No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 761 (เล่ม 44)

หนึ่ง ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระประสงค์เสียงที่เบา
ดังนี้แล้ว ถือไฟชนวนเอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
บทว่า อถโข ภควา (ปุพฺพณฺหสมยํ) นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย
สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า
เมื่อพวกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น กราบทูลกาลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า สำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้เถิด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงจัดแจงผ้าที่ย้อมแล้ว ๒ ชั้น มีสีดังดอกทองหลางแดงอัน
ชุ่มด้วยน้ำครั่ง นุ่งปกปิดมณฑล ๓ เหมือนเอากรรไกรตัดดอกปทุม ทรง
คาดประคดเอว อันงดงามดุจสายฟ้า เหมือนเอาสังวาลทองคำล้อมกำ
ดอกปทุม ทรงห่มผ้าบังสุกุลจีวรอันบวรที่ย้อมดีแล้ว มีสีเสมอด้วยต้นไทร
พระองค์ทรงถือเอา ทำภูเขาจักรวาล สิเนรุ ยุคันธร และมหาปฐพีทั้งสิ้น
ให้หวั่นไหว เหมือนเอาผ้ากัมพลแดงห่อหุ้มตะพองช้าง เหมือนซัดตาข่าย
แก้วประพาฬที่ลิ่มทองคำ สูงประมาณ ๑๐๐ ศอก เหมือนสวมเสื้อกัมพล
แดงที่สุวรรณเจดีย์ใหญ่ เหมือนเมฆแดงปกปิดพระจันทร์ในวันเพ็ญ ซึ่ง
กำลังโคจร เหมือนลาดน้ำครั่งที่สุกดี บนยอดภูเขาทอง และเหมือนเอา
ตาข่าย สายฟ้า แวดวง ยอดเขาจิตกูฏ เสด็จออกจากมณฑปทองคำที่
พระองค์ประทับนั่ง เหมือนพระจันทร์เพ็ญ และเหมือนพระสุริโยทัย
ทอแสงอ่อน ๆ จากยอดเขา โดยรอบ เหมือนไกรสรราชสีห์ออกจากพงป่า.
ลำดับนั้นแล รัศมีซ่านออกจากพระวรกายของพระองค์ เหมือน
กลุ่มสายฟ้า แลบออกจากหน้าเมฆ แล้วจับรอบต้นไม้ เหมือนสายน้ำ
ทองคำจับที่ใบ ดอก ผล กิ่ง และค่าคบ ซึ่งเหลืองไปด้วยการราดรด.
ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถือบาตรและจีวรของตนๆ พากัน

761
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 762 (เล่ม 44)

แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็ภิกษุเหล่านั้น ผู้ยืนแวดล้อมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอยู่ ได้เป็นผู้เช่นนั้นคือ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลี
ด้วยหมู่ ผู้ปรารภความเพียร ผู้กล่าวสอน ผู้อดทนต่อถ้อยคำ ผู้กล่าว
ตักเตือน ผู้มักตำหนิความชั่ว สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
และสมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า อันภิกษุเหล่านั้น
แวดล้อมแล้วไพโรจน์ เหมือนแท่งทองคำ ที่แวดวงด้วยผ้ากัมพลแดง
เหมือนพระจันทร์เพ็ญ แวดล้อมไปด้วยหมู่ดาว เหมือนนาวาทองคำ อยู่
ในป่าดอกปทุมแดง และเหมือนปราสาททองคำ ที่แวดล้อมไปด้วยไพที
แก้วประพาฬ.
ฝ่ายพระมหาเถระ มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ผู้มีราคะอันคาย
แล้ว ผู้ทำลายกิเลสแล้ว สางกิเลสดุจรกชัฏ ตัดกิเลสเครื่องผูกได้แล้ว
ไม่ข้องอยู่ในตระกูลหรือคณะ ห่มบังสุกุลจีวรมีสีดังสีเมฆ พากันแวดล้อม
เหมือนพญาช้างหุ้มเกราะแก้วมณีฉะนั้น. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์เองเป็นผู้ปราศจากราคะ อันผู้ปราศจากราคะแวดล้อม เป็นผู้
ปราศจากโทสะ อันผู้ปราศจากโทสะแวดล้อม เป็นผู้ปราศจากโมหะ อัน
ผู้ปราศจากโมหะแวดล้อม เป็นผู้ปราศจากตัณหา อันผู้ปราศจากตัณหา
แวดล้อม เป็นผู้ปราศจากกิเลส อันผู้ปราศจากกิเลสแวดล้อม พระองค์
เองเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว อันผู้ตรัสรู้ตามแวดล้อม เหมือนเกสรแวดล้อมด้วย
กลับ เหมือนช่อดอกไม้แวดล้อมด้วยเกสร เหมือนพญาช้างฉัททันต์ แวด
ล้อมด้วยช้าง ๘,๐๐๐ ตัว เชือก เหมือนพญาหงส์ธตรฐ แวดล้อมด้วยหงส์
๙๐,๐๐๐ ตัว เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ แวดล้อมด้วยองค์แห่งเสนา เหมือน
ท้าวสักกเทวราช แวดล้อมด้วยเทวดา เหมือนหาริตมหาพรหม แวด

762
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 763 (เล่ม 44)

ล้อมด้วยหมู่พรหม เหมือนพระจันทร์เพ็ญ แวดล้อมด้วยหมู่ดาว ทรง
ดำเนินไปตามทาง อันเป็นที่ไปยังปาฏลิคาม ด้วยเพศแห่งพระพุทธเจ้า
อันหาผู้เปรียบมิได้ ด้วยพุทธวิลาส อันหาประมาณมิได้.
ลำดับนั้น พระพุทธรัศมีทึบ มีวรรณะเพียงดังทองคำ พุ่งออก
จากพระวรกายเบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้จรดที่ประมาณ
๘๐ ศอก อนึ่ง พระพุทธมีรัศมีทึบ มีวรรณะเพียงดังทองคำ พุ่งออก
จากพระวรกายเบื้องหลัง จากพระปรัศว์เบื้องขวา จากพระปรัศว์เบื้อง
ซ้าย จรดที่ประมาณ ๘๐ ศอก. พระพุทธรัศมีทึบสีคราม เหมือนสีที่
ส่องออกจากคอนกยูง พุ่งออกจากมวยผมทั้งหมด ตั้งแต่ที่สุดปลายผม
ข้างบน จรดที่ประมาณ ๘๐ ศอก บนท้องฟ้า. รัศมีมีวรรณะดังแก้ว
ประพาฬ พุ่งออกจากพระยุคลบาทเบื้องต่ำ จรดที่ประมาณ ๘๐ ศอก
ในแผ่นดินทึบ. พระพุทธรัศมีทึบสีขาว พุ่งออกจากพระทนต์ จากที่
ดวงตาขาว จากที่เล็บที่พ้นจากหนังและเนื้อ จรดที่ประมาณ ๘๐ ศอก.
พระรัศมี มีสีหงสบาท พุ่งออกจากที่สีแดงและสีเหลืองคละกัน จรดที่
ประมาณ ๘๐ ศอก. พระรัศมีเลื่อมปภัสสร พุ่งขึ้นมีประโยชน์ดีกว่าเขา
หมดแล. พระพุทธรัศมีมีวรรณะ ๖ ประการ ทำสถานที่ประมาณ ๘๐
ศอก โดนรอบอย่างนี้ ให้โชติช่วง แผ่ฉวัดเฉวียงไป แล่นไปสู่ทิศน้อย
ใหญ่ เหมือนเปลวประทีปดวงใหญ่ แลบออกจากไฟชนวนทองค่ำ แล่น
ขึ้นสู่กลางหาว และเหมือนสายฟ้าที่แลบออกจากมหาเมฆในทวีปทั้ง ๔.
อันเป็นเหตุให้ส่วนทิศทั้งหมดรุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือนโปรยปรายด้วย
ดอกจำปาทองคำ เหมือนเอาสายน้ำทองคำ เทออกจากหม้อทองคำ
เหมือนแวดวงด้วยแผ่นทองคำที่แผ่ออกไป เหมือนเกลื่อนกล่นฟุ้งด้วยจุณ

763
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 764 (เล่ม 44)

แห่งดอกทองกวาว ดอกกรรณิกา และดอกทองหลาง ที่ฟุ้งขึ้นด้วยลม
หัวด้วน และเหมือนย้อมด้วยผงชาด. จริงอยู่ พระโฉมของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า อันรุ่งเรืองแวดล้อมด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และพระรัศมีด้านละ
วา ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อันปราศจากเครื่อง
หม่นหมอง มีไฝฝ้า และขี้แมลงวัน เป็นต้น รุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือน
ท้องฟ้าสว่างด้วยหมู่ดาวที่สุกปลั่ง เหมือนป่าปทุมที่แย้มบานเต็มที่
เหมือนต้นปาริฉัตตกะ (ต้นแคฝอย) สูง ๑๐๐ โยชน์ ผลิบานเต็มที่ เหมือน
ครอบงำสิริกับสิริของพระจันทร์ ๓๒ ดวง ของพระอาทิตย์ ๓๒ ดวง
ของพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๒ ของพระเทวราช ๓๒ ของมหาพรหม ๓๒
ตั้งเรียงกันตามลำดับ ที่ประดับด้วยความเป็นผู้มีพระบารมี ๓๐ ถ้วน ที่
ทรงบำเพ็ญมาโดยชอบ คือ พระบารมี ๑๐ พระอุปบารมี ๑๐ และพระ-
ปรมัตถบารมี ๑๐ เกิดขึ้นด้วยการบำเพ็ญทาน ด้วยการรักษาศีล ด้วย
การบำเพ็ญกัลยาณธรรมสิ้น ๔ อสงไขย กำไรแสนกัลป์ รวมลงใน
อัตภาพหนึ่ง เมื่อไม่ได้โอกาสที่จะให้ผล เป็นเหมือนถึงความคับแคบ
เป็นเหมือนเวลายกสิ่งของในเรือ ๑,๐๐๐ ลำ บรรทุกลงเรือลำเดียว เหมือน
เวลายกสิ่งของในเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม บรรทุกลงเกวียนเล่มเดียว และเป็น
เหมือนเวลาที่แม่น้ำคงคา ๒๕ สาย แยกออกจากกันแล้วรวมเป็นสายเดียว
กันที่ปากน้ำ.
ไฟชนวนหลายพันดวงโผล่ขึ้นเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค-
เจ้านี้ ผู้สว่างไสวอยู่ด้วยพุทธรังสีนี้ ทั้งเบื้องพระปฤษฎางค์ พระปรัศว์
ซ้าย พระปรัศว์เบื้องขวาก็เหมือนกัน. ดอกมะลิ ดอกจำปา ดอกมะลิ-
ซ้อน อุบลแดง อุบลเขียว ดอกพิกุล และดอกไม้ย่างทราย เป็นต้น

764
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 765 (เล่ม 44)

และจุรณะเครื่องหอมมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้นเรียงราย ดุจเมล็ดฝนที่
ปราศจากมหาเมฆทั้ง ๔ ทิศ. เสียงกึกก้องแห่งดนตรีมีองค์ ๕ และเสียง
กึกก้องสดุดีที่เกี่ยวด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ได้เป็นเสมือน
มีปากพูดเต็มไปทั่วทุกทิศ. ดวงตาของเทพ สุบรรณ นาค ยักษ์ คนธรรพ์
และมนุษย์ ได้เป็นเสมือนได้ดื่มน้ำอมฤต. ก็ในที่นี้ ควรจะกล่าวสรรเสริญ
การเสด็จไป โดยเป็นพัน ๆ บท. แต่ในที่นี้ มีเพียงมุขปาฐะดังต่อไปนี้
พระผู้นำโลกไปให้วิเศษ ผู้สมบูรณ์ด้วยสรรพางค์
กายอย่างนี้ ผู้ทำแผ่นดินให้หวั่นไหว ผู้ไม่เบียดเบียน
เหล่าสัตว์ เสด็จดำเนินไปอยู่. พระผู้องอาจใน
หมู่ชน ทรงยกพระบาทขวาขึ้นก่อน ผู้เพียบพร้อม
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
เสด็จดำเนินไป อ่อนนุ่มลูกพื้นดินอันสม่ำเสมอ นี้
แปดเปื้อนด้วยธุลี. เมื่อพระโลกนายเสด็จดำเนินไป
สถานที่ลุ่ม ย่อมนูนขึ้น สถานที่นูนขึ้นก็สม่ำเสมอ
ทั้งที่แผ่นดินไม่มีจิตใจ. เมื่อพระผู้นำโลกเสด็จ
ดำเนินไป มรรคาทั้งหมดปราศจากหิน ก้อนกรวด
กระเบื้องถ้วย หลักตอและหนาม. ไม่ยกพระบาท
ในที่ไกลเกินไป ไม่ซอยพระบาทในที่ใกล้เกินไป ไม่
หนีบพระชาณุและข้อพระบาททั้ง ๒ เบียดเสียดกัน
เสด็จดำเนินไป. พระมุนีผู้มีการดำเนินเพียบพร้อม
มีพระทัยตั้งมั่น เมื่อเสด็จไปก็ไม่เสด็จเร็วเกินไป ทั้ง

765
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 766 (เล่ม 44)

ไม่เสด็จช้าเกินไป. พระองค์เสด็จไปไม่ได้ทอด
พระเนตรดูเบื้องบนเบื้องล่าง เบื้องขวาง ทศน้อย
ทิศใหญ่ก็เหมือนกัน ทรงทอดพระเนตรเพียงชั่วแอก.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสด็จเยื้องกรายดุจพญาช้าง
ย่อมงดงามในการเสด็จดำเนินไป พระองค์เป็นผู้เลิศ
ของโลก เสด็จดำเนินไปงดงาม ทำโลกพร้อมทั้ง
เทวโลกให้ร่าเริง. พระองค์งดงามดุจพญาอุสภะ
ดุจไกรสรราชสีห์ มีการเดินอย่างงดงาม ทรงยัง
เหล่าสัตว์เป็นอันมากให้ยินดี เสด็จเข้าถึงบ้านอัน
ประเสริฐ.
นี้ชื่อว่าเป็นเวลาสรรเสริญ กำลังของพระธรรมกถึกเท่านั้น เป็น
ประมาณในการสรรเสริญพระโฉม และสรรเสริญพระคุณของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ในกาลทั้งหลายเช่นอย่างนี้. ด้วยจุรณียบทที่ผูกเป็นคาถา
ควรจะกล่าวเท่าที่สามารถ ไม่ควรจะกล่าวว่า กล่าวได้ยาก หรือว่าแล่น
ไปผิดท่า. จริงอยู่ ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ย่อมไม่สามารถกล่าวคุณ
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีพระคุณหาปริมาณมิได้โดยสิ้นเชิง เพราะ
เมื่อสรรเสริญพระคุณอยู่ตลอดกัป ก็ไม่สามารถจะให้พระคุณสิ้นสุดลงได้
จะป่วยกล่าวไปไยถึงหมู่สัตว์นอกนี้เล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตบแต่งประดับด้วยพระสิริวิลาสนี้ เสด็จ
เข้าไปยังปาฏลิคาม อันชนผู้มีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยสักการะ มีดอกไม้ ของ
หอม ธูป และจุณสำหรับอบเป็นต้น เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคาร. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองผ้า

766
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 767 (เล่ม 44)

ถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคารดังนี้.
บทว่า ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ความว่า แม้ถ้าเปือกตมคือธุลี ไม่
เปื้อนพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหวังความเจริญยิ่งแห่งกุศล ของอุบาสกและอุบาสิกาเหล่านั้น จึงทรง
ให้ล้างพระบาท เพื่อให้ชนเหล่าอื่นถือเอาเป็นตัวอย่าง. อีกอย่างหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่า พระสรีระอันมีใจครอง ก็ต้องทำให้เย็น เพราะฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงกระทำการสรงสนาน และทรงล้างพระบาทเป็นต้น
แม้เพื่อประโยชน์นี้ทีเดียว.
บทว่า ภควนฺตญฺเญว ปุรกฺขตฺวา ได้แก่ กระทำพระผู้มีพระภาค-
เจ้าไว้เบื้องหน้า. ในข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งในท่าม-
กลางของภิกษุทั้งหลาย และของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทรงให้สรง
สนานด้วยน้ำหอมแล้ว ทำให้น้ำแห้งไปด้วยเสวียนผ้าแล้ว ทำให้แห้งด้วย
ชาดหิงดุ ย่อมไพโรจน์ยิ่งนัก เหมือนรูปเปรียบที่ทำด้วยแท่งทองสีแดง
ซึ่งประดิษฐานไว้บนตั่ง อันแวดวงด้วยผ้ากัมพลแดง.
ก็ในข้อนี้ เป็นบทประพันธ์ที่ท่านโบราณบัณฑิตประพันธ์ไว้ดัง
ต่อไปนี้
พระโลกนาถเจ้า ผู้เป็นเลิศของชาวโลก ผู้เสด็จ
ไปดุจพญาช้างเยื้องกราย เสด็จไปยังโรงกลมให้
สว่างไสว ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์.
พระองค์เป็นดุจนายสารถี ผู้ฝึกนรชน เป็นเทพ
ยิ่งกว่าเทพ ผู้มีบุญลักษณะกำหนดด้วยร้อย ประทับ

767
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 768 (เล่ม 44)

นั่งบนบวรพุทธอาสน์นั้น ไพโรจน์อยู่ในท่ามกลาง
พุทธอาสน์ เหมือนแท่งทองคำงดงามอยู่ในผ้ากัมพล
สีเหลืองฉะนั้น. พระองค์ผู้ปราศจากมลทินย่อมไพ-
โรจน์ เหมือนแท่งทองชมพูนุท ที่เขาวางไว้บนผ้า
กัมพลเหลือง เหมือนแก้วมณีงดงามฉะนั้น ทรง
ไพโรจน์งามสะพรั่งกว่าสิ่งทั้งปวง เหมือนต้นสาละ
ใหญ่ มีดอกบานสะพรั่ง อันประดับด้วยพระยาไม้
คล้ายปราสาททองคำเหมือนดอกปทุมโกกนุท เหมือน
ต้นไม้ที่ประดับด้วยประทีปโพลงอยู่ เหมือนไฟบน
ยอดเขา เหมือนต้นปาริฉัตรของเทวดาฉะนั้น.
บทว่า ปาฏลิคามิเก อุปาสเก อามนฺเตสิ ความว่า เพราะเหตุที่ใน
อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้น คนเป็นอันมากตั้งอยู่ในศีล ฉะนั้นเพื่อจะประกาศ
โทษแห่งศีลวิบัติ เป็นอันดับแรกก่อนแล้ว ภายหลังจึงแสดงอานิสงส์แห่ง
ศีลสมบัติ จึงตรัสเรียกมาเพื่อแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า ปญฺจิเม
คหปตโย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไร้ศีล. บทว่า
สีลวิปนฺโน ได้แก่ ผู้มีศีลวิบัติ คือผู้ทำลายสังวร. ก็ในบทเหล่านี้
ด้วยบทว่า ทุสฺสีโล ตรัสถึงบุคคลผู้ไม่มีศีล. ก็บุคคลผู้ไม่มีศีลนั้น
มี ๒ อย่าง คือ เพราะไม่สมาทาน หรือทำลายศีลที่สมาทานแล้ว. ใน
๒ อย่างนั้น ข้อต้นไม่มีโทษ เหมือนอย่างข้อที่ ๒ ที่มีโทษแรงกว่า.
เพื่อจะแสดงความไม่มีศีล ซึ่งมีโทษตามที่ประสงค์เป็นเหตุ ด้วยเทศนา
เป็นบุคลาธิษฐาน จึงตรัสคำว่า สีลวิปนฺโน ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น พระองค์

768
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 769 (เล่ม 44)

จึงทรงแสดงอรรถแห่งบทว่า ทุสฺสีโล ดังนี้. บทว่า ปมาทาธิกรณํ
แปลว่า มีความประมาทเป็นเหตุ.
ก็สูตรนี้มาแล้ว ด้วยอำนาจคฤหัสถ์ทั้งหลาย แต่ถึงบรรพชิตก็ใช้ได้
เหมือนกัน. จริงอยู่ คฤหัสถ์เลี้ยงชีพด้วยความหมั่นต่อการศึกษาได้
จะเป็นกสิกรรมก็ดี พาณิชยกรรมก็ดี โครักขกรรมก็ดี เป็นผู้ประมาท
ด้วยปาณาติปาตเป็นต้น ไม่สามารถจะยังความหมั่นในศิลปะนั้น ให้สำเร็จ
ได้ตามกาลอันสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้การงานของเขาก็จักพินาศไป แต่
เมื่อเขาทำปาณาติปาตเป็นต้น ในเวลาที่เขาอาฆาต ย่อมถึงความเสื่อม
จากโภคะใหญ่ ด้วยอำนาจอาชญา. บรรพชิตผู้ทุศีล ย่อมถึงความเสื่อม
จากศีล จากพระพุทธพจน์ จากฌาน และจากอริยธรรม ๗ ประการ
เพราะความประมาทเป็นเหตุ. บทว่า ปาปโก กิตฺติสทฺโท ความว่า กิตติ-
ศัพท์อันลามกของคฤหัสถ์ ย่อมฟุ้งขจรไปในท่ามกลางบริษัท ๔ ว่า
คฤหัสถ์ชื่อโน้น เกิดในสกุลชื่อโน้น เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก
เป็นผู้สละเสียทั้งโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่ให้ทาน แม้วัตถุเพียงสลาก-
ภัต. กิตติศัพท์อันลามกของบรรพชิต ย่อมฟุ้งขจรไปอย่างนี้ว่า บรรพ-
ชิตชื่อโน้น บวชในพระศาสนาของพระศาสดา ไม่อาจเพื่อจะรักษาศีล
ไม่อาจเพื่อจะเรียนพระพุทธพจน์ เป็นผู้ประกอบด้วยอคารวะ ๖ ประการ
เลี้ยงชีพด้วยอเนสนากรรม มีเวชกรรมเป็นต้น. บทว่า อวิสารโท ความว่า
อันดับแรก คฤหัสถ์ผู้มีภัตหลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าไปในที่ชุมนุมชนเป็นอันมาก
ด้วยคิดว่า ใคร ๆ จักรู้ความชั่วของเรา จักนินทา จักข่มเรา หรือจัก
ชี้แจงแก่ราชสกุล เป็นผู้เก้อเขิน คอตก นั่งก้มหน้า เป็นผู้ไม่กล้า
พูด. ฝ่ายบรรพชิต ผู้มีภัย หลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าไปในเมื่อภิกษุเป็น

769
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 770 (เล่ม 44)

อันมากประชุมกัน ด้วยคิดว่าบรรพชิตรูปหนึ่ง จักรู้ความชั่วของเราเป็น
แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลาย จักเว้นอุโบสถกรรมก็ดี ปวารณา
กรรมก็ดีของเรา จักฉุดคร่าเราให้ออกจากความเป็นสมณะเสีย ย่อมเป็น
ผู้ไม่แกล้วกล้าสามารถจะกล่าวได้. แต่บางคนถึงเป็นคนทุศีล ก็ย่อม
ประพฤติเหมือนผู้มีศีล. แม้คนทุศีลนั้น ก็ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ด้วยอัธยาศัย
เหมือนกัน.
บทว่า สมฺมุฬฺโห กาลํ กโรติ ความว่า จริงอยู่ เมื่อบุคคลผู้ทุศีล
นอนอยู่บนเตียงเป็นที่ตาย ฐานะที่ตนสมาทานกรรม คือความเป็นผู้ทุศีล
ย่อมมาปรากฏ เขาลืมตาเห็นโลกนี้ หลับตาเห็นโลกหน้า อบาย ๔ ย่อม
ปรากฏแก่เขาตามสมควรแก่กรรม ย่อมเป็นเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยหอก
๑๐๐ เล่ม และเหมือนถูกลวกด้วยเปลวไฟ เขาพลางร้องครวญครางว่า ขอ
เถอะ ขอทีเถอะ ดังนี้ จนตาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า หลงทำกาละ
ดังนี้เป็นต้น. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ เพราะสละอุปาทินนกขันธ์.
บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ หมายเอาขันธ์ที่จะพึงเกิดในภพอันเป็นลำดับ
แห่งอุปาทินนกขันธ์นั้น. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่
เพราะชีวิตินทรีย์ขาดไป. บทว่า ปรมฺมรณา ได้เเก่ เบื้องหน้าแต่จุติ.
บทว่า อปายํ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนรกทั้งหมด. จริงอยู่ นรกชื่อว่า
อบาย เพราะปราศจากความเจริญ กล่าวคือบุญ อันเป็นเหตุแห่งสวรรค์
และพระนิพพาน และเพราะไม่มีความเจริญ หรือการมาของความสุข.
ชื้อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็นที่ไป คือ เป็นที่พำนักอาศัยแห่งทุกข์.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็นที่ไป อันเกิดด้วยกรรมชั่ว
เหตุมากไปด้วยโทสะ ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่ปราศจากอำนาจตกไป

770