No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 751 (เล่ม 44)

อีกประการหนึ่ง กิตติศัพท์อันลามกของบุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ ขจร
ไปแล้ว นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีลประการที่ ๒.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติเข้าไปหาบริษัทใด คือขัตติย-
บริษัทก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี คหบดีบริษัทก็ดี สมณบริษัทก็ดี ย่อมไม่
แกล้วกล้า เก้อเขินเข้าไปหา นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีล
ประการที่ ๓.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ ย่อมเป็นผู้หลงใหลกระทำ
กาละ นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีลประการที่ ๔.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีลประการ
ที่ ๕.
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีล ๕ ประ-
การนี้แล.
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีล ๕
ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือบุคคลผู้มีศีลผู้ถึงพร้อมด้วยศีลในโลก
นี้ ย่อมได้กองแห่งโภคะใหญ่เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็น
อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๑.
อีกประการหนึ่ง กิตติศัพท์อันงามของบุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อม
ด้วยศีล ย่อมขจรไป นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการ
ที่ ๒.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เข้าไปหาบริษัทใด คือ
ขัตติยบริษัทก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี คหบดีบริษัทก็ดี สมณบริษัทก็ดี

751
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 752 (เล่ม 44)

ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขินเข้าไปหาบริษัทนั้น นี้เป็นอานิสงส์แห่ง
ศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๓.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นผู้ไม่
หลงใหลกระทำกาละ นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการ
ที่ ๔.
อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๕.
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีล ๕
ประการนี้แล.
[๑๗๑] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้อุบาสกชาว
ปาฏลิคาม ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
สิ้นราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี
ทั้งหลาย ราตรีล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลาย จงสำคัญเวลาอันสมควร ณ
บัดนี้เถิด ลำดับนั้น อุบาสกชาวปาฏลิคามทั้งหลายชื่นชมยินดีภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณแล้วหลีกไป ลำดับนั้น เมื่ออุบาสกชาวปาฏลิคามหลีกไปแล้ว
ไม่นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังสุญญาคาร.
[๑๗๒] ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะใน
แคว้นมคธ จะสร้างเมืองในปาฏลิคามเพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย ก็สมัย
นั้นแล เทวดาเป็นอันมากแบ่งพวกละพัน ย่อมรักษาพื้นที่ในปาฏลิคาม
เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่รักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราชมหาอำมาตย์
ของพระราชาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น

752
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 753 (เล่ม 44)

เทวดาผู้มีศักดิ์ปานกลางรักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราชมหา-
อำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ปานกลาง ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์
ในประเทศนั้น เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำรักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของ
ราชมหาอำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์
ในประเทศนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นเทวดาเหล่านั้นเป็นจำนวน
พันๆ รักษาพื้นที่อยู่ในปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของ
มนุษย์ คือเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่. . . เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำรักษาพื้นที่อยู่ใน
ประเทศใด จิตของราชมหาอำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไป
เพื่อจะสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น ครั้งนั้น เมื่อปัจจุสสมัยแห่งราตรีนั้น
ตั้งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์
ใครหนอจะสร้างเมืองในปาฏลิคาม ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้นมคธ
จะสร้างเมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนอานนท์ มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้น
มคธ จะสร้างเมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย ประหนึ่ง
ว่าปรึกษากับเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้วสร้างเมืองฉะนั้น ดูก่อนอานนท์ เรา
ได้เห็นเทวดาเป็นจำนวนมากแบ่งเป็นพวกละพัน รักษาพื้นที่อยู่ในปาฏลิ-
คาม ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ณ ตำบลนี้ คือเทวดา
ผู้มีศักดิ์ใหญ่. . . เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำรักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของ
ราชมหาอำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์
ในประเทศนั้น ดูก่อนอานนท์ เมืองนี้จักเป็นเมืองเลิศแห่งประชุมของ
เหล่ามนุษย์เป็นอริยะ และเป็นทางค้าขาย เป็นที่แก้ห่อสินค้า อันตราย

753
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 754 (เล่ม 44)

๓ อย่างจักมีแก่เมืองปาฏลิคาม คือจากไฟ ๑ จากน้ำ ๑ จากความแตก
แห่งกันและกัน ๑.
[๑๗๓] ครั้งนั้นแล มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่น-
แคว้นมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดทรงรับภัตของข้าพระองค์
ทั้งหลาย เพื่อเสวยในวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ
ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้นมคธ ทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว เข้าไปยังที่พักของตน ครั้นแล้วสั่ง
ให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีตในที่พักของตน แล้วกราบทูล
ภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว
ภัตเสร็จแล้ว ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรง
ถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังที่พัก ของมหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสส-
การะ ในแว่นแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือ
อาสนะที่เขาปูลาดถวาย ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะใน
แว่นแคว้นมคธ อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนีย-
โภชนียาหารอันประณีต ให้อิ่มหนำสำราญด้วยมือของตน ครั้งนั้นแล
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว
มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้นมคธ ถือเอาอาสนะต่ำ
แห่งหนึ่งนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนา

754
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 755 (เล่ม 44)

กะมหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้นมคธ ผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
บุรุษชาติบัณฑิต ย่อมสำเร็จการอยู่ในประเทศ
ใด พึงเชิญท่านผู้มีศีล สำรวมแล้ว ประพฤติ
พรหมจรรย์ ให้บริโภคในประเทศ นั้น ควรอุทิศ
ทักษิณาทานเพื่อเทวดาผู้สถิตอยู่ในที่นั้น ๆ เทวดา
เหล่านั้นอันบุรุษชาติบัณฑิตนับถือบูชาแล้ว ย่อม
นับถือบูชาบุรุษชาติบัณฑิตนั้น แต่นั้นย่อมอนุเคราะห์
บุรุษชาติบัณฑิตนั้น ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตร
บุคคลผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมเห็นความเจริญ
ทุกเมื่อ.
[๑๗๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงอนุโมทนาแก่มหา-
อำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสการะในแว่นแคว้นมคธด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว
เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสส-
การะในแว่นแคว้นมคธ ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง ๆ ด้วยตั้ง
ใจว่า วันนี้ พระสมณโคดมจักเสด็จออกโดยประตูใด ประตูนั้นจักชื่อว่า
โคดมประตู จักเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาโดยเท่าใด ท่านั้นจักชื่อว่าโคตมติฏฐะ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกประตูใด ประตูนั้นชื่อว่าโคดม-
ประตู พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังแม่น้ำคงคา ก็สมัยนั้นแล แม่น้ำคงคา
เป็นแม่น้ำเต็มเปี่ยมพอกาดื่มกินได้ มนุษย์บางจำพวกแสวงหาเรือ บาง
พวกแสวงหาพ่วง บางพวกผูกแพ ต้องการจะข้ามไปฝั่งโน้น ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่ที่ฝั่ง

755
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 756 (เล่ม 44)

โน้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้หรือพึง
คู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นมนุษย์เหล่านั้น
บางพวกแสวงหาเรือ บางพวกแสวงหาพ่วง บางพวกผูกแพ ต้องการจะ
ข้ามไปฝั่งโน้น.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชนเหล่าใดจะข้ามห้วงน้ำคือสงสาร และสระคือ
ตัณหา ชนเหล่านั้นกระทำสะพานคืออริยมรรค ไม่
แตะต้องเปือกตมคือกามทั้งหลาย จึงข้ามสถานที่ลุ่ม
อันเต็มด้วยน้ำได้ ก็ชนแม้ต้องการจะข้ามน้ำมีประ-
มาณน้อย ก็ต้องผูกแพ ส่วนพระพุทธเจ้า และ
พุทธสาวกทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา เว้นจากแพก็ข้าม
ได้.
จบปาฏลิคามิยสูตรที่ ๖
อรรถกถาปาฏลิคามิยสูตร
ปาฏลิคามิยสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มคเธสุ แปลว่า ในแคว้นมคธ. บทว่า มหตา ความว่า แม้
ในที่นี้ ได้แก่ ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณบ้าง ใหญ่โดยจำนวน
โดยการกำหนดนับไม่ได้บ้าง. บทว่า ปาฏลิคาโม ได้แก่ บ้านตำบลหนึ่ง
ในแคว้นมคธ อันมีชื่ออย่างนี้. ข่าวว่า ในวันสร้างบ้านนั้น หน่อแคฝอย

756
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 757 (เล่ม 44)

๒- หน่อ ในที่จับจองสร้างบ้าน ได้แทรกออกมาจากแผ่นดิน. ด้วยเหตุ
นั้น บ้านนั้นชนทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่า ปาฏลิคาม. บทว่า ตทวสริ
ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไป คือได้เสด็จไปถึงปาฏลิคามนั้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จไปถึงปาฏลิคามในกาลไร. พระองค์
ทรงให้สร้างเจดีย์เพื่อพระธรรมเสนาบดี ในกรุงสาวัตถี โดยนัยที่กล่าว
ไว้แล้วในหนหลัง เสด็จออกจากกรุงสาวัตถีนั้นประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์
จึงให้สร้างเจดีย์เพื่อพระมหาโมคคัลลานะ ในกรุงราชคฤห์นั้น เสด็จออก
จากกรุงราชคฤห์นั้นแล้ว ประทับอยู่ที่อัมพลัฏฐิวัน แล้วเสด็จจาริกไปใน
ชนบท โดยการจาริกไม่รีบด่วน จึงประทับแรมราตรีหนึ่งในที่นั้น ๆ
เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้เสด็จถึงปาฏลิคามโดยลำดับ.
บทว่า ปาฏลิคามิยา ไค้แก่ อุบาสกชาวปาฏลิคาม. ได้ยินว่า
อุบาสกเหล่านั้นบางพวกตั้งอยู่ในสรณะ บางพวกตั้งอยู่ในศีล บางพวก
ตั้งอยู่ทั้งในสรณะ ตั้งอยู่ทั้งในศีล ด้วยการเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ครั้งแรก. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในปาฏลิคาม พวกคนของพระเจ้าอชาตศัตรู และของ
พระเจ้าลิจฉวีทั้งหลายพากันไปตามกาลอันสมควร ไล่เจ้าของบ้านให้ออก
จากบ้าน แล้วอยู่เดือนหนึ่งบ้าง กึ่งเดือนบ้าง. ด้วยเหตุนั้น พวกคน
ชาวปาฏลิคามถูกรุกรานเป็นประจำ จึงคิดว่า ก็ในเวลาที่พวกคนเหล่านี้มา
จักได้มีที่อยู่ ดังนี้แล้ว จึงได้พากันสร้างศาลาหลังใหญ่กลางเมือง อัน
เพียงพอแก่การอยู่ของคนทั้งหมด โดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน คือให้

757
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 758 (เล่ม 44)

มีที่เก็บของของอิสรชนในส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่ส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่
ของคนเดินทางผู้เป็นอาคันตุกะไว้ส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่ของคนกำพร้า
เข็ญใจไว้ส่วนหนึ่ง เป็นที่อยู่ของคนไข้ไว้ส่วนหนึ่ง ดังนี้. ศาลาหลังนั้น
ได้มีชื่อว่า อาวสถาคาร (ที่พักแรม) แล. ก็ในวันนั้น การสร้างศาลา
หลังนั้น ก็ได้สำเร็จลง. ก็ชาวปาฏลิคามเหล่านั้น พากันไปในที่นั้น
ตรวจดูศาลานั้นตั้งแต่ซุ้มประตู ซึ่งสำเร็จเรียบร้อย จัดแจงไว้ด้วยดี ด้วย
งานไม้ งานปูน และงานจิตรกรรม เป็นต้น เหมือนเทพวิมาน แล้วพา
กันคิดว่า อาวสถาคารนี้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ เป็นมิ่งขวัญยิ่งนัก ใครหนอ
จักได้ใช้สอยก่อน จักพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่พวกเราตลอดกาล
นาน. ก็ในขณะนั้นนั่นเอง พวกเขาได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ถึงบ้านนั้น. ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเกิดปีติโสมนัส ทำการตกลงกันว่า
พวกเราควรจะนำพระผู้มีพระภาคเจ้ามาบ้าง ด้วยว่าพระองค์เสด็จถึงที่อยู่
ของพวกเราด้วยพระองค์เองแล้ว วันนี้พวกเรา จักให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในที่นี้ แล้วจักให้พระศาสดาทรงเสวยก่อน ภิกษุสงฆ์ก็เหมือน
กัน เมื่อภิกษุสงฆ์มาถึง พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก ก็จักมาถึงเหมือน
กัน เราจักให้พระศาสดาตรัสมงคล แสดงธรรม ดังนั้น เมื่อรัตนะ ๓
ใช้สอยแล้ว ภายหลังพวกเรา และคนเหล่าอื่นก็จักใช้สอย เมื่อเป็นเช่นนี้
ก็จักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่พวกเรา ตลอดกาลนาน ดังนี้แล้ว จึงเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประโยชน์นั้นนั่นแล. เพราะฉะนั้น พวกเขา
จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จง
ทรงรับอาวสถาคาร ของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด.

758
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 759 (เล่ม 44)

บทว่า เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า อาวสถาคารนั้น
เขาจัดแจงปฏิบัติด้วยดี เหมือนเทพวิมาน เพราะสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี
ในวันนั้นนั่นเองก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่ได้ตบแต่ง ให้ควรแก่
พระพุทธเจ้า พวกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น พากันคิดว่า ธรรมดาพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย มีอัธยาศัยอยู่ป่า มีป่าเป็นที่มายินดี พึงอยู่ภายในบ้าน
ก็ตาม ไม่อยู่ก็ตาม ฉะนั้น พวกเราพอรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พอพระหฤทัย จึงจักตบแต่ง ดังนี้แล้ว จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
บัดนี้ ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพอพระหฤทัย จึงมีความประสงค์
จะตบแต่งเช่นนั้น จึงเข้าไปถึงอาวสถาคาร.
บทว่า สพฺพสนฺถรึ อาวสถาคารํ สนฺถริตฺวา ความว่า ชาวปาฏ-
ลิคามเหล่านั้นลาดอาวสถาคารนั้น อย่างที่ลาดแล้วทั้งหมดนั่นแล ก่อนอื่น
ทั้งหมด จึงเอาโคมัยสดฉาบทาพื้น แม้ที่ฉาบไว้ด้วยปูนขาว ด้วยคิดว่า
ธรรมดาว่าโคมัย ย่อมใช้ได้ในงานมงคลทั้งหมด รู้ว่าแห้งแล้ว จึงไล้ทา
ด้วยของหอมมีชาติ ๔ โดยไม่ปรากฏรอยเท้าในที่ที่เหยียบ ลาดเสื่อลำแพน
ที่มีสีต่างๆ ไว้ข้างบน แล้วลาดผ้าขนสัตว์ผืนใหญ่เป็นต้น ไว้ข้างบนเสื่อ
ลำแพนเหล่านั้นแล้ว ลาดที่ว่างทั้งหมด อันควรจะพึงลาด ด้วยเครื่องลาด
มีสีต่างๆ มีหัตถัตถรณะเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ลาด
อาวสถาคาร ลาดทั้งหมดเป็นต้น.
จริงอยู่ ในท่ามกลางอาสนะทั้งหลาย พวกเขาตบแต่งพุทธอาสน์
มีค่ามาก พิงเสามงคลเป็นอันดับแรก แล้วลาดเครื่องลาดที่อ่อนนุ่ม น่า
รื่นรมย์ใจ ไว้บนพุทธอาสน์นั้นแล้ว จัดแจงเขนยที่มีสีแดงทั้งสองข้าง
เห็นเข้าน่าฟูใจแล้ว ผูกเพดานอันวิจิตรด้วยดาวทองดาวเงินไว้ข้างบน

759
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 760 (เล่ม 44)

ประดับด้วยพวงของหอม พวงดอกไม้เเละพวงใบไม้เป็นต้น ให้กั้นข่าย
ดอกไม้ ในที่ ๑๒ ศอก โดยรอบแล้ว ให้เอาม่านผ้าล้อมที่ประมาณ ๓๐
ศอก ให้ลาดแคร่ พนักอิงเตียงและตั่งเป็นต้น เพื่อภิกษุสงฆ์อิงฝาด้าน
หลัง ให้ลาดเครื่องลาดขาวไว้ข้างบน ให้สร้างข้างศาลาด้านทิศตะวันออก
อันเหมาะกับที่นั่งของตน. อย่างที่ท่านหมายกล่าวไว้ว่า ให้ปูอาสนะ
เป็นต้น.
บทว่า อุทกมณิกํ ได้แก่ หม้อน้ำ อันแล้วด้วยทอง และมณีมีค่ามาก
คือ ตุ่มน้ำ. พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ จักล้างมือและเท้า บ้วนปาก
ตามความชอบใจ ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงบรรจุน้ำ
ที่มีสีดังแก้วมณี ให้เต็มในที่นั้น ๆ แล้ว ใส่ดอกไม้นานาชนิด และจุณ
สำหรับอบน้ำ เพื่อประโยชน์แก่การอบแล้ว ก็ให้เอาใบกล้วยวางปิดไว้.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ให้ตั้งหม้อน้ำไว้.
บทว่า เตลปฺปทีปํ อาโรเปตฺวา ความว่า ให้ตามประทีปน้ำมัน
ที่ตะคันอันสำเร็จด้วยทองและเงินเป็นต้น วางไว้ในมือของรูปทหาร และ
รูปที่สลักอันงดงามเป็นต้น ที่ไฟชนวนอันมีด้ามสำเร็จด้วยทองและเงิน
เป็นต้น. ก็ในคำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
อุบาสกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น มิใช่จัดแจงแต่อาวสถาคารอย่างเดียวเท่านั้น
ก็หามิได้ โดยที่แท้ ยังให้จัดแจงถนนในบ้านแม้ทั้งสิ้นแล้ว ให้ยกธงชัย
ขึ้น วางหม้อน้ำอันเต็มและต้นกล้วยไว้ที่ประตูบ้าน ให้บ้านทั้งหมด
เหมือนดารดาษไปด้วยหมู่ดาว ด้วยระเบียบประทีป ให้ตีกลองร้องประ-
กาศว่า ให้เด็กที่ยังไม่ทิ้งนมให้ดื่มน้ำนม ให้เด็กรุ่น ๆ รีบกินเสียแล้วไป
นอน อย่าส่งเสียงเอ็ดอึง วันนี้ พระศาสดาจักประทับอยู่ภายในบ้านราตรี

760