จากธรรมอันเป็นปฏิปักษ์นั่น และกิเลสกรรม จักไม่มี คือจักไม่เกิดแก่เรา
และวิปากวัฏในอนาคต จักไม่มี คือจักไม่เกิดแก่เรา. ในกาลทั้ง ๓ ดัง
กล่าวมาแล้วนี้ ขันธปัญจกคืออัตภาพของเรานี้ อันมีกรรมกิเลสเป็นเหตุ
ไม่ใช่มีผู้ยิ่งใหญ่เป็นต้นเป็นเหตุ เป็นอันท่านประกาศ ถึงการเห็นนาม
แลรูปพร้อมทั้งปัจจัยว่า ของเรา ฉันใด ของสัตว์ทั้งปวง ก็ฉันนั้น.
แต่เมื่อว่าโดยเวลาพิจารณา พึงทราบความดังต่อไปนี้. บทว่า โน
จสฺส โน จ เม สิยา ความว่า เพราะเหตุที่เบญจขันธ์นี้ ชื่อว่าไม่เที่ยง
เพราะมีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าถูกความเกิดและ
ความดับบีบคั้นเนืองๆ ชื่อว่าอนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ
ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น สภาวะบางอย่างที่ชื่อว่าอัตตานี้ ที่พ้นไปจากเบญจขันธ์
ก็ไม่มี คือไม่พึงมี ไม่พึงเกิด เมื่อเป็นเช่นนั้น เบญจขันธ์บางอย่าง ที่
ชื่อว่าเป็นของเราไม่พึงมีแก่เรา ไม่พึงเกิดแก่เรา. จริงอยู่ เมื่ออัตตามี
สิ่งที่เกิดในตน ก็พึงมี เหมือนอย่างว่า นามรูปนี้ ที่เกิดในตน จักสูญ
ไปในปัจจุบัน และในอดีต ฉันใด สภาวะอะไร ๆ ที่ชื่อว่าเป็นอัตตาที่พ้น
ไปจากขันธ์ ก็ฉันนั้น จักไม่มี จักไม่เกิดแก่เรา คือจักไม่มี จักไม่เกิด
แก่เราในอนาคต ต่อจากนั้นแล เบญจขันธ์นี้อะไร ๆ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความกังวล จักไม่มีแก่เรา คือธรรมชาติอะไร ๆ ที่เกิดในตน จักไม่มี
แก่เราแม้ในอนาคต. ด้วยคำนี้ พระองค์แสดงถึงความไม่มีสิ่งที่จะพึง
ถือว่า เรา และจะพึงถือว่า ของเรา เพราะไม่มีใน ๓ กาล. ด้วยคำนั้น
เป็นอันทรงประกาศสุญญตามี ๔ เงื่อน.
บทว่า อนุปพฺพวิหารี ตตฺถ โส ความว่า เมื่อพระโยคาวจรตาม
เห็น ความเป็นของว่าง อันมีในตน ในสังขารนั้น ในกาลทั้ง ๓ ดัง