หนึ่ง ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระประสงค์เสียงที่เบา
ดังนี้แล้ว ถือไฟชนวนเอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
บทว่า อถโข ภควา (ปุพฺพณฺหสมยํ) นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย
สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า
เมื่อพวกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น กราบทูลกาลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า สำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้เถิด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงจัดแจงผ้าที่ย้อมแล้ว ๒ ชั้น มีสีดังดอกทองหลางแดงอัน
ชุ่มด้วยน้ำครั่ง นุ่งปกปิดมณฑล ๓ เหมือนเอากรรไกรตัดดอกปทุม ทรง
คาดประคดเอว อันงดงามดุจสายฟ้า เหมือนเอาสังวาลทองคำล้อมกำ
ดอกปทุม ทรงห่มผ้าบังสุกุลจีวรอันบวรที่ย้อมดีแล้ว มีสีเสมอด้วยต้นไทร
พระองค์ทรงถือเอา ทำภูเขาจักรวาล สิเนรุ ยุคันธร และมหาปฐพีทั้งสิ้น
ให้หวั่นไหว เหมือนเอาผ้ากัมพลแดงห่อหุ้มตะพองช้าง เหมือนซัดตาข่าย
แก้วประพาฬที่ลิ่มทองคำ สูงประมาณ ๑๐๐ ศอก เหมือนสวมเสื้อกัมพล
แดงที่สุวรรณเจดีย์ใหญ่ เหมือนเมฆแดงปกปิดพระจันทร์ในวันเพ็ญ ซึ่ง
กำลังโคจร เหมือนลาดน้ำครั่งที่สุกดี บนยอดภูเขาทอง และเหมือนเอา
ตาข่าย สายฟ้า แวดวง ยอดเขาจิตกูฏ เสด็จออกจากมณฑปทองคำที่
พระองค์ประทับนั่ง เหมือนพระจันทร์เพ็ญ และเหมือนพระสุริโยทัย
ทอแสงอ่อน ๆ จากยอดเขา โดยรอบ เหมือนไกรสรราชสีห์ออกจากพงป่า.
ลำดับนั้นแล รัศมีซ่านออกจากพระวรกายของพระองค์ เหมือน
กลุ่มสายฟ้า แลบออกจากหน้าเมฆ แล้วจับรอบต้นไม้ เหมือนสายน้ำ
ทองคำจับที่ใบ ดอก ผล กิ่ง และค่าคบ ซึ่งเหลืองไปด้วยการราดรด.
ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถือบาตรและจีวรของตนๆ พากัน