No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 721 (เล่ม 44)

กามภพเป็นต้น เพราะเป็นไปโดยภาวะที่น้อมไปในอารมณ์และกามนั้น
และเพราะสัตว์ทั้งหลายน้อมไปในอารมณ์และกามภพเป็นต้นนั้น. พระนิพ-
พานจึงชื่อว่า อนตะ เพราะไม่เป็นที่ที่สัตว์น้อมไป. อาจารย์บางพวกกล่าว
ว่า อนนฺตํ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า พระนิพพาน ชื่อว่าเว้นจากที่สุด คือไม่มี
จุติเป็นธรรม เป็นความดับสนิท ได้แก่ เป็นอมตะ เพราะมีสภาวะแท้.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวความแห่งบทว่า อนนฺตํ ว่าเป็น อปฺปมาณํ.
ก็ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า ทุทฺทสํ นี้ พระองค์ทรงแสดงถึงความที่พระ-
นิพพาน อันสัตว์พึงถึงได้โดยยากว่า การที่สัตว์ทั้งหลายทำพระนิพพาน
อันหาปัจจัยมิได้ ให้เกิด มิใช่ทำได้ง่าย เพราะสัตว์เหล่านั้นถูกกิเลสมี
ราคะเป็นต้น ซึ่งกระทำปัญญาให้ทุรพล ให้มีมาเป็นเวลานาน. ด้วยบทว่า
น หิ สจฺจํ สุทสฺสนํ แม้นี้ พระองค์ทรงกระทำความนั้นนั่นแหละให้
ปรากฏ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ ได้แก่ พระนิพพาน. จริงอยู่
พระนิพพานนั้น ชื่อว่าสัจจะ เพราะอรรถว่าไม่ผิดแผก เหตุเป็นคุณชาต
สงบโดยแท้จริงทีเดียว เพราะไม่มีสภาวะอันไม่สงบ โดยปริยายไหน ๆ.
อนึ่ง พระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่ใช่เห็นได้ง่าย คืออันใคร ๆ ไม่พึงเห็น
ได้โดยง่าย เพราะถึงจะรวบรวมบุญสมภาร และญาณสมภาร มาตลอด
กาลนาน ก็ยังบรรลุได้โดยยากทีเดียว. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า พระนิพพานเราบรรลุได้ยาก. บทว่า ปฏิวิทฺธา ตณฺหา
ชานโต ปสฺสโต นตฺถิ กิญฺจนํ ความว่า หากนิโรธสัจนั้นอันผู้จะตรัสรู้
โดยสัจฉิกิริยาภิสมัย เมื่อว่าโดยวิสัย โดยกิจ และโดยอารมณ์ ก็ตรัสรู้ได้
โดยการรู้ตลอดอารมณ์ และการรู้ตลอดโดยไม่งมงาย เหมือนทุกขสัจที่
ตรัสรู้ได้โดยปริญญาภิสมัย และมรรคสัจ ที่ตรัสรู้ได้โดยภาวนาภิสมัย คือ

721
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 722 (เล่ม 44)

การรู้ตลอดโดยไม่งมงาย ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันรู้แจ้งตลอดตัณหา
ด้วยปหานาภิสมัย และด้วยความไม่งมงาย. ก็เมื่อบุคคลรู้เห็นสัจจะ ๔
ด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยอริยมรรคตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ชื่อว่าย่อมไม่มี
ตัณหา อันเป็นเหตุนำสัตว์ไปในภพเป็นต้น เมื่อตัณหานั้นไม่มี กิเลสวัฏ
แม้ทั้งหมดก็ไม่มี ต่อแต่นั้นกัมมวัฏและวิปากวัฏ ก็ไม่มีเหมือนกันแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศอานุภาพแห่งอมตมหานิพพาน
อันเป็นเหตุสงบระงับวัฏทุกข์ได้เด็ดขาด แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาทุติยนิพพานสูตรที่ ๒
๓. ตติยนิพพานสูตร
ว่าด้วยพระนิพพานธรรมชาติปรุงแต่งไม่ได้
[๑๖๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง. . .เงี่ยโสตลงสดับธรรม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่
เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้
แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัด

722
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 723 (เล่ม 44)

ออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย
กระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้
เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่
เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง
ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว
ปรุงแต่แล้วจึงปรากฏ.
จบตติยนิพพานสูตรที่ ๓
อรรถกถาตติยนิพพานสูตร
ตติยนิพพานสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ในกาล
นั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศโทษในสงสารโดยเอนกปริยาย
แล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนา อันเกี่ยวด้วยพระนิพพาน โดยการ
แสดงเทียบเคียงเป็นต้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงประกาศสงสารนี้ พร้อมด้วยเหตุ มีอวิชชาเป็นต้น
อันชื่อว่า สเหตุกะ แต่ไม่ตรัสถึงเหตุอะไร ๆ แห่งพระนิพพานซึ่งเป็น
เหตุสงบสงสารนั้น พระนิพพานนี้นั้นจัดเป็นอเหตุกะ อเหตุกะนั้นจะ
เกิดได้ เพราะอรรถว่า มีการกระทำให้แจ้ง และมีอรรถเป็นอย่างไร.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอรรถนี้ ตามที่กล่าวแล้ว ของภิกษุ
เหล่านั้น. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้ อัน
เป็นเหตุ ประกาศอมตมหานิพพาน อันมีอยู่โดยปรมัตถ์ เพื่อกำจัดความ
สงสัยของภิกษุเหล่านั้น และเพื่อหักรานมิจฉาวาทะ ของสมณพราหมณ์
ในโลกนี้ ผู้ปฏิบัติผิด ผู้มีทิฏฐิคติหนาแน่น ในภายนอกทีเดียว เหมือน
บุคคลผู้ยึดโลกเป็นใหญ่ว่า คำว่า นิพพาน นิพพาน เป็นเพียงแต่เรื่อง

723
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 724 (เล่ม 44)

พูดกันเท่านั้น แต่ความจริง เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ชื่อว่า พระนิพพาน ย่อม
ไม่มี เพราะมีการไม่เกิดเป็นสภาวะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ทั้งหมด
เป็นไวพจน์ของกันและกัน. อีกอย่างหนึ่ง. พระนิพพานชื่อว่า อชาตะ
เพราะไม่เกิด คือ ไม่บังเกิด เพราะความพรั่งพร้อมแห่งเหตุ คือการ
ประชุมแห่งเหตุและปัจจัย เหมือนเวทนาเป็นเป็นต้น ชื่อว่า อภูตะ เพราะ
เว้นจากเหตุ และตนเองเสีย ย่อมไม่มี คือไม่ปรากฏ ได้แก่ ไม่เกิด
ชื่อว่า อกตะ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สร้างขึ้นเพราะไม่เกิด และ
เพราะไม่มีอย่างนี้. อนึ่ง เพื่อจะแสดงว่าสังขตธรรมมีนามรูปเป็นต้น มี
การเกิด การมี การสร้างขึ้นเป็นสภาวะ พระนิพพานซึ่งมีอสังขตธรรม
เป็นสภาวะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงตรัสว่า อสงฺขตํ ดังนี้. อนึ่ง เมื่อว่าโดย
ปฏิโลมตรัสว่า สังขตธรรม เพราะถูกปัจจัยอาศัยกันและกันสร้างให้มีขึ้น.
อนึ่ง ท่านกล่าวว่า เป็นอสังขตะ เพราะไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือเว้นจาก
ลักษณะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง. เมื่อภาวะที่พระนิพพานบังเกิดด้วยเหตุมาก
มายอย่างนี้ สำเร็จแล้ว เพื่อจะแสดงว่า พระนิพพานไม่มีปัจจัยอะไร ๆ
แต่งขึ้น ด้วยความรังเกียจว่า พระนิพพานจะพึงมีเหตุอย่างหนึ่ง ตบแต่ง
หรือหนอ จึงตรัสว่า อกตํ ไม่ถูกเหตุอะไร ๆ ตบแต่ง. แม้เมื่อพระ-
นิพพานไม่มีปัจจัยอย่างนี้ เพื่อจะให้ความรังเกียจว่า พระนิพพานนี้เป็น
ขึ้น ปรากฏขึ้นเองหรือหนอ เป็นไปไม่ได้ จึงตรัสว่า อภูตํ. เพื่อจะ
แสดงว่า พระนิพพานนี้นั้น ไม่มีปัจจัยปรุง ไม่ได้แต่ง ไม่มีนี้ จะมีได้
เพราะพระนิพพานมีการไม่เกิดเป็นธรรมดา โดยประการทั้งปวง จึงตรัสว่า
อชาตํ. บัณฑิตพึงทราบความที่บททั้ง ๔ นี้ มีประโยชน์อย่างนี้แล้ว พึง

724
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 725 (เล่ม 44)

ทราบว่า พระองค์ทรงประกาศว่า พระนิพพานมีอยู่ โดยปรมัตถ์ โดย
พระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานนี้นั้นมีอยู่. ก็ในพระสูตรนี้ พึง
ทราบเหตุในบท อาลปนะว่า ภิกฺขเว โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรง
เปล่งจึงตรัสไว้แล้วในหนหลังแล.
ดังนั้น พระศาสดา ครั้นตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานไม่
เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไร ๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่ เมื่อจะทรงเสดงเหตุใน
ข้อนั้น จึงตรัสคำว่า โน เจ ตํ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
พระบาลีนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอสังขต-
ธาตุ ซึ่งมีสภาวะไม่เกิดเป็นต้น จักไม่ได้มี หรือจักไม่พึงมีไซร้ ความ
สลัดออก คือความสงบโดยสิ้นเชิง ซึ่งสังขตะ กล่าวคือขันธ์ ๕ มีรูปเป็น
ต้น ซึ่งมีสภาวะเกิดขึ้นเป็นต้น ไม่พึงปรากฏ คือไม่พึงเกิด ไม่พึงมีใน
โลกนี้. จริงอยู่ ธรรมคืออริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น อันกระทำพระ-
นิพพานให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ย่อมตัดกิเลสได้เด็ดขาด. ด้วยเหตุนั้น ใน
ที่นี้ ความไม่เป็นไป ความปราศจากไป ความสลัดออกแห่งวัฏทุกข์
ทั้งสิ้น ย่อมปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงพระนิพพานว่า มีอยู่ โดยที่
ภาวะตรงกันข้าม บัดนี้ เพื่อจะแสดงพระนิพพานนั้น โดยนัยที่คล้อยตาม
จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยสฺมา จ โข ดังนี้. คำนั้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ก็ในที่นี้ เพราะเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุเคราะห์แก่
สัตวโลกทั้งมวล จึงทรงแสดงความเกิดมีแห่งนิพพานธาตุ โดยปรมัตถ์
โดยสุตตบทเป็นอเนก มีอาทิว่า ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่เป็นอสังขตะ
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ในที่ที่ปฐวีธาตุ ไม่มีเลย ฐานะแม้นี้แล

725
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 726 (เล่ม 44)

เห็นได้แสนยาก คือ ความสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิกิเลสทั้ง-
ปวง ภิกษุทั้งหลาย ก็เราจักแสดงอสังขตธรรม และปฏิปทาเครื่องให้
สัตว์ถึงอสังขตธรรมแก่เธอทั้งหลาย และด้วยสูตรแม้นี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย
พระนิพพาน ไม่เกิด มีอยู่ ฉะนั้น แม้ถ้าวิญญูชน ผู้กระทำไม่ให้ประจักษ์
ในพระนิพพานนั้นไซร้ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงเลย.
เพื่อจะบรรเทาความเคลือบแคลงของเหล่าบุคคล ผู้มีความรู้ในการแนะนำ
ผู้อื่น ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้. การสลัดออกเป็นปฏิปักษ์ต่อกาม
และอารมณ์มีรูปเป็นต้น ที่เวียนซ้าย คือที่มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น
ย่อมปรากฏโดยมุข คือการถอนออกจากทุกข์ หรือเพราะกำหนดรู้ อันมี
การพิจารณาที่เหมาะสม พระนิพพาน อันเป็นปฏิปักษ์ต่อสังขตธรรมทั้ง-
หมด ซึ่งมีสภาวะเป็นเช่นนั้น คือมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น พึง
เป็นเครื่องสลัดออก. ก็พระนิพพาน อันเป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์นั้น
ก็คืออสังขตธาตุ. พึงทราบให้ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย. วิปัสสนาญาณก็ดี
อนุโลมญาณก็ดี ซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ ย่อมไม่อาจจะละกิเลสได้
โดยเด็ดขาด. อนึ่ง ญาณในปฐมฌานเป็นต้น ซึ่งมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์
ย่อมละกิเลสได้ ด้วยวิกขัมภนปหานเท่านั้น หาละได้ด้วยสมุจจเฉทปหานไม่.
ดังนั้น อริยมรรคญาณ อันกระทำการละกิเลสเหล่านั้น ได้เด็ดขาด ก็
พึงเป็นอารมณ์ ซึ่งมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากญาณทั้งสองนั้น เพราะ
ญาณซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ และมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ไม่
สามารถในการตัดกิเลสได้เด็ดขาดนั้น ชื่อว่า อสังขตธาตุ. อนึ่ง พระ-
ดำรัสที่ส่องถึงบทแห่งพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่โดยปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า เป็นอรรถที่ไม่ผิดแผก ดังบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระ-

726
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 727 (เล่ม 44)

นิพพาน ไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไร ๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่. จริงอยู่
คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ซึ่งมีอรรถไม่ผิดแผก ดังที่ตรัสไว้ว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ดังนี้. อนึ่ง นิพพานศัพท์ มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ตามเป็นจริง แม้ใน
อารมณ์บางอย่าง เพราะเกิดมีความเป็นไปเพียงอุปจาร เหมือนศัพท์ว่า
สีหะ. อีกอย่างหนึ่ง. พึงทราบอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ แม้โดย
ยุติ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เพราะพระนิพพาน มีสภาวะพ้นจากสิ่งที่มี
ภาวะตรงกันข้ามนั้น นอกนี้ เหมือนปฐวีธาตุ หรือเวทนา.
จบอรรถกถาตติยนิพพานสูตรที่ ๓
๔. จตุตถนิพพานสูตร
ว่าด้วยการตรัสถึงพระนิพพานไม่มีการมาการไป
[๑๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง . . . เงี่ยโสตลงฟังธรรม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและ
ทิฏฐิอาศัย ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ เมื่อ

727
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 728 (เล่ม 44)

มีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี เมื่อไม่มีความยินดี
ก็ย่อมไม่มีการมาการไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็
ไม่มีการจุติและอุปบัติ เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ
โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี นี้แล
เป็นที่สุดแห่งทุกข์.
จบจตุตถนิพพานสูตรที่ ๔
อรรถกถาจตุตถนิพพานสูตร
จตุตถนิพพานสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ใน
กาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา อันเกี่ยว
ด้วยพระนิพพาน โดยแสดงการเทียบเคียงเป็นต้น โดยอเนกปริยายแล้ว
ภิกษุเหล่านั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า อันดับแรก พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงอานิสงส์ ซึ่งมีขันธ์มีอาการเป็นอเนกแห่งอมตมหา-
นิพพานธาตุ จึงทรงประกาศอานุภาพนี้ อันไม่ทั่วไป แก่ผู้อื่น. แต่ไม่
ตรัสอุบายเครื่องบรรลุอมตมหานิพพานธาตุนั้น พวกเรา เมื่อปฏิบัติอยู่
จะพึงบรรลุอมตมหานิพพานนี้อย่างไรหนอ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ซึ่งอรรถกล่าวคือภาวะที่ภิกษุเหล่านั้นมี
ความปริวิตก ตามที่กล่าวแล้วนี้. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์
ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศถึงการบรรลุพระนิพพาน ด้วยการละตัณหา
ได้เด็ดขาดด้วยอริยมรรค ของบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาอันดำเนินไปตาม
วิถีจิต ผู้มีกายและจิตสงบระงับ ผู้ไม่อิงอาศัยในอารมณ์ไหน ๆ ด้วย
อำนาจตัณหา.

728
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 729 (เล่ม 44)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิสฺสิตสฺส จลิตํ ความว่า บุคคลผู้
ถูกตัณหา และทิฏฐิเข้าอาศัยในสังขารมีรูปเป็นต้น ย่อมหวั่นไหว คือ
ย่อมดิ้นรนเพราะตัณหาและทิฏฐิว่า นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นอัตตาของ
เรา. จริงอยู่ เมื่อบุคคลผู้ยังละตัณหาและทิฏฐิไม่ได้ เมื่อสุขเวทนาเป็นต้น
เกิดขึ้น ไม่อาจจะครอบงำเวทนามีสุขเวทนาเป็นต้นเหล่านั้นอยู่ มีจิต
สันดานดิ้นรนกวัดแกว่ง ดิ้นรนหวั่นไหว อันนำออกแล้ว เพราะให้กุศล
เกิดขึ้นด้วยอำนาจการยึดถือตัณหาและทิฏฐิ โดยนัยมีอาทิว่า เวทนาของ
เรา เราเสวย. บทว่า อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ ความว่า ก็บุคคลใด
ดำเนินไปตามวิสุทธิปฏิปทา ย่อมข่มตัณหา และทิฏฐิได้ด้วยสมถะและ
วิปัสสนา ย่อมพิจารณาเห็นสังขาร ด้วยลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็นต้น
อยู่ บุคคลนั้น คือ ผู้ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิอาศัย ย่อมไม่มีจิตหวั่นไหว
ฟุ้งซ่าน ดิ้นรน ตามที่กล่าวแล้วนั้น เพราะข่มเหตุไว้ได้ด้วยดีแล้ว. บทว่า
จลิเต อสติ ความว่า เมื่อจิตไม่มีความหวั่นไหว ตามที่กล่าวแล้วเขาก็
ทำจิตนั้น ให้เกิดความขวนขวายในวิปัสสนา อันดำเนินไปตามวิถีจิต
โดยที่การยึดถือตัณหาและทิฏฐิเกิดขึ้นไม่ได้. บทว่า ปสฺสทฺธิ ความว่า
ปัสสัทธิทั้ง ๒ อย่าง อันเข้าไปสงบกิเลส ซึ่งกระทำความกระวนกระวาย
กายและจิต ที่เกิดร่วมกับวิปัสสนาจิต. บทว่า ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น
โหติ ความว่า เมื่อปัสสัทธิ อันควรแก่คุณวิเศษ ก่อนและหลัง มีอยู่
เธอเจริญสมาธิ อันมีความสุขหามิได้ เป็นที่ตั้งแล้วจึงประกอบสมถะ
และวิปัสสนาให้เนื่องกันเป็นคู้ โดยทำสมาธินั้น ให้รวมกับวิปัสสนาแล้ว
ทำกิเลสให้สิ้นไปโดยสืบ ๆ แห่งมรรค ตัณหาอันได้นามว่า นติ เพราะ

729
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 730 (เล่ม 44)

น้อมไปในกามภพเป็นต้น ไม่มีในขณะแห่งอริยมรรค โดยเด็ดขาด
อธิบายว่า ไม่เกิดขึ้น เพราะให้ถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
บทว่า นติยา อสติ ความว่า เมื่อไม่มีปริยุฏฐานกิเลส คือ ความ
อาลัยและความติด เพื่อต้องการภพเป็นต้น เพราะละตัณหาได้เด็ดขาด
ด้วยอริยมรรค. บทว่า อาคติคติ น โหติ ความว่า การมา คือ ความมา
ในโลกนี้ด้วยอำนาจปฏิสนธิ การไป คือ การไปจากโลกนี้ สู่ปรโลก ได้
แก่ความละไปด้วยอำนาจจุติ ย่อมไม่มี ได้แก่ ย่อมไม่เกิด. บทว่า อาคติ-
คติยา อสติ ความว่า เมื่อไม่มีการมาและการไป โดยนัยดังกล่าวแล้ว.
บทว่า จุตูปปาโต น โหติ ความว่า การจุติและอุปบัติไป ๆ มา ๆ ย่อม
ไม่มี คือ ย่อมไม่เกิด. จริงอยู่ เมื่อไม่มีกิเลสวัฏ กัมมวัฏก็เป็นอันขาดไป
ทีเดียว และเมื่อกัมมวัฏนั้นขาดไป วิปากวัฏจักมีแต่ที่ไหน ด้วยเหตุนั้น
นั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ โลกนี้และโลกหน้า
ก็ไม่มี ดังนี้เป็นต้น. คำที่ควรกล่าวในข้อนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว
โดยพิสดารในพาหิยสูตร ในหนหลังนั่นแล. เพราะฉะนั้น พึงทราบ
ความ โดยนัยดังกล่าวแล้วในพาหิยสูตรนั่นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศอานุภาพแห่งอมตมหานิพพาน
อันเป็นเหตุสงบทุกข์ในวัฏฏะได้โดยเด็ดขาด ด้วยสัมมาปฏิบัติ แก่ภิกษุ
เหล่านั้น ในพระศาสนาแม้นี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาจตุตถนิพพานสูตรที่ ๔

730