No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 731 (เล่ม 44)

๕. จุนทสูตร
ว่าด้วยเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย
[ ๑๖๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในมัลลชนบท พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงเมืองปาวา ได้ยินว่า ในที่นั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตรใกล้เมืองปาวา
นายจุนทกัมมารบุตรได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปใน
มัลลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จมาถึงเมืองปาวาแล้วประทับ
อยู่ ณ อัมพวันของเราใกล้เมืองปาวา ลำดับนั้นแล นายจุนทกัมมารบุตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นายจุนทกัมมารบุตร
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ลำดับ
นั้นแล นายจุนทกัมมารบุตร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้-
มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์จงทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ ลำดับนั้นแล นายจุนทกัมมารบุตร
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากอาสนะถวาย
บังคม กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้น เมื่อล่วงราตรีนั้นไป
นายจุนทกัมมารบุตรสั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีต และเนื้อ
สุกรอ่อนเป็นอันมากในนิเวศน์ของตน แล้วให้กราบทูลภัตกาลแด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตสำเร็จแล้ว

731
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 732 (เล่ม 44)

ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้ว
ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูลาดถวาย ครั้นแล้วตรัสกะนายจุนทกัมมาร-
บุตรว่า ดูก่อนจุนทะ เนื้อสุกรอ่อนอันใดท่านได้ตกแต่งไว้ ท่านจง
อังคาสเราด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น ส่วนขาทนียโภชนียาหารอื่นใดท่านได้
ตกแต่งไว้ ท่านจงอังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยขาทนียโภชนียาหารนั้นเถิด นาย-
จุนทกัมมารบุตรทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วอังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยเนื้อสุกรอ่อนที่ได้ตกแต่งไว้ และอังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยขาทนียโภชนี-
ยาหารอย่างอื่นที่ได้ตกแต่งไว้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะ
นายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูก่อนจุนทะ ท่านจงฝังเนื้อสุกรอ่อนที่เหลืออยู่นั้น
เสียในบ่อ เราไม่เห็นบุคคลผู้บริโภคเนื้อสุกรอ่อนนั้นแล้ว พึงให้ย่อยไป
โดยชอบ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ นอกจากตถาคต นายจุนท-
กัมมารบุตรตรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ฝั่งเนื้อสุกรอ่อนที่ยังเหลือเสีย
ในบ่อ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นายจุนทกัมมาร-
บุตรเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เสด็จ
ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป.
[๑๖๓] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสวยภัตของนาย-
จุนทกัมมารบุตรแล้ว เกิดอาพาธกล้า เวทนากล้า มีการลงพระโลหิตใกล้
ต่อนิพพาน ได้ยินว่าในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสติสัมป-
ชัญญะ ทรงอดกลั้นไม่ทุรนทุราย ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

732
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 733 (เล่ม 44)

กะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิดอานนท์ เราจักไปเมืองกุสินารา ท่านพระ-
อานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
นักปราชญ์ เสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตร
แล้ว อาพาธกล้า ใกล้ต่อนิพพาน เกิดพยาธิกล้าขึ้น
แก่พระศาสดาผู้เสวยเนื้อสุกรอ่อน พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงพระบังคนหนักเป็นพระโลหิตอยู่ ได้ตรัส
ว่า เราจะไปนครกุสินารา.
[๑๖๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแวะออกจากทางแล้ว
เสด็จเข้าไปยังโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดู
ก่อนอานนท์ เร็วเถิด เธอจงปูลาดผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เรา เราเหน็ดเหนื่อย
นัก จักนั่ง ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ปูลาดผ้า
สังฆาฏิ ๔ ชั้นถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนืออาสนะที่ท่าน
พระอานนท์ปูถวาย ครั้นแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์
เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำดื่มมาให้เรา เรากระทำ จักดื่มน้ำ เมื่อพระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มผ่านไป
แล้ว น้ำนั้นถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่ง ไหลไปอยู่ แม่น้ำ
กุกุฏานที่นี้มีน้ำใสจืดเย็นสนิท มีท่าราบเรียบ ควรรื่นรมย์ อยู่ไม่ไกลนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสวยน้ำและจักสรงชำระพระกายให้เย็นในแม่น้ำ
กุกุฏานที่นี้ แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะท่าน
พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำดื่มมาให้เรา

733
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 734 (เล่ม 44)

เรากระหาย จักดื่มน้ำ ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ถือบาตรเข้าไปยังแม่น้ำนั้น.
[๑๖๕] ครั้งนั้นแล แม่น้ำนั้นถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อย
หนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อท่านพระอานนท์เดินเข้าไปใกล้ ใสแจ๋วไม่ขุ่นมัวไหล
ไปอยู่ ลำดับนั้น พระอานนท์ดำริว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ
ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ความที่พระตถาคตทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพ
มาก แม่น้ำนี้แล ถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่มมัวหน่อยหนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อ
เราเดินเข้าไปใกล้ ใสแจ๋วไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ท่านพระอานนท์เอาบาตร
ตักน้ำแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว ความที่พระตถาคตทรงมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก
แม่น้ำนี้แล ถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อ
ข้าพระองค์เดินเข้าไปใกล้ ใสแจ๋วไม่ขุ่มมัวไหลไปอยู่ ขอพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสวยน้ำเถิด ขอพระสุคตเจ้าเสวยน้ำเถิด ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้เสวยน้ำ.
[๑๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จ
เข้าไปยังแม่น้ำกุกุฏานที ครั้นแล้วเสด็จลงแม่น้ำกุกฏานที ทรงสรงและ
เสวยเสร็จแล้วเสด็จขึ้นแล้วเสด็จเข้าไปยังอัมพวัน ครั้นแล้วตรัสเรียกท่าน
พระจุนทกะว่า ดูก่อนจุนทกะ เธอจงปูลาดผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เราเถิด
เราเหน็ดเหนื่อยจักนอน ท่านพระจุนทกะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นถวาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จ
สีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมี

734
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 735 (เล่ม 44)

พระสติสัมปชัญญะ มนสิการอุฏฐานสัญญา ส่วนท่านพระจุนทกะนั่งอยู่
เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่สำเร็จสีหไสยานั้นเอง.
ครั้นกาลต่อมา พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้รจนาคาถาเหล่านี้ไว้ว่า
[๑๖๗] พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังแม่น้ำกุกุฏานที มีน้ำ
ใสแจ๋วจืดสนิท เสด็จลงไปแล้ว พระตถาคตผู้
ศาสดาผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลกนี้ มีพระกายเหน็ด
เหนื่อยนักแล้ว ทรงสรงและเสวยแล้วเสด็จขึ้น พระ-
ศาสดาผู้อันโลกพร้อมทั้งเทวโลกห้อมล้อมแล้วในท่าม
กลางแห่งหมู่ภิกษุ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศาสดาผู้-
แสวงหาคุณอันใหญ่ทรงประกาศในพระธรรมนี้ เสด็จ
ถึงอัมพวันแล้ว ตรัสเรียกภิกษุชื่อจุนทกะว่า เธอจงปู
ลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เราเถิด เราจักนอน ท่านพระ-
จุนทกะนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระองค์ทรง
อบรมแล้ว ทรงตักเตือนจึงรีบปูลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้น
ทีเดียว พระศาสดามีพระกายเหน็ดเหนื่อยนัก ทรง
บรรทมแล้ว. ฝ่ายพระจุนทกะก็ได้นั่งอยู่เบื้องพระ-
พักตร์ ณ ที่นั้น.
[๑๖๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์
ว่า ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้จะพึงมีบ้าง ใคร ๆ จะพึงทำความเดือดร้อนให้
เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูก่อนอาวุโสจุนทะ ไม่เป็นลาภของท่าน
ท่านได้ไม่ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้าย

735
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 736 (เล่ม 44)

แล้วปรินิพพาน ดังนี้ ดูก่อนอานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อนของ
นายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูก่อนอาวุโสจุนทะ เป็นลาภของท่าน ท่านได้
ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปรินิพ-
พาน ดูก่อนอาวุโสจุนทะ ข้อนี้เราได้ฟังมา ได้รับมาแล้วเฉพาะพระพักตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้า บิณฑบาตทั้ง ๒ นี้มีผลเสมอ ๆ กัน มีวิบากเท่า ๆ กัน
มีผลมากและอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตเหล่าอื่นมากนัก บิณฑบาต ๒ เป็น
ไฉน คือ บิณฑบาตที่พระตถาคตเสวยแล้วได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัม-
โพธิญาณ ๑ บิณฑบาตที่พระตถาคตเสวยแล้วเสด็จปรินิพพานด้วยอนุ-
ปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ บิณฑบาตทั้ง ๒ นี้มีผลเสมอ ๆ กัน มีวิบากเท่า ๆ
กัน มีผลมากและมีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตเหล่าอื่นมากนัก นายจุนท-
กัมมารบุตรก่อสร้างกรรมที่เป็นไป เพื่ออายุ เพื่อวรรณะ เพื่อสวรรค์ เพื่อ
ยศ เพื่อความเป็นอธิบดี ดูก่อนอานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อนของ
นายจุนทกัมมารบุตร ด้วยประการอย่างนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
บุญย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ให้ทาน บุคคลผู้สำรวม
ย่อมไม่ก่อเวร ส่วนท่านผู้ฉลาดย่อมละบาป ครั้นละ
บาปแล้วย่อมปรินิพพาน เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ
โทสะ และโมหะ.
จบจุนทสูตรที่ ๕

736
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 737 (เล่ม 44)

อรรถกถาจุนทสูตร
จุนทสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มลฺเลสุ ได้แก่ ในชนบท มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า มหตา
ภิกฺขุสงฺเฆน ได้แก่ ชื่อว่า ใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณและใหญ่โดยจำนวน.
จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้น ชื่อว่าใหญ่ แม้โดยประกอบด้วยคุณพิเศษมีศีลเป็น
ต้น เพราะในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ล้าหลังเขาทั้งหมดก็เป็นพระ-
โสดาบัน ชื่อว่าใหญ่ ด้วยการใหญ่ โดยจำนวน เพราะกำหนดจำนวน
ไม่ได้. จริงอยู่ จำเดิมตั้งแต่เวลาปลงอายุสังขาร ภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้ว
มาแล้ว ไม่ได้หลีกไปเลย.
บทว่า จุนฺทสฺส ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า กมฺมารปุตฺตสฺส
ได้แก่ บุตรของนายช่างทอง.
เล่ากันมาว่า บุตรของนายช่างทองนั้น เป็นคนมั่งคั่ง เป็นกุฏุมพี
ใหญ่ เป็นพระโสดาบัน โดยการเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นครั้งแรก
นั่นเอง จัดแจงพระคันธกุฎี อันควรแก่ก็ประทับอยู่ของพระศาสดา
และที่พักกลางคืน และที่พักกลางวันแก่ภิกษุสงฆ์ และจัดโรงฉัน กุฏิ
มณฑปและที่จงกรม แก่ภิกษุสงฆ์ ในสวนอัมพวันของตน แล้วสร้าง
วิหาร อันประกอบด้วยซุ้มประตู ล้อมด้วยกำแพง มอบถวายแก่
ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในอัมพวันของนายจุนทะบุตรของช่างทอง
ใกล้เมืองปาวานั้น ดังนี้.
บทว่า ปฏิยาทาเปตฺวา ความว่า ให้จัดแจง คือ ให้หุงต้ม.
บทว่า สูกรมทฺทวํ นี้ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถาว่า เนื้อสุกรทั่ว

737
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 738 (เล่ม 44)

ไป ที่อ่อนนุ่มสนิท. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า สูกรมทฺทวํ
ความว่า ไม่ใช่เนื้อสุกร แต่เป็นหน่อไม้ไผ่ ที่พวกสุกรแทะดุน. อาจารย์
พวกอื่นกล่าวว่า เห็ด ที่เกิดในถิ่นที่พวกสุกรแทะดุน. ส่วนอาจารย์อีก
พวกหนึ่งกล่าวว่า บ่อเกิดแห่งรสชนิดหนึ่ง อันได้นามว่า สุกรอ่อน.
อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็นายจุนทะบุตรของนายช่างทอง สดับ
คำนั้นว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จปรินิพพานแล้ว คิดว่า
ไฉนหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้า จะพึงเสวยเนื้อสุกรอ่อนนี้แล้ว พึงดำรง
อยู่ตลอดกาลนาน ดังนี้แล้ว จึงได้ถวายเพื่อประสงค์จะให้พระศาสดา
ดำรงพระชนมายุได้ตลอดกาลนาน. บทว่า เตน มํ ปริวิส ได้แก่ จง
ให้เราบริโภคด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนั้น ? เพราะ
ทรงมีความเอ็นดูแก่สัตว์อื่น. ก็เหตุนั้นพระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ในพระ-
บาลีนั่นแล. ด้วยเหตุนั้น เป็นอันพระองค์ทรงแสดงว่า ควรจะกล่าว
อย่างนั้น เพราะภิกษาเขานำมาเฉพาะ และคนอื่นไม่ควรจะบริโภค.
ได้ยินว่า เทวดาในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปละ ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร
ใส่โอชารสลงในสุกรอ่อนนั้น. เพราะฉะนั้น ใคร ๆ อื่นไม่อาจจะให้
เนื้อสุกรอ่อนนั้น ย่อยได้โดยง่าย. พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความนั้น
เพื่อจะปลดเปลื้องความว่าร้ายของคนอื่น จึงทรงบันลือสีหนาท โดยนัย
มีอาทิว่า จุนทะ เราไม่เห็นเนื้อสุกรอ่อนนั้น. จริงอยู่ เพื่อจะปลดเปลื้อง
การว่าร้ายของชนอื่นผู้ว่าร้ายว่า ไม่ให้ของที่เหลือจากที่ตนบริโภคแก่ภิกษุ
ไม่ให้แก่คนเหล่าอื่น ให้ฝั่งไว้ในบ่อ ทำให้พินาศ ด้วยคำว่า โอกาส
แห่งคำนั้น จงอย่ามี ดังนี้ พระองค์จึงทรงบันลือสีหนาท.

738
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 739 (เล่ม 44)

บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า สเทวเก เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อ
ไปนี้ ชื่อว่า สเทวกะ เพราะเป็นไปกับด้วยเทวดาทั้งหลาย. ชื่อว่า
สมารกะ. เพราะเป็นไปกับด้วยมาร. ชื่อว่า สพรหมกะ เพราะเป็นไป
กับด้วยพรหม. ชื่อว่า สัสสมณพราหมณี เพราะเป็นไปกับด้วยสมณ-
พราหมณ์. ชื่อว่า ปชา เพราะเป็นสัตว์เกิด. ชื่อว่า สเทวมนุสสา
เพราะเป็นไปกับด้วยเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ในโลกนั้น พร้อมด้วย
เทวโลก ฯ ล ฯ พร้อมด้วยเทวดาและมนุษย์. ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า
สเทวกะ หมายเอาเทวดาชั้นปัญจกามาวจร. ด้วยคำว่า สมารกะ หมายเอา
เทวดาชั้นกามาวจรที่ ๖. ด้วยคำว่า สพรหมกะ หมายเอาพรหมชั้น
พรหมกายิกาเป็นต้น. ด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณี หมายเอาสมณะ
ผู้เป็นข้าศึก และพราหมณ์ ผู้เป็นศัตรูต่อพระศาสนา และหมายเอาสมณะ
ผู้สงบบาป และพราหมณ์ผู้ลอยบาป. ด้วยคำว่า ปชา หมายเอาสัตวโลก.
ด้วยคำว่า สเทวมนุสสะ หมายเอาเทวดาโดยสมมติ และมนุษย์ที่เหลือ
ในบทเหล่านั้น ด้วย ๓ บท พึงทราบว่า ท่านถือเอาสัตวโลก โดยโอกาส-
โลก ด้วย ๒ บท พึงทราบว่า ท่านถือเอาสัตวโลก โดยหมู่สัตว์.
พึงทราบอีกนัยหนึ่งดังต่อไปนี้ ด้วยคำว่า สเทวกะ. ท่านหมายเอา
เทวโลกชั้นอรูปาวจร. ด้วยคำว่า สมารกะ ท่านหมายเอาเทวโลกชั้น
ฉกามาวจร. ด้วยคำว่า สพรหมกะ. ท่านหมายเอาพรหมโลกชั้นรูปาวจร
ด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณ์เป็นต้น พึงทราบว่า ท่านหมายเอา
มนุษยโลกพร้อมด้วยเทพโดยสมมติด้วยอำนาจบริษัท หรือพึงทราบว่า
ท่านหมายเอาสัตวโลกที่เหลือ.

739
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 740 (เล่ม 44)

บทว่า ภุตฺตาวิสฺส ได้แก่ ผู้บริโภคอยู่. บทว่า ขโร แปลว่า หยาบ.
บทว่า อาพาโธ ได้แก่ โรคอันไม่ถูกส่วนกัน. บทว่า พาฬฺหา ได้แก่
มีกำลัง. บทว่า มรณนฺติกา ได้แก่ กำลังจะตาย คือสามารถจะให้ผู้ป่วย
ถึงเวลาใกล้ตาย. บทว่า สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ ความว่า ตั้งสติ
ไว้ด้วยดี กำหนดด้วยญาณยับยั้งอยู่. บทว่า อวิหญฺญมาโน ความว่าไม่
กระทำให้เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เหมือนธรรมที่ไม่ได้กำหนด โดย
อนุวัตตามเวทนา ยับยั้งอยู่ เหมือนไม่ถูกรบกวน ไม่ได้รับความลำบาก.
จริงอยู่ เวทนาเหล่านั้น เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในหมู่บ้าน
เวฬุวคามนั่นเอง แต่ถูกพลังแห่งสมาบัติข่มไว้ จึงไม่เกิดขึ้น จนกระทั่ง
วันปรินิพพาน เพราะให้สมาบัติน้อมไปเฉพาะทุก ๆ วัน. แต่พระองค์
ประสงค์จะปรินิพพานในวันนั้น จึงไม่เข้าสมาบัติ เพื่อให้สัตว์เกิดความ
สังเวชว่า แม้ทรงพลังช้าง ๑,๐๐๐ โกฏิเชือกมีกายเสมอกับด้วยเรือนเพชร
มีบุญสมภารที่สั่งสมตลอดกาลประมาณมิได้ เมื่อภพยังมีอยู่ เวทนาเห็น
ปานนี้ ก็ย่อมเป็นไป จะป่วยกล่าวไปไยถึงสัตว์เหล่าอื่นเล่า เพราะเหตุ
นั้น เวทนาจึงเป็นไปอย่างแรงกล้า.
บทว่า อายาม แปลว่า มาไปกันเถอะ.
ภายหลัง พระธรรมสังคาหกาจารย์ ได้ตั้งคาถา ซึ่งมีอาทิว่า จุนฺทสฺส
ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺตสฺส จ สูกร-
มทฺทเวน ความว่า เกิดพยาธิอย่างแรงกล้า แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสวย
เพราะไม่ใช่ทรงเสวยพระกระยาหารเป็นปัจจัย. เพราะถ้าโรคอย่างแรงกล้า
จักเกิด คือ จักได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มิได้เสวยพระกระยาหารแล้วไซร้
แต่เพราะพระองค์เสวยพระกระยาหารอันสนิท เวทนาจึงได้เบาบางลง

740