต ๒๒ สูตร ในติกนิบาต ๕๐ สูตร ในจตุกนิบาต ๑๓ สูตร. อิติ-
วุตตกะนั้น ในบรรดานิบาต มีเอกนิบาตเป็นนิบาตแรก ในบรรดาวรรค
มีปาฎิโภควรรคเป็นวรรคแรก ในบรรดาสูตรมีโลภสูตรเป็นสูตรแรก. อนึ่ง
อิติวุตตกะแม้นั้น มีคำขึ้นต้นที่ท่านพระอานนท์กล่าวไว้ในคราวทำสังคายนา
ใหญ่ครั้งแรก มีอาทิว่า วุตฺตํ เหตํ ภควคา เป็นคำแรก. ก็การสังคายนา
ใหญ่ครั้งแรกนี้นั้น ยกขึ้นสู่แบบแผน ปรากฏอยู่ในวินัยปิฎกแล้วแล. อนึ่ง
กถามรรคใดจะพึงกล่าวไว้ เพื่อจะได้เข้าใจในคำขึ้นต้นในที่นี้ กถามรรค
แม้นั้นก็ได้กล่าวไว้แล้ว โดยพิสดารในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อ สุมังคลวิลาสินี
เพราะเหตุนั้น นักศึกษาพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้ ในอรรถกถานั้นเถิด.
นิทานวรรณนา
ก็คำขึ้นต้นมีอาทิว่า วุตฺตํ เหตํ ภควตา และพระสูตรมีอาทิว่า
เอกธมฺมํ ภิกฺขเว ปชหถ นี้ใด ในคำขึ้นต้นและพระสูตรนั้น บททั้งหลาย
มีอาทิว่า วุตฺตํ ภควตา เป็นบทนาม. บทว่า อิติ เป็นบทนิบาต. บทว่า
ป ในบทว่า ปชหถ นี้ เป็นบทอุปสรรค. ว่า ชหถ เป็นบทอาขยาต.
พึงทราบการจำแนกบทในที่ทุกแห่งตามนัยนี้.
อธิบายวุตตศัพท์
อนึ่ง โดยอรรถ วุตตศัพท์ที่มีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรดูก่อน ย่อม
ปรากฏในอรรถทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ การหว่านพืช การทำพืชที่หว่านให้
เสมอกัน การโกนผม การเลี้ยงชีวิต ความหลุดพ้น การเป็นไปโดยความเป็น
ปาพจน์ การเล่าเรียน การกล่าว.
จริงอย่างนั้น วุตตศัพท์นั่นมาในการหว่านพืช ในประโยคเป็นต้นว่า

6
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 7 (เล่ม 45)

โคทั้งหลายของเขากำลังตกลูก พืช
ที่หว่านในนากำลังงอก ผู้ใดไม่ประทุษ-
ร้ายต่อมิตรทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมได้บริโภค
ผลของพืชทั้งหลายที่หว่านไว้แล้ว.
มาในการทำพืชที่หว่านให้เสมอกันด้วยวัตถุทั้งหลายมีคราดเป็นต้น ในประโยค
มีอาทิว่า โน จ โข ปฏิวุตฺตํ. มาในการโกนผมในประโยคมีอาทิว่า
มาณพหนุ่มชื่อ กาปฏิกะ โกนผมแล้ว. มาในการเลี้ยงชีวิต ในประโยคมิอาทิว่า
มีขนตก อาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีวิต มีจิตตั้งมฤคอยู่. มาในความหลุดพ้นจากเครื่อง
ผูก ในประโยคมีอาทิว่า ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้ว ไม่สามารถกลับเป็นของ
เขียวสดได้อีก แม้ฉันใด. มาในการเป็นไปโดยความเป็นปาพจน์ ในประโยค
มีอาทิว่า คนเหล่าใดขับ ร่าย สาธยายมนต์บทเก่านี้ ในบัดนี้. มาในการ
เล่าเรียนในประโยคมีอาทิว่า ก็คุณที่เล่าเรียนในโลก เป็นคุณที่จะต้องเล่าเรียน
ต่อไป. มาในการกล่าวในประโยคมีอาทิว่า ก็แลสมดังพระดำรัสที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท
ของเราตถาคตเถิด อย่าเป็นอามิสทายาทเลย. แต่ในที่นี้ วุตตศัพท์พึงเห็นว่า
ใช้ในการกล่าว เพราะเหตุนั้น จึงมีความหมายว่า พูด บอก กล่าว. ส่วน
วุตตศัพท์ที่สอง พึงทราบว่า ใช้ในคำพูดและในภาวะที่ประพฤติแล้ว.
อธิบาย หิ และเอตํศัพท์
ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายนี้ว่า แน่แท้ ชัดแจ้ง. หิ
ศัพท์นั้นส่องความว่า สูตรที่จะกล่าวในบัดนี้ เป็นสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้อย่างชัดแจ้ง. นิบาตทั้งหลายประกอบด้วยความประชุมพร้อมแห่งศัพท์

7
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 8 (เล่ม 45)

ที่บอกความหมาย. จริงอยู่ นิบาตเหล่านั้น ช่วยขยายความที่จะพึงกล่าวให้
ชัดขึ้น.
เอตํ ศัพท์ในบทว่า เอตํ นี้ มาในอรรถว่า ประจักษ์ชัดในที่ใกล้ชิด
ตามที่กล่าวแล้ว ในประโยคมีอาทิว่า
ก็บุคคลใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ เห็นอริยสัจ ๔
คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความพ้นทุกข์
และอริยมรรคมีองค์ ๘ อันมีปกติยังผู้ปฏิบัติ
ให้ถึงความพ้นทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ
การถึงสรณะของบุคคลนั้นนั่นแล เป็นที่
พึงอันเกษม นั่นเป็นที่พึ่งอันสูงสุด เพราะ
ว่าบุคคลอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจาก
ทุกข์ทั้งหมด.
แต่ที่มาในอรรถว่า ประจักษ์ชัดในที่ใกล้ชิดที่กำลังกล่าวถึงอยู่ ใน
ประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลปุถุชนเมื่อกล่าวสรรเสริญคุณของพระ
ตถาคตพึงกล่าวด้วยคำสรรเสริญ คำสรรเสริญนั่นเป็นเพียงเล็กน้อย เพียงขึ้นต่ำ
เพียงแค่ศีล. อนึ่ง ในที่นี้ เอตํ ศัพท์พึงเห็นว่า ใช้ในความหมายว่า ประจักษ์
ชัดในที่ใกล้ชิดที่กำลังกล่าวถึงอยู่นั่นแล. เพราะว่า สูตรที่กำลังกล่าวถึง ด้วย
สามารถแห่งการพิจารณา พระอานนท์เถระผู้ธรรมภัณฑาคาริก ดำรงอยู่แล้ว
ในวุฒิธรรมกล่าวไว้ในครั้งแรกว่า เลตํ ดังนี้.
อธิบายคำว่า ภควา
ในบทว่า ภควตา นี้ พึงทราบอธิบายดังนี้ บทว่า ภควา เป็น
คำเรียกบุคคลผู้เป็นที่เคารพ. เป็นความจริง คนทั้งหลายในโลกมักเรียกบุคคล

8
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 9 (เล่ม 45)

ผู้เป็นที่เคารพว่า ภควา. และพระตถาคต ชื่อว่า เป็นที่เคารพของสัตว์ทั้งหลาย
เพราะทรงวิเศษด้วยสรรพคุณ เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ภควา. แม้พระ
โบราณาจารย์ทั้งหลาย ก็ได้กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐที่สุด
คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด พระตถาคตนั้น
ทรงเป็นผู้ควรแก่ความเคารพคารวะ ด้วย
เหตุนั้น จึงขนานพระนานว่า ภควา.
อันที่จริง คำพูดที่ระบุถึงบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด กล่าวกันว่า ประเสริฐ
ที่สุด เพราะดำเนินไปด้วยกันกับคุณอันประเสริฐที่สุด. อีกประการหนึ่ง ที่ชื่อ
ว่า วจนะ เพราะอรรถว่า อันบุคคลกล่าว ได้แก่ความหมาย. เพราะเหตุนั้น
ในบทว่า ภควาติ วจนํ เสฏฐํ จึงมีความหมายว่า ความหมายใดที่จะพึง
พูดด้วยคำว่า ภควา นี้ ความหมายนั้นประเสริฐที่สุด. แม้ในบทว่า ภควาติ
วจนมุตฺตมํ นี้ ก็นัยนี้แล. บทว่า คารวยุตฺโต ได้แก่ ชื่อว่า ทรงเป็นผู้
ควรแก่ความเคารพคารวะ เพราะทรงประกอบด้วยคุณของบุคคลผู้เป็นที่เคารพ.
อีกประการหนึ่ง พระตถาคต ชื่อว่า ทรงควรแก่ความเคารพ ก็เพราะเหตุที่
ทรงควรซึ่งการการทำความเคารพอย่างดียิ่ง. หมายความว่า ทรงควรแก่ความ
เคารพ. เมื่อเป็นเช่นนั้น คำว่า ภควา นี้ จึงเป็นคำเรียกบุคคลผู้วิเศษโดยคุณ
บุคคลผู้สูงสุดกว่าสัตว์ และบุคคลผู้เป็นที่เคารพคารวะ ดังนี้แล.
อีกประการหนึ่ง พึงทราบความหมายของบทว่า ภควา ตามนัยที่มา
ในนิทเทสว่า
พระพุทธเจ้านั้น บัณฑิตขนานพระ
นามว่า ภควา เพราะเหตุที่พระองค์ทรง

9
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 10 (เล่ม 45)

มีภคธรรม ๑ ทรงมีปกติเสพภคธรรม ๑
ทรงมีภาคธรรม ๑ ทรงจำแนกแจกแจง
ธรรม ๑ ทรงทำลายนามรูป ๑ ทรง
เป็นที่เคารพ ๑ ทรงมีภาคยธรรม ๑
ทรงมีพระองค์อบรมดี แล้วด้วยญายธรรม
จำนวนมาก ๑ ทรงถึงที่สุดแห่งภพ ๑.
และด้วยอำนาจแห่งคาถานี้ว่า
เพราะเหตุที่ พระพุทธเจ้าทรงมีภาคย-
ธรรม ๑ ทรงมีภัคคธรรม ๑ ทรงประกอบ
ด้วยภัคคธรรม ๑ ทรงจำแนกแจกแจง
ธรรม ๑ ทรงมีคนภักดี ๑ ทรงคายการ
ไปในภพทั้งหลาย ๑ ฉะนั้น จึงได้รับ
ขนานพระนามว่า ภควา.
ก็ความหมายนี้นั้น ได้กล่าวไว้แล้วในพุทธานุสตินิทเทส ในวิสุทธิมรรค
อย่างครบถ้วน เพราะเหตุนั้น นักศึกษาพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วใน
วิสุทธิมรรคนั้นเถิด.
ความหมายของภควาอีกนัยหนึ่ง
อีกนัยหนึ่ง. พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงมีภาคธรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ผู้อบรมพุทธกรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงเสพภาคธรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงเสพภคธรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงมีคนภักดี

10
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 11 (เล่ม 45)

พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงคายภคธรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงคายภาคธรรม.
พระชินเจ้าทรงพระนามว่า ภควา
เพราะหมายความว่า ทรงมีภาคธรรม ๑
ทรงอบรมพุทธกรธรรม ๑ ทรงเสพภาค-
ธรรม ๑ ทรงเสพภคธรรม ๑ ทรงมีคน
ภักดี ๑ ทรงคายภคธรรม ๑ ทรงคายภาคธรรม ๑.
ในความหมายเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้
๑. ทรงมีภาคธรรม
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรง
มีภาคธรรม เป็นอย่างไร ? คือ กองธรรม ได้แก่ ส่วนแห่งคุณมีศีลเป็นต้น
ที่วิเศษยิ่ง ไม่สาธารณ์แก่บุคคลอื่นมีอยู่ คือ หาได้เฉพาะแก่พระตถาคตเจ้า
จริงอย่างนั้น พระตถาคตเจ้านั้น ทรงมี คือ ทรงได้ภาคแห่งคุณ ได้แก่ส่วน
แห่งคุณ อันเป็นนิรัติสัย (ไม่มีส่วนแห่งคุณอื่นที่ยิ่งกว่า) ไม่จำกัดประเภท
ไม่มีที่สุด ไม่สาธารณ์แก่บุคคลอื่น มีอาทิอย่างนี้ คือ ศีล สมาธิ
ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ หิริ โอตตัปปะ ศรัทธา วิริยะ สติ
สัมปชัญญะ สีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ สมถะ วิปัสสนา กุศลมูล ๓
สุจริต ๓ สัมมาวิตก ๓ อนวัชชสัญญา ๓ ธาตุ ๓ สติปัฎฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๘ อริยมรรค อริยผล ๔ ปฎิสัมภิทา ๔
ญาณกำหนดรู้กำเนิด ๔ อริยวงศ์ ๔ เวสารัชชญาณ ๔ องค์ของภิกษุผู้
บำเพ็ญเพียร ๕ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕ สัมมาสมาธิมีญาณ ๕ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ นิสสารณียธาตุ ๕ วิมุตตายตนญาณ (ญาณเป็นบ่อเกิดแห่งวิมุตติ) ๕

11
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 12 (เล่ม 45)

วิมุตติปริปาจนียปัญญา (ปัญญาเป็นเครื่องบ่มวิมุตติ) ๕ อนุสติฐาน
(ที่ตั้งแห่งอนุสติ ) ๖ คารวะ ๖ นิสสารณียธาตุ ๖ สัตตวิหารธรรม ๖
อนุตริยะ ๖ นิพเพธภาคิยสัญญา ๖ อภิญญา ๖ อสาธารณญาณ ๖
อปริหานิยธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ โพชฌงค์ ๗ สัปปุริสธรรม ๗
นิชชรวัตถุ ๗ สัญญา ๗ เทศนาว่าด้วยทักขิไณยบุคคล ๗ เทศนาว่าด้วย
พลธรรมของพระขีณาสพ ๗ เทศนาว่าด้วยหตุให้ได้ปัญญา ๘ สัมมัตต-
ธรรม ๘ การล่วงพ้นโลกธรรม ๘ อารัมภวัตถุ ๘ อักขณเทศนา (เทศนา-
ว่าด้วยขณะที่ไม่สามารถประพฤติพรมจรรย์ได้) ๘ มหาบุรุษวิตก ๘ เทศนา
ว่าด้วยอภิภายตนะ ๘ วิโมกข์ ๘ ธรรมที่มีโยนิโสมนสิการเป็นมูล ๙ องค์
ของภิกษุผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๙ เทศนาว่าด้วยสัตตาวาส ๙ อุบาย
กำจัดอาฆาตวัตถุ สัญญา ๙ นานัตตธรรม ๙ อนุปุพพวิหารธรรม ๙
นาถกรณธรรม ๑๐ กสิณายตนะ (บ่อเกิดกสิณ) ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐
สัมมัตตธรรม ๑๐ อริยวาสธรรม ๑๐ อเสกขธรรม ๑๐ ตถาคตพละ ๑๐
อานิสงส์เมตตา ๑๑ อาการธรรมจักร ๑๒ ธุดงค์คุณ ๑๓ พุทธญาณ ๑๐
วิมุตติปริปาจนียธรรม ๑๕ อานาปานสติ ๑๖ อตปนียธรรม ๑๖ พุทธ-
ธรรม ๑๘ ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ญาณวัตถุ ๔๔ อุทัยพพยญาณ ๕๐
กุศลธรรมมากกว่า ๕๐ ญาณวัตถุ ๗๗ สมาบัติสองล้านสี่แสนโกฎิ มหาวชิร-
ญาณ ๕ เทศนานัยว่าด้วยการพิจารณาปัจจัยในอนันตนยสมันตปัฏฐานปกรณ์
และญาณแสดงถึงอาสยะเป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุดในโลกธาตุอันไม่มี
ที่สุด. เพราะเหตุนั้น เมื่อควรจะขนานพระนามว่า ภาควา เพราะเหตุที่ทรง
มีภาคแห่งคุณ ตามที่ได้กล่าวจำแนกไว้แล้ว ท่านก็ขนานพระนามว่า ภควา
โดยรัสสะ อา อักษรเป็น อะ อักษร. พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
ภควา เพราะหมายความว่า ทรงมีภาคธรรม ดังพรรณนามานี้ก่อน.

12
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 13 (เล่ม 45)

เพราะเหตุที่ภาคแห่งคุณทั้งหมด มี
ศีลเป็นต้น มีอยู่ในพระสุคตอย่างครบถ้วน
ฉะนั้น บัณฑิต จึงขนานพระนามพระองค์
ว่า ภควา.
๒. ทรงอบรมพุทธกรธรรม
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรง
อบรมพุทธกรธรรมเป็นอย่างไร คือ พุทธกรธรรม (ธรรมที่ทำให้เป็น-
พระพุทธเจ้า) เหล่านั้นใดมีอาทิอย่างนี้ คือ บารมี ๑๐ ได้แก่ ทานบารมี
ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี
อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐
รวมเป็นบารมี ๓๐ ถ้วน สังคหวัตถุ ๔ มีทานเป็นต้น อธิษฐานธรรม ๔
มหาบริจาค ๕ คือ การบริจาคร่างกาย การบริจาคนัยนา (ดวงตา) การบริจาค
ทรัพย์ การสละราชสมบัติ การบริจาคบุตรและภรรยา บุพประโยค บุพจริยา
การกล่าวธรรม พระจริยาที่เป็นประโยชน์แก่โลก พระจริยาที่เป็นประโยชน์
แก่พระญาติ พระจริยาที่เป็นประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า ที่พระมหา-
สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความขวนขวาย เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งมวล
ผู้ประมวลธรรม ๘ ประการ มีความเป็นมนุษย์เป็นต้นไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว
กระทำมหาภินิหารไว้ เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ควรบำเพ็ญให้บริบูรณ์
หรือเมื่อว่าโดยย่อ คือ พุทธกรธรรมที่เป็นเหตุเพิ่มบุญ เพิ่มญาณ (ปัญญา)
พุทธกรธรรมเหล่านั้นที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ คือ สั่งสมมา โดยเคารพอย่าง
ครบถ้วนไม่ขาดสาย สิ้นเวลา ๔ อสงไขย กำไรแสนกัป นับแต่มหา-
ภินิหาร (ที่ได้รับจากพระพุทธที่ปังกร) มา โดยที่พุทธกรธรรมเหล่านั้นมิ

13
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 14 (เล่ม 45)

ได้อยู่ในภาคเสื่อม มิได้อยู่ในภาคเศร้าหมอง หรือมิได้อยู่ในภาคหยุดชะงัก
โดยที่แท้อยู่ในภาคคุณวิเศษที่สูง ๆ ขึ้นไป มีอยู่แก่พระองค์ เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงพระนามว่า ภตวา (ผู้บำเพ็ญพุทธกรธรรม) ดังนั้น เมื่อ-
ควรขนานพระนามว่า ภตวา แต่กลับถวาย พระนามว่า ภควา เพราะ
แปลงอักษร ต ให้เป็นอักษร ค ตามนัยแห่งนิรุกติศาสตร์. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า ภตวา มีความว่า ทรงสั่งสม คือ อบรมไว้ ได้แก่บำเพ็ญพุทธกร-
ธรรม ตามที่กล่าวแล้วนั้นนั่นแล. พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ภควา เพราะ
หมายความว่า ทรงอบรมพุทธกรธรรม แม้ด้วยประการฉะนี้.
เพราะเหตุที่พระโลกนาถ ทรงอบรม
สัมภารธรรมทั้งหมด มีทานบารมีเป็นต้น
เพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ ฉะนั้น จึง
ถวายพระนามว่า ภควา.
๓. ทรงเสพภาคธรรม
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงเสพ
ภาคธรรมเป็นอย่างไร ? คือ ส่วนแห่งสมาบัติที่ใช้ทุกวันนับได้จำนวนสองหมื่น
สี่พันโกฏิเหล่าใดมีอยู่ พระพุทธเจ้าทรงใช้ ทรงคบ ทรงส้องเสพ ได้แก่
ทรงทำให้มากอยู่เนืองนิตย์ ซึ่งส่วนแห่งสมาบัติเหล่านั้นไม่มีเหลือ เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก และเพื่อประทับอยู่อย่างเป็นสุขในปัจจุบันของ
พระองค์ เพราะเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า
ทรงเสพภาคธรรม. อีกประการหนึ่ง ในธรรมทั้งหลายที่ควรรู้ยิ่ง มีกุศล
เป็นต้น และมีขันธ์เป็นต้น ธรรมเหล่าใดเป็นส่วนที่ควรรู้ยิ่งด้วยอำนาจเป็น

14
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ – หน้าที่ 15 (เล่ม 45)

ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นต้น หรือเป็นส่วนที่ควรรู้ยิ่ง โดยย่อก็มีอยู่ ๔ อย่าง
แต่เมือว่าโดยพิสดารก็คือ ธรรมทั้งหลายเป็นส่วนที่ควรกำหนดรู้หลายประเภท
โดยนัยเป็นต้นว่า จักษุเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ฯลฯ ชราและมรณะเป็นสิ่งที่
ควรกำหนดรู้ ๑ ธรรมทั้งหลายเป็นส่วนที่ต้องละหลายประเภท โดยนัยเป็นต้น
ว่า เหตุเกิดของจักษุต้องละ ฯลฯ เหตุเกิดของชราและมรณะต้องละ ๑ ธรรม
ทั้งหลายเป็นส่วนต้องทำให้แจ้งหลายประเภทโดยนัยเป็นต้นว่า การดับของจักษุ
ต้องทำให้แจ้ง ฯลฯ การดับของชราและมรณะต้องทำให้แจ้ง ๑ ธรรมทั้งหลาย
เป็นส่วนต้องทำให้เจริญหลายประเภทโดยนัยเป็นต้นว่า ปฏิปทาที่มีปกติให้ถึง
ความดับแห่งจักษุต้องเจริญ ฯลฯ สติปัฏฐาน ๔ ต้องเจริญ ๑ ธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงใช้ ทรงคบ ทรงเสพด้วยอำนาจอารมณ์ ภาวนา
และอาเสวนะตามควร. พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความ
ว่า ทรงเสพภาคธรรมดังพรรณนามาฉะนี้
อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเสพ ทรงปรารถนาด้วยพระ-
มหากรุณาว่า หมวดธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านี้เป็นส่วนแห่งคุณคือ เป็นภาคแห่ง
คุณทีทั่วไป ทำไฉนหนอ หมวดธรรมเหล่านั้นจะพึงดำรงมั่นอยู่ในสันดานของ
เวไนยสัตว์. และความปรารถนานั้นของพระองค์ ก็ได้นำผลมาให้สมพระประสงค์.
พระพุทธเจ้าจึงทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงเสพภาคธรรม
ดังพรรณนามาฉะนี้.
เพราะเหตุที่พระตถาคตเจ้า ทรงเสพ
ทรงปรารถนาภาคแห่งคุณ คือ การบรรลุ
ไญยธรรมเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่
สัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า
ภควา.

15