No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 781 (เล่ม 44)

๒. . . แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระนาคสมาละก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิดพระเจ้าข้า แม้
ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสกะท่านพระนาคสมาละว่า ดูก่อน
นาคสมาละ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระนาคสมาละ
วางบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ที่แผ่นดิน ณ หนทางนั้นเอง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้บาตรและจีวร ดังนี้ แล้ว
หลีกไป ครั้นเมื่อท่านพระนาคสมาละเดินไปโดยทางนั้น พวกโจรใน
ระหว่างทางออกมาแล้ว ทุบด้วยมือบ้าง เตะด้วยเท้าบ้าง ได้ทุกบาตร
และฉีกผ้าสังฆาฏิเสีย ครั้งนั้น ท่านพระนาคสมาละมีบาตรแตก มีผ้าสังฆาฏิ
ขาด เข้าไปฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน
พระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์เดินไปโดยทางนั้น พวกโจรในระหว่างทาง
ออกมาแล้ว ทุบด้วยมือและเตะด้วยเท้า ได้ทุบบาตรและฉีกผ้าสังฆาฏิเสีย
แล้ว พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
บุคคลผู้ถึงเวท ผู้รู้ เที่ยวไปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน
ปะปนกันชนผู้ไม่รู้ ย่อมละเว้นบุคคลผู้ลามกเสียได้
เหมือนนกกระเรียน เมื่อบุคคลเอาน้ำนมปนน้ำเข้าไป
ให้ ดื่มแต่น้ำนมเท่านั้น ละเว้นน้ำ ฉะนั้น.
จบทวิธาปถสูตรที่ ๗

781
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 782 (เล่ม 44)

อรรถกถาทวิธาปถสูตร
ทวิธาปถสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน ได้แก่ เป็นผู้เดินทางระยะยาว คือ
ทางไกล. บทว่า นาคสมาเลน ได้แก่ พระเถระผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า
ปจฺฉาสมเณน ได้แก่ ในกาลนั้น พระเถระนี้ได้เป็นอุปัฏฐากพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จดำเนินทาง โดย
มีพระนาคสมาละเป็นปัจฉาสมณะ. จริงอยู่ ในประถมโพธิกาล พระผู้มี-
พระภาคเจ้า มิได้มีอุปัฏฐากประจำนานถึง ๒๐ ปี. หลังจากนั้น จนถึง
ปรินิพพาน ท่านพระอานนท์ได้อุปัฏฐาก ดุจเงาถึง ๒๕ ปี. แต่กาลนี้
ไม่ใช่มีอุปัฏฐากเป็นประจำ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อายสฺมตา
นาคสมาเลน ปจฺฉาสนเณน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เทฺวธาปถํ ได้แก่ หนทาง ๒ แพร่ง. อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า ทฺวิธาปถํ ดังนี้ก็มี.
ท่านนาคสมาละ เพราะเหตุที่ตนคุ้นกับทางนั้นมาก่อน และเพราะ
หมายถึงทางนั้นเป็นทางตรง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เจริญ นี้ทาง. ก็ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ทางนั้นมี
อันตราย จึงมีพระประสงค์จะเสด็จไปทางอื่นจากทางนั้น จึงตรัสว่า
นาคสมาละ นี้ทาง. และเมื่อพระองค์ตรัสว่า ทางนี้มีอันตราย จึงไม่เชื่อ
แล้วพึงทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทางนั้นไม่มีอันตราย การที่ท่าน
พระนาคสมาละไม่เชื่อแล้วทูลอย่างนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสว่า มีอันตราย.
ท่านนาคสมาละกราบทูลถึง ๓ ครั้งว่า นี้ทาง เสด็จไปทางนี้เถิด ในครั้ง

782
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 783 (เล่ม 44)

ที่ ๔ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรารถนาจะเสด็จไปทางนี้ และ
ทางนี้แหละเป็นทางตรง เอาเถอะเราจักถวายคืนบาตรและจีวรแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้ว เดินไปทางนี้ เมื่อไม่อาจจะมอบบาตรและจีวร ในพระ-
หัตถ์ของพระศาสดาจึงวางไว้ที่พื้น อันกรรมของตนซึ่งเป็นทางแห่งทุกข์
ปรากฏขึ้น ตักเตือนอยู่ มิได้เอื้อเฟื้อพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย
จึงหลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระนาคสมาละ
วางบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พื้นดิน ในทางนั้นนั่นเอง
แล้วหลีกไป.
บรรดาเหล่านั้น บทว่า ภควโต ปตฺตจีวรํ ได้แก่ ซึ่งบาตรและ
จีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งอยู่ในมือของตน. บทว่า ตตฺเถว ความว่า
วางไว้ที่พื้นดิน คือ บนแผ่นดินในทางนั้นนั่นเองแล้วหลีกไป. อธิบายว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นี้ บาตรและจีวรของพระองค์ ถ้าพระองค์
ปรารถนา ก็จงรับไปเถอะ ถ้าพระองค์ประสงค์จะไปเฉพาะทางที่พระองค์
ปรารถนา. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาบาตรและจีวรของพระองค์
ด้วยพระองค์เองเสด็จดำเนินไปสู่ทาง ตามที่ทรงพระประสงค์.
บทว่า อนฺตรามคฺเค โจรา นิกฺขมิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ใน
กาลนั้น บุรุษ ๕๐๐ คน เป็นนักเลงมีฝ่ามือเปื้อนเลือด ผิดต่อพระราชา
เข้าไปสู่ป่า เลี้ยงชีพด้วยโจรกรรม คิดว่า พวกเราจักตัดทางเจริญ ของ
พระราชาโดยความเป็นข้าศึกต่อกัน ดังนี้แล้ว จึงซุ่มอยู่ในป่าใกล้หนทาง.
บุรุษเหล่านั้น เห็นพระเถระกำลังเดินทางไป จึงคิดว่า สมณะนี้มาทางนี้
ใช้หนทางที่ไม่สมควรจะใช้ ไม่รู้ว่าเป็นของเรา เอาเถอะเราจักให้ท่านรู้
ดังนี้แล้วโกรธ รีบออกจากพงป่าตบเตะพระเถระให้ล้มลงที่พื้นดินโดยเร็ว

783
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 784 (เล่ม 44)

แล้วทุบบาตรดินของท่าน ฉีกจีวรให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เพราะเห็น
ว่าเป็นบรรพชิต จึงปล่อยไปด้วยสั่งว่า พวกเราจะยังไม่ฆ่าท่าน ตั้งแต่นี้
ต่อไป ท่านจงรู้ว่า หนทางนี้มีอันตราย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อถ โข อายสฺมโต ฯ เป ฯ วิปฺผาเลสุํ ดังนี้เป็นต้น
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่า พระนาคสมาละนี้ไปทางนั้น
ถูกโจรเบียดเบียนแสวงหาเรา จักมาในบัดเดี๋ยวนี้แล ดังนี้แล้ว เสด็จไป
หน่อยหนึ่ง แวะลงจากทางประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง. ฝ่ายท่านนาค-
สมาละแล ย้อนกลับมา ยึดเอาหนทางที่พระศาสดาเสด็จไปนั่นแล กำลัง
เดินไปพบพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โคนไม้นั้น จึงเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคม
กราบทูลเรื่องนั้นแต่พระศาสดา. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข
อายสฺมา นาคสมาโล ฯ เป ฯ สงฺฆฏิญฺจ วิปฺผาเลสุํ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบว่าท่าน
พระนาคสมาละไม่เอื้อเฟื้อต่อคำของพระองค์แล้ว เดินไปยังทางที่ไม่
ปลอดภัย และทรงทราบว่า พระองค์ดำเนินไปยังทางที่ปลอดภัยนี้แล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธึ จรํ แปลว่า เที่ยวไปร่วมกัน.
บทว่า เอกโต วสํ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า สทฺธึ จรํ นั้นนั่นแล.
อธิบายว่า อยู่ร่วมกัน. บทว่า มิสฺโส อญฺญชเนน เวทคู ความว่า ชื่อว่า
ถึงเวท เพราะถึงคือบรรลุ ด้วยอริยมรรคญาณคือสัจจะ ๔ กล่าวคือ เวท
เพราะอรรถว่า อันบุคคลพึงรู้ หรือเพราะถึงฝั่งแห่งเวท คือ ไญยธรรม
ทั้งสิ้น. ชื่อว่าผู้ไม่รู้ เพราะไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์
ของตน. อธิบายว่า ผู้ไม่รู้ คือ คนเขลา. เป็นผู้ปะปนด้วยคนไม่รู้นั้น

784
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 785 (เล่ม 44)

คือ ปะปนโดยเหตุเพียงเที่ยวไปร่วมกัน. บทว่า วิทิตฺวา ปชหาติ ปาปกํ
ความว่า ผู้รู้คือทราบโดยภาวะที่ถึงเวทนั้น ย่อมละสิ่งชั่ว คือ สิ่งไม่เจริญ
ได้แก่สิ่งที่นำทุกข์มาให้ตน หรือละคนชั่ว คือคนไม่ดีงาม. เปรียบเหมือน
อะไร ? เปรียบเหมือนนกกระเรียน ดื่มแต่น้ำนมเว้นน้ำ อธิบายว่า นก
กระเรียน เมื่อเขานำน้ำนมที่เจือด้วยน้ำเข้าไป ชื่อว่า ดื่มแต่น้ำนม เพราะ
เว้นน้ำ ดื่มแต่น้ำนมเท่านั้น ย่อมละคือเว้นน้ำ กล่าวคือแม่น้ำอันไหล
ไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ได้ยินว่า บัณฑิตก็ฉันนั้น แม้อยู่ร่วมกับคนทรามปัญญา
ในอิริยาบถมีการยืนและการนั่งเป็นต้น ก็ละบุคคลผู้ทรามปัญญานั้น โดย
เอื้อเฟื้อ คือแม้ในกาลบางคราวก็ไม่ยอมปะปนกับพวกเขา.
จบอรรถกถาทวิธาปถสูตรที่ ๗
๘. วิสาขาสูตร
ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น
[๑๗๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของ
นางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล หลานของนาง
วิสาขามิคารมารดาเป็นที่รักที่พอใจ ทำกาละลง ครั้งนั้น นางวิสาขา
มารดามีผ้าเปียก ผมเปียก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับในเวลา
เที่ยง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสกะนางวิสาขามิคารมารดาว่า เชิญเถิดนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหนหนอ
มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง หางวิสาขากราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานของหม่อมฉัน เป็นที่รักที่พอใจ ทำกาละ

785
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 786 (เล่ม 44)

เสียแล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงมีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ใน
เวลาเที่ยง เจ้าค่ะ.
พ. ดูก่อนนางวิสาขา ท่านพึงปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์
ในพระนครสาวัตถีหรือ.
วิ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตร
และหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถี เจ้าค่ะ.
พ. ดูก่อนนางวิสาขา มนุษย์ในพระนครสาวัตถีมากเพียงไร ทำ
กาละอยู่ทุกวัน ๆ.
วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์ในพระนครสาวัสถี ๑๐ คนบ้าง
๙ คนบ้าง ๘ คนบ้าง ๗ คนบ้าง ๖ คนบ้าง ๕ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ๓ คน
บ้าง ๒ คนบ้าง ๑ คนบ้าง ทำกาละอยู่ทุกวัน ๆ พระนครสาวัตถีไม่ว่าง
เว้นคนทำกาละ เจ้าค่ะ.
พ. ดูก่อนนางวิสาขา ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านพึง
เป็นผู้มีผ้าเปียกหรือมีผมเปียกเป็นบางครั้งบ้างคราวหรือหนอ.
วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าค่ะ พอเพียงแล้วด้วย
บุตรและหลานมากเพียงนั้นแก่หม่อมฉัน.
พ. ดูก่อนนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผู้ใด
มีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๘๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๘๐ ผู้ใด
มีสิ่งที่รัก ๗๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๖๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖๐ ผู้ใด
มีสิ่งที่รัก ๕๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๔๐ ผู้ใด
มีสิ่งที่รัก ๓๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๒๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๒๐ ผู้ใด
มีสิ่งที่รัก ๑๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙ ผู้ใดมีสิ่งที่

786
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 787 (เล่ม 44)

รัก ๘ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๘ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๗ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๖
ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๕ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔ ผู้นั้นก็
มีทุกข์ ๔ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๓ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๒ ผู้นั้นก็มี
ทุกข์ ๒ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑ ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์
เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี
มากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก เพราะอาศัยสัตว์
หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอัน
เป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร และความทุกข์
เหล่านี้ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์
หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหน ๆ ผู้นั้นเป็นผู้มี
ความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้
ปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่
พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก ในโลกไหน ๆ.
จบวิสาขาสูตรที่ ๘
อรรถกถาวิสาขาสูตร
วิสาขาสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า วิสาขาย มิคารมาตุยา นตฺตา กาลกตา โหติ ได้แก่
เด็กหญิงผู้เป็นธิดาของบุตรแห่งมหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขา ถึงแก่กรรม.

787
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 788 (เล่ม 44)

ได้ยินว่า เด็กหญิงนั้นสมบูรณ์ด้วยวัตร เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา
เป็นผู้ไม่ประมาท ได้กระทำการขวนขวายที่ตนจะพึงทำ แก่ภิกษุและ
ภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เข้าไปยังบ้านของมหาอุบาสิกา ทั้งเวลาก่อนอาหารและ
หลังอาหาร. ปฏิบัติคล้อยตามใจของยายตน. ด้วยเหตุนั้น มหาอุบาสิกา
ชื่อว่าวิสาขา เมื่อออกจากเรือนไปข้างนอก ได้มอบหน้าที่ทั้งหมดแก่เด็ก
หญิงนั้นนั่นแล แล้วจึงไป และเธอก็มีรูปร่างน่าชมน่าเลื่อมใส ดังนั้น
เธอจึงเป็นที่รักที่ชอบใจโดยพิเศษ ของวิสาขามหาอุบาสิกา. เธอถูกโรค
ครอบงำจึงถึงแก่กรรม. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล หลาน
ของนางวิสาขามิคารมารดาผู้เป็นที่รักที่ชอบใจ ได้ถึงแก่กรรม.
ลำดับนั้น มหาอุบาสิกาเมื่อไม่อาจจะอดกลั้นความโศก เพราะการ
ตายของหลานได้ จึงเป็นทุกข์เสียใจ ให้คนเอาศพไปเก็บไว้ แล้วเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่า ไฉนหนอในเวลาเราไปเฝ้าพระศาสดา
จะพึงได้ความยินดีแห่งจิต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข วิสาขา
มิคารมาตา ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิวาทิวสฺส แปลว่า ในกลางวัน
อธิบายว่า ในเวลาเที่ยง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบว่า นางวิสาขายินดียิ่งในวัฏฏะ
เพื่อจะทรงทำความเศร้าโศกของเธอให้เบาบางลงด้วยอุบาย จึงตรัสคำมี
อาทิว่า ดูก่อนวิสาขา เธอปรารถนาหรือ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวติกา แปลว่า มีประมาณเท่าใด.
ได้ยินว่า ในกาลนั้น คน ๗ โกฏิอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ซึ่งพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงหมายตรัสถามว่า ดูก่อนวิสาขา คนในกรุงสาวัตถีที่ตายไป

788
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 789 (เล่ม 44)

ทุกวัน ๆ วันละเท่าไร. นางวิสาขาจึงทูลตอบว่า วันละ ๑๐ คนบ้าง
พระเจ้าข้า ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตีณิ แก้เป็น ตโย แปลว่า ๓ คน.
อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้แหละ. บทว่า อวิวิตฺตา แปลว่า ไม่ว่าง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะประกาศความประสงค์ของ
พระองค์ จึงตรัสว่า เธอ๑เป็นผู้ไม่มีผ้าเปียก ไม่มีผมเปียก เป็นบางครั้ง
บางคราวบ้างหรือ. พระองค์ทรงแสดงว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนางวิสขา
ถูกความเศร้าโศกครอบงำตลอดกาล เธอพึงมีผ้าเปียก มีผมเปียก โดยการ
ลงน้ำ โดยเฉียดกับสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ของบุตรเป็นต้นที่ตายไปมิใช่หรือ ?
อุบาสิกาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความสังเวช ปฏิเสธว่าไม่เป็น
อย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า จิตของตนกลับจากความ
เดือดร้อนถึงสิ่งที่เป็นที่รักแด่พระศาสดา จึงกราบทูลว่า พอละพระเจ้าข้า
ด้วยพวกบุตรและหลานซึ่งมีมากถึงเพียงนั้น สำหรับหม่อมฉัน. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่นางว่า ขึ้นชื่อว่าทุกข์นี้ มี
สิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ สิ่งที่น่ารักมีประมาณเพียงใด ทุกข์ก็มีประมาณเพียงนั้น
เพราะฉะนั้น เธอผู้รักสุขเกลียดทุกข์ พึงให้จิตเกิดความสลดจากวัตถุที่
เป็นที่รัก โดยประการทั้งปวง จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนวิสาขา คน
เหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รัก ๑๐๐ คนเหล่านั้นก็มีทุกข์นับได้ ๑๐๐ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ ปิยานิ ได้แก่ สิ่งอันเป็นที่รัก
๑๐๐. อาจารย์บางพวกกล่าว สตํ ปิยํ ดังนี้ก็มี. ก็ในคำนี้ นับตั้งแต่
๑ จนถึง ๑๐ ชื่อว่ามีการนับเป็นประธาน ฉะนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมี
๑. ปาลิยํ อลฺลวตฺถา อลฺลเกสาติ ทิสฺสติ.

789
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 790 (เล่ม 44)

อาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งที่เป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์นับ ๑๐. แต่อาจารย์
บางพวกกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งอันเป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็เป็น
ทุกข์นับ ๑๐. คำนั้นไม่ดี. เพราะเหตุที่การนับตั้งแต่ ๒๐ จนถึง ๑๐๐
ชื่อว่ามีการนับเป็นประธานเหมือนกัน ฉะนั้น เพราะถือเอาเฉพาะสิ่งอัน
เป็นที่รักซึ่งมีการนับเป็นประธานแม้ในข้อนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมีอาทิว่า
เยสํ โข วิสาเข สตํ ปิยานิ สตํ เตสํ ทุกฺขานิ ดังนี้. บาลีของ
อาจารย์ทั้งปวงว่า ชนเหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รักอันหนึ่ง ชนเหล่านั้นก็มี
ทุกข์อันหนึ่ง ดังนี้ แต่บาลีว่า ทุกฺขสฺส ดังนี้ ไม่มี. ก็ในฝ่ายนี้ เทศนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีรสเป็นอันเดียวกันเทียว เพราะฉะนั้น พึงทราบ
บาลีซึ่งมีนัยตามที่กล่าวแล้วนั้นแล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ซึ่งอรรถนี้ว่า ทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกาย มีโสกะและปริเทวะ
เป็นต้น มีสิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ ย่อมปรากฏในเมื่อมีสิ่งที่น่ารัก ย่อมไม่
ปรากฏในเมื่อสิ่งที่น่ารักไม่มี จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
คำแห่งอุทานนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ธรรมเหล่าใดคนหนึ่ง มี
ลักษณะทำจิตของคนพาล ผู้ถูกความวอดวายแห่งญาติ โภคะ โรค ศีล
และทิฏฐิถูกต้องแล้ว หม่นไหม้อยู่ในภายใน ให้เดือดร้อนก็ดี ความ
เศร้าโศกชนิดใดชนิดหนึ่ง ต่างโดยอย่างอ่อนและปานกลางเป็นต้นก็ดี
ความรำพันมีลักษณะบ่นเพ้อด้วยวาจา อันแสดงถึงความเศร้าโศกที่ให้ตั้ง
ขึ้น ของชนผู้ถูกความเศร้าโศกเหล่านั้นนั่นแล ถูกต้องแล้ว ให้ตั้งขึ้นก็ดี
ทุกข์มีการบีบคั้นกาย ของบุคคลผู้มีกายอันโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา
กระทบแล้วก็ดี โทมนัสและอุปายาสเป็นต้น ที่ถือเอาด้วย วา ศัพท์ ซึ่ง

790