No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 771 (เล่ม 44)

ของบุคคลผู้กระทำกรรมชั่ว. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่
พินาศตกไปของบุคคลผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่แตกไปอยู่ ชื่อว่า นิรยะ เพราะ
เป็นที่ไม่มีความเจริญ อันเข้าใจกันว่าความยินดี.
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยศัพท์ว่า อบาย ทรงแสดงถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน.
จริงอยู่ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากภูมิเป็นที่ไปดี
ไม่จัดเป็นทุคติ เพราะเป็นที่เกิดของพญานาคเป็นต้น ผู้มีศักดาใหญ่.
ด้วยศัพท์ว่า ทุคติ ท่านแสดงถึงวิสัยแห่งเปรต. จริงอยู่ ปิตติวิสัยนั้น
ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากสุคติ และชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็น
ที่ไปแห่งทุกข์ แต่ไม่ใช่จัดเป็นวินิบาต เพราะไม่ได้ตกไปโดยไร้อำนาจ
เช่นพวกอสูร. จริงอยู่ แม้วิมานก็ย่อมบังเกิดแก่พวกเปรตผู้มีฤทธิ์มาก.
ด้วยศัพท์ว่า วินิปาตะ ทรงแสดงถึงอสุรกาย. ก็อสุรกายนั้น ว่าโดยอรรถ
ตามที่กล่าวแล้ว ท่านเรียกว่า อบาย และทุคติ เรียกว่า วินิบาต
เพราะตกไปโดยไร้อำนาจจากกองสมบัติทั้งหมด. ด้วยศัพท์ว่า นิรยะ ทรง
แสดงเฉพาะนรก ซึ่งมีประการมากมาย มีอเวจีเป็นต้น. บทว่า อุปปชฺชติ
แปลว่า ย่อมบังเกิด.
พึงทราบอานิสงสกถา โดยปริยายตรงกันข้ามดังกล่าวแล้ว. ส่วน
ความแปลกกันมีดังต่อไปนี้. บทว่า สีลวา ได้แก่ ผู้มีศีลโดยการสมาทาน.
บทว่า สีลสมฺปนฺโน ได้เเก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เพราะยังศีลให้สำเร็จ โดย
ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์. บทว่า โภคกฺขนฺธํ ได้แก่ กองแห่งโภคะ ด้วย
สุคติศัพท์ ในบทว่า สุคติ สคฺคํ โลกํ นี้ ท่านรวมเอาคติของมนุษย์เข้า
ด้วย. ด้วยศัพท์ว่า สัคคะ ท่านหมายเอาคติของเทวดาเข้าด้วย. ในคติ
เหล่านั้น ชื่อ สุคติ เพราะมีคติดี. ชื่อว่า สัคคะ เพราะมีอารมณ์ด้วยดี

771
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 772 (เล่ม 44)

ด้วยอารมณ์มีรูปเป็นต้น. ก็สัคคะทั้งหมดนั้น ชื่อว่า โลก เพราะอรรถ
ว่าแตกสลาย.
บทว่า ปาฏลิคามิเย อุปาสเก พหุเทว รตฺตึ ธมฺมิยา กถาย ความ
ว่า ด้วยธรรมกถา และด้วยกถาเป็นเครื่องอนุโมทนาสำหรับที่พักอาศัย
อันพ้นจากบาลีแม้อื่น.
ก็ในคราวนั้น เพราะเหตุที่พระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อจะทรงสร้างนคร
ปาฏลีบุตรในที่นั้น จึงทรงนำเอากุฎุมพีที่สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระใน
คามนิคมชนบทและราชธานีอื่น ๆ แล้วประทานทรัพย์ธัญญาหารที่บ้านที่
นาเป็นต้น และการปกครองแล้วให้อยู่อาศัย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งศีลก่อน แก่อุบาสกอุบาสิกา ชาวปาฏลิคาม
ผู้หนักในศีลโดยพิเศษ เพราะเป็นผู้เห็นอานิสงส์ และเพราะศีลเป็นที่ตั้ง
แห่งคุณทั้งปวง ต่อแต่นั้น เมื่อจะแสดงปกิณณกกถา อันนำมาซึ่งประโยชน์
สุข แก่อุบาสกและอุบาสิกาชาวปาฏลิคาม เหมือนยังอากาศคงคาให้
หยั่งลง เหมือนฉุดมาซึ่งง้วนดิน เหมือนจับยอดหว้าใหญ่ให้ไหวอยู่ และ
เหมือนเอาเครื่องยนต์ บีบคั้นรวงผึ้งประมาณโยชน์หนึ่ง ให้สำเร็จเป็นน้ำ
หวานที่ดี จึงทรงแสดงธรรมกถาเป็นอันมากที่วิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ อย่างนี้
ว่า ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย ธรรมดาว่า อาวาสทานนี้ เป็นบุญมาก เรา
และภิกษุสงฆ์ได้ใช้อาวาสของพวกท่าน ก็แล เมื่อเราและภิกษุสงฆ์ใช้แล้ว
ก็เป็นอันชื่อว่า ธรรมรัตนะก็ได้ใช้เหมือนกัน เมื่อรัตนะ ๓ ได้ใช้แล้ว
อย่างนี้ ย่อมมีวิบากหาประมาณมิได้ทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง เมื่อถวาย
อาวาสทาน ก็เป็นอันชื่อว่าถวายทานทั้งปวงทีเดียว ใคร ๆ ไม่อาจจะ
กำหนดอานิสงส์ของบรรณศาลาที่สร้างไว้บนแผ่นดิน หรือของศาลาราย

772
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 773 (เล่ม 44)

ที่สร้างอุทิศสงฆ์ ก็ด้วยอานุภาพแห่งอาวาสทาน แม้สัตว์ผู้จะเกิดในภพ
จะชื่อว่าอยู่ในครรภ์ที่ถูกบีบคั้น หามีไม่ ท้องของมารดาของสัตว์ผู้เกิด
ในครรภ์นั้น จะไม่คับแคบเลย เหมือนห้องประมาณ ๑๒ ศอก ดังนี้แล้ว
จึงตรัสกถาว่าด้วยอานิสงส์แห่งอาวาสทาน เกินยามครึ่งในราตรีเป็นอัน
มาก ว่า
เสนาสนะ ย่อมป้องกันเย็นและร้อน และสัตว์
ร้าย งู ยุง ฝน ที่ตั้งขึ้นในฤดูหนาว ลมและแดด
อันกล้าเกิดขึ้นแล้ว ย่อมบรรเทาได้ การถวายวิหาร
แก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพิจารณา
และเพื่อเห็นแจ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็น
ทานอันเลิศ เพราะเหตุนั้นแล บุรุษบัณฑิตเมื่อเล็ง
เห็นประโยชน์ตน พึงสร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ ให้
ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตอยู่เถิด อนึ่ง พึงถวาย ข้าว
น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้น ด้วยน้ำใจ
อันเลื่อมใสในท่านผู้ซื่อตรง เขารู้ธรรมอันใดในโลก
นี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน ท่านย่อม
แสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่
เขา ดังนี้.
รวมความว่า ทั้งนี้ เป็นอานิสงส์ของอาวาสทาน ด้วยประการฉะนี้.
แต่ในอานิสงส์อาวาสทานนี้ ท่านยกคาถานี้แหละขึ้นสู่สังคายนา ส่วน
ปกิณณธรรมเทศนา หาได้ยกขึ้นสู่สังคายนาไม่.

773
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 774 (เล่ม 44)

บทว่า สนฺทสฺเสตฺวา ดังนี้เป็นต้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า อภิกฺกนฺตา ได้แก่ ผ่านไป ๒ ยาม. บทว่า ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญถ
ได้แก่ ท่านจงสำคัญกาลที่ท่านจะไปเถิด อธิบายว่า นี้เป็นเวลาไปของท่าน
ท่านจงไปเถิด.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงส่งภิกษุเหล่านั้น
ไป ? ตอบว่า เพื่ออนุเคราะห์. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่ง
ไปด้วยความอนุเคราะห์ ๒ อย่างคือ ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้น นั่งในที่นั้น ให้
๓ ยาม แห่งราตรีผ่านไป อาพาธพึงเกิดขึ้นในร่างกายของพวกเธอ และ
แม้ภิกษุสงฆ์ควรจะได้โอกาสในการนอนและการนั่ง อันปราศจากกลาง
แจ้ง.
บทว่า สุญฺญาคารํ ได้แก่ ชื่อว่าสุญญาคาร โดยเฉพาะ ย่อมไม่มี
ในที่นั้น. ได้ยินว่า คฤหบดีเหล่านั้น ได้ให้เอาผ้าม่านแวดวง ณ ข้างหนึ่ง
ของอาวสถาคารนั้นนั่นแลแล้ว ให้จัดแจงเตียงที่สมควร ลาดเครื่องลาด
ที่สมควรในที่นั้น ผูกเพดานอันประดับด้วยดาวทองคำ เงิน ของหอม
และมาลาเป็นต้นแล้ว ยกประทีปน้ำมันหอมไว้เบื้องบน ด้วยคิดว่า ไฉน
หนอ พระศาสดาจักพึงเสด็จลุกจากธรรมาสน์ ประสงค์จะพักผ่อน
หน่อยหนึ่ง พึงบรรทมในที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงใช้
อาวสถาคารนี้ของพวกเรา ด้วยอิริยาบถ ๔ จักพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์
สุขตลอดกาลนาน. แม้พระศาสดา ทรงหมายถึงข้อนั้นนั่นแล จึงทรงให้
จัดแจงลาดผ้าสังฆาฏิในที่นั้นแล้ว จึงสำเร็จสีหไสยาสน์ ซึ่งท่านหมาย
กล่าวไว้ว่า พระองค์เสด็จเข้าไปสู่สุญญาคาร. ในสุญญาคารนั้น พระองค์
ได้เสด็จไปจำเดิมตั้งแต่ที่เป็นที่ล้างพระบาท จนถึงธรรมาสน์ การเสด็จ

774
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 775 (เล่ม 44)

ไปในที่ประมาณเท่านี้ สำเร็จแล้ว เสด็จถึงธรรมาสน์แล้ว ประทับยืน
หน่อยหนึ่ง นี้เป็นอิริยาบถยืนในที่นั้น พระองค์ประทับนั่งบนธรรมาสน์
ตลอดสองยาม อิริยาบถนั่งในที่มีประมาณเท่านี้ สำเร็จแล้ว พระองค์
ทรงส่งอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายไปแล้ว เสด็จลงจากธรรมาสน์ ทรงสำเร็จ
สีหไสยาสน์ในที่ดังกล่าวแล้ว. ที่นั้นได้เป็นสถานที่ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงใช้สอยแล้วด้วยอิริยาบถ ๔ ด้วยประการฉะนี้แล.
บทว่า สุนีธวสฺสการา ได้แก่ พราหมณ์ ๒ คนคือ สุนีธพราหมณ์
และวัสสการพราหมณ์. บทว่า มคธมหามตฺตา ได้แก่ มหาอำมาตย์ของ
พระเจ้ามคธ หรือมหาอำมาตย์ในแคว้นมคธ. ชื่อว่า มหาอำมาตย์ เพราะ
ประกอบด้วยเหตุอันสักว่าความเป็นอิสระอย่างใหญ่. บทว่า ปาฏิลิคาเม
นครํ มาเปนฺติ ได้แก่ ให้สร้างพระนคร ณ ภูมิประเทศ คือปาฏลิคาม.
บทว่า วชฺชีนํ ปฏิพาหาย ได้แก่ เพื่อป้องกันทางเจริญของพวกเจ้าลิจฉวี.
บทว่า สหสฺเสว ได้แก่ แบ่งออกเป็นพวกละพัน ๆ. บทว่า วตฺถูนิ
ได้แก่ ที่สร้างเรือน. บทว่า จิตฺตานิ มนนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํ ความว่า
จิตของบุคคลผู้รู้พื้นที่ ย่อมน้อมไป เพื่อจะสร้างพระราชนิเวศน์ และ
ที่อยู่อาศัยของราชอำมาตย์.
เล่ากันมาว่า พวกเหล่านั้นรู้พื้นที่ประมาณ ๓๐ ศอก ในภายใต้
แผ่นดินด้วยอานุภาพแห่งศิลปะของตนว่า ในที่นี้นาคยึดครอง ในที่นี้
ยักษ์ยึดครอง ในที่นี้ภูตยึดครอง ในที่นี้มีแผ่นหินหรือตอไม้. ใน
กาลนั้น พวกเขากล่าวถึงศิลปะแล้ว เป็นเหมือนปรึกษากับพวกเทวดา
จึงสร้างขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง พวกเทวดา สิงในร่างกายของพวกเขาแล้ว
น้อมจิตไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในที่นั้น ๆ. เทวดาเหล่านั้นกลับหายไป ใน

775
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 776 (เล่ม 44)

ขณะที่พวกเขาตอกหลักที่มุมทั้ง ๔ แล้วจับจองพื้นที่. พวกเทวดาผู้มี
ศรัทธาของตระกูลที่มีศรัทธา ก็ย่อมกระทำอย่างนั้น. เทวดาผู้ไม่มี
ศรัทธาของตระกูลที่ไม่มีศรัทธา ก็ย่อมกระทำอย่างนั้น. เพราะเหตุไร ?
เพราะเทวดาผู้มีศรัทธาย่อมคิดอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ย่อมสร้างนิเวศน์
ในที่นี้ จักนิมนต์ให้ภิกษุสงฆ์นั่งก่อนแล้ว จึงให้กล่าวมงคล เมื่อเป็น
เช่นนี้ พวกเราก็จักได้เห็นท่านผู้มีศีล ฟังธรรมกถา ฟังการแก้ปัญหา
และจักได้ฟังอนุโมทนา อนึ่ง พวกมนุษย์ถวายทานแล้ว จักให้ส่วนบุญ
แก่พวกเรา. ฝ่ายเทวดาผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
ได้เห็นการปฏิบัติของภิกษุเหล่านั้น และได้ฟังกถาตามเหมาะแก่ความต้อง
การของ่ตน พวกมนุษย์ก็กระทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ตาวตึเสหิ ความว่า เหมือนอย่างว่า เพราะอาศัยมนุษย์ผู้
เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ในตระกูลหนึ่ง และภิกษุผู้เป็นพหูสูตรูปหนึ่ง ใน
วิหารหนึ่ง เสียงย่อมขจรไปว่า พวกมนุษย์ในตระกูลโน้นเป็นบัณฑิต
พวกภิกษุในวิหารโน้นเป็นพหูสูต ฉันใด เพราะอาศัยท้าวสักกเทวราช
และวิสสุกรรมเทวบุตร เสียงจึงขจรไปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็น
บัณฑิต ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดาวตึเสหิ ดังนี้
เป็นต้น. ด้วยคำว่า เสยฺยถาปิ เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงว่า สุนีธ-
พราหมณ์ และวัสสการพราหมณ์ พากันสร้างพระนคร เหมือนปรึกษากับ
พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.
บทว่า ยาวตา อริยํ อายตนํ ความว่า ชื่อว่า สถานที่เป็นที่ประชุม
แห่งพวกมนุษย์ผู้เป็นอริยะ มีประมาณเท่าใด มีอยู่. บทว่า ยาวตา
วณิปฺปโถ ได้แก่ ชื่อว่า สถานที่ซื้อและขาย โดยกองสิ่งของที่พวกพ่อค้า

776
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 777 (เล่ม 44)

นำมา มีประมาณเท่าใด มีอยู่ หรือสถานที่ที่อยู่ของพวกพ่อค้า มี
ประมาณเท่าใด มีอยู่. บทว่า อิทํ อคฺคนครํ ได้แก่ นครนี้จักเป็นนคร
อันเลิศ ประเสริฐ เป็นประธานแห่งพวกมนุษย์ผู้เป็นอริยะ และพวก
พ่อค้าเหล่านั้น. บทว่า ปูฏเภทนํ ได้แก่ เป็นที่แก้ห่อสิ่งของ อธิบายว่า
เป็นที่เปลื้องห่อสิ่งของทั้งหลาย. อธิบายว่า ก็ในที่นี้เอง พวกเขา
จักได้ แม้สิ่งของที่ยังไม่ได้ในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้จะไม่ไปขายในที่อื่น
ก็จักไปขายในที่นี้นั่นแหละ เพราะฉะนั้น พวกเขาจักแบ่งห่อสิ่งของใน
ที่นี้แล. ก็สถานที่ ๕๐๐,๐๐๐ ที่ ได้ปรากฏขึ้นเพื่อความเห็นเจริญในที่นั้น
ทุก ๆ วัน อย่างนี้คือ ที่ประตูทั้ง ๔ ด้าน มี ๔๐๐,๐๐๐ ที่ สภา ๑๐๐,๐๐๐ ที่
สภาวะเหล่านั้น ท่านแสดงว่า เป็นความเจริญ.
วา ศัพท์ ในบทว่า อคฺคิโต วา เป็นต้น เป็นสมุจจยัตถะ. อธิบาย
ว่า จักพินาศไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ และด้วยการแตกมิตรสัมพันธ์. ก็เมือง
ปาฏลิคามนั้น ส่วนหนึ่ง จักพินาศไปด้วยไฟ แม้พวกคนก็ไม่สามารถ
จะดับไฟได้. ส่วนหนึ่ง แม่น้ำคงคาพัดพาไป. ส่วนหนึ่ง จักพินาศไป
โดยการแตกแยกแห่งกันและกันของพวกมนุษย์ ผู้พูดถึงเรื่องที่คนนี้ไม่ได้
กล่าวแก่คนโน้น (และ) พูดถึงเรื่องที่คนโน้นไม่ได้กล่าวแก่คนนี้ แตก
แยกกันไป ด้วยปิสุณวาจา วาจาส่อเสียด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ
คงคา ชำระพระพักตร์เสร็จแล้ว ประทับนั่งรอเวลาภิกขาจาร. ฝ่าย
สุนีธพราหมณ์ และวัสสการพราหมณ์ พากันคิดว่า พระราชาของพวก
เรา เป็นอุปัฏฐากของพระสมณโคดม พระองค์ตรัสถามพวกเราผู้เข้าไป

777
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 778 (เล่ม 44)

เฝ้าว่า ได้ยินว่า พระศาสดา ได้เสด็จไปยังปาฏลิคาม พวกท่าน เข้าไป
เฝ้าพระองค์หรือยัง หรือว่ายังไม่เข้าไปเฝ้า เมื่อพวกเราตอบว่า ได้เข้า
ไปเฝ้าแล้ว ก็จักตรัสถามว่า พวกท่านนิมนต์หรือไม่ได้นิมนต์ และเมื่อ
พวกเราตอบว่า ไม่ได้นิมนต์ ดังนี้ ก็จักยกโทษข่มพวกเรา ถึงแม้พวก
เราจะสร้างพระนครนี้ ในสถานที่ที่ไม่เคยสร้างก็จริง ถึงกระนั้นพวกสัตว์
กาลกรณี ก็จะอพยพไปในที่ที่พระสมณโคดมเสด็จไปถึงแล้ว ๆ พวก
เราจักให้พระสมณโคดมนั้น ตรัสความเป็นมงคลแก่พระนคร ดังนี้ จึง
พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ทูลนิมนต์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อถ โข สุนีธวสฺสการา ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ แปลว่า ในเวลาเช้า. บทว่า นิวาเสตฺวา
ได้แก่ ทรงครองผ้าโดยทำนองเสด็จเข้าบ้าน แล้วคาดประคดเอว. บทว่า
ปตฺตจีวรมาทาย ได้แก่ ทรงห่มจีวรพระหัตถ์ถือบาตร.
บทว่า สีลวนฺเตตฺถ ได้แก่ เชิญผู้มีศีลให้บริโภคในประเทศนั้น
คือในที่อยู่ของตน. บทว่า สญฺญเต ได้แก่ สำรวมด้วยกาย วาจา และ
จิต. บทว่า ตาสํ ทกฺขิณมาทิเส ความว่า พึงอุทิศปัจจัย ๔ ที่ถวายแก่
สงฆ์ คือ พึงให้ส่วนบุญแก่เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือนเหล่านั้น. บทว่า ปูชิตา
ปูชยนฺติ ความว่า กระทำอารักขาให้เป็นอันจัดแจงด้วยดี คือ กระทำการ
รักษาด้วยดี ด้วยคิดว่ามนุษย์เหล่านี้ไม่ได้เป็นญาติของพวกเรา แม้อย่าง
นั้น ก็ยังให้ส่วนบุญแก่พวกเรา. บทว่า มานิตา มานยนฺติ ความว่า
เทวดาผู้อันเขานับถือด้วยการทำพลีกรรมตามกาลอันควร ย่อมนับถือ คือ
ย่อมขจัดอันตรายที่เกิดขึ้น ด้วยคิดว่ามนุษย์เหล่านี้ แม้ไม่เป็นญาติของ
พวกเรา ถึงอย่างนั้น ก็ยังทำพลีกรรมแก่พวกเรา เป็นระยะเวลาถึง ๔

778
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 779 (เล่ม 44)

เดือน ๕ เดือน และ ๖ เดือน. บทว่า ตโต นํ ความว่า แต่นั้น ย่อม
อนุเคราะห์บุรุษผู้มีชาติเป็นบัณฑิตนั้น. บทว่า โอรสํ ได้แก่ ให้เติบโต
ไว้ที่อก เหมือนมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เถิดแต่อก. อธิบายว่า ย่อม
อนุเคราะห์ โดยพยายามเพื่อกำจัดอันตรายที่เกิดขึ้นนั่นแหละ. บทว่า
ภทฺรานิ ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นว่าเป็นดี.
บทว่า อนุโมทิตฺวา ความว่า ทรงแสดงธรรมกถาแก่มหาอำมาตย์
ชื่อสุนีธะและวัสสการะ โดยอนุโมทนาส่วนบุญที่พวกเขาพากันขวนขวาย
ในกาลนั้น. ฝ่ายมหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสะการะได้ฟังพระดำรัสของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ควรอุทิศทักษิณาแก่เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในที่นั้น ๆ
จึงได้ให้ส่วนบุญแก่เทวดาเหล่านั้น.
บทว่า ตํ โคตมทฺวารํ นาม อโหสิ ความว่า ประตุของพระนคร
นั้น อันได้นามว่า โคตมทวาร เพราะเป็นเหตุเสด็จออกของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า อนึ่ง ไม่ได้ชื่อว่าโคตมติฏฐะ เพราะไม่ได้หยั่งลงสู่ท่า เพื่อ
ข้ามแม่น้ำคงคา.
บทว่า ปูรา แปลว่า เต็ม. บทว่า สมติตฺติกา ได้แก่ เต็ม คือ
เปี่ยมด้วยน้ำ เสมอตลิ่ง. บทว่า กากเปยฺยา ได้แก่ มีน้ำที่กาซึ่งจับอยู่
ที่ฝั่ง สามารถจะดื่มได้. ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงเฉพาะที่เต็มเปี่ยม
ทั้งสองฝั่ง. บทว่า อุฬุมฺปํ ได้แก่ พ่วงที่เขาเอาไม้ขนานแล้วตอกลิ่ม
ทำไว้ เพื่อข้ามฝั่ง. บทว่า กุลฺลํ ได้แก่ แพที่เขาเอาเถาวัลย์ผูกไม้ไผ่
และไม้อ้อทำไว้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ถึงความที่มหาชน ไม่สามารถจะข้าม แม้แต่น้ำในแม่น้ำคงคา

779
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 780 (เล่ม 44)

เท่านั้น แต่พระองค์และภิกษุสงฆ์ ข้ามห้วงน้ำคือสงสาร ทั้งลึกทั้งกว้าง
ยิ่งนักได้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อณฺณวํ นี้ เป็นชื่อของน้ำ ที่ลึกและ
กว้างประมาณ ๑ โยชน์ โดยกำหนดอย่างต่ำ. บทว่า สรํ ท่านประสงค์
ถึงน้ำในที่นี้ เพราะไหลไป. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า เหล่าชนผู้ข้าม
ห้วงน้ำคือสงสาร และแม่น้ำคือตัณหาทั้งลึกทั้งกว้าง สร้างสะพานคือ
อริยมรรค ไม่แตะต้อง คือไม่จับต้อง เปือกตม คือที่ลุ่มอันเต็มเปี่ยม
ด้วยน้ำ ฝ่ายชนนี้ประสงค์จะข้ามน้ำ มีประมาณน้อยนี้ จึงผูกแพ คือถึง
ความยากยิ่งเพื่อจะผูกแพ. บทว่า ติณฺณา เมธาวิโน ชนา ความว่า
พระพุทธเจ้า และพุทธสาวก ชื่อว่าผู้มีเมธา เพราะประกอบด้วยเมธา
กล่าวคืออริยมรรคญาณ ถึงจะเว้นแพเสีย ก็ข้ามได้คือดำรงอยู่ที่ฝั่งโน้นแล.
จบอรรถกถาปาฏลิคามิยสูตรที่ ๖
๗. ทวิธาปถสูตร
ว่าด้วยการชี้ไปคนละทาง
[๑๗๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลไปในโกศลชนบท
มีท่านพระนาคสมาละเป็นปัจฉาสมณะ ท่านพระนาคสมาละได้เห็นทาง ๒
แพร่งในระหว่างทาง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิดพระเจ้าข้า เมื่อท่าน
พระนาคสมาละกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่าน
พระนาคสมาละว่า ดูก่อนนาคสมาละ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิด แม้ครั้งที่

780