No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 611 (เล่ม 44)

ตโต นาหุ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ต่อจากขณะแห่งอริยมรรคนั้น กิเลส
ไม่มีแล้ว. บทว่า นาหุ ปุพฺเพ ความว่า ก็ธรรมอันหาโทษมิได้ หาประ-
มาณมิได้ ของเรานี้ใด บัดนี้ เราได้ประสบบริบูรณ์แล้วด้วยภาวนา ธรรม
อันหาโทษมิได้แม้นั้น ในกาลก่อนแต่ขณะอริยมรรคไม่ได้มีแล้ว คือไม่มี
เลย. บทว่า ตทา อหุ ความว่า ก็อรหัตมรรคญาณเกิดขึ้นแก่เราในกาล
ใด ในกาลนั้น ธรรมอันหาโทษมิได้ทั้งหมด ได้มีแล้วแก่เรา. จริงอยู่
คุณแห่งพระสัพพัญญูทั้งหมด พร้อมด้วยการบรรลุอรหัตมรรค ย่อมอยู่
ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทีเดียว. บทว่า น จาหุ น จ
ภวิสฺสติ น เจตรหิ วิชฺชติ ความว่า ก็ธรรมอันหาโทษมิได้ คืออริยมรรค
นั้นใด เกิดขึ้นแล้ว ณ ประเทศเป็นที่ผ่องใสแห่งโพธิญาณของเรา อัน
เป็นเหตุให้เราละหมู่กิเลสทั้งหมดได้เด็ดขาด. อริยมรรคนั้น ก่อนแต่ขณะ
มรรค ไม่มีและไม่ได้มีแก่เราเลย ฉันใด แม้อริยมรรคนี้ก็ฉันนั้น จักไม่มี
คือจักไม่เกิดขึ้นอนาคต เหมือนกิเลสเหล่านั้น เพราะไม่มีกิเลสที่ตนจะ
ต้องละ ถึงในบัดนี้ คือในปัจจุบัน ก็ไม่มี คือไม่เกิด เพราะไม่มีกิจที่ตน
จะต้องทำ. เพราะพระอริยมรรคไม่เป็นไปมากครั้ง ด้วยเหตุนั้นนั่นแล
พระองค์จึงตรัสว่า ย่อมไม่ถึงฝั่ง ๒ ครั้ง.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงพิจารณาถึงอกุศลธรรมที่
พระองค์ละได้เด็ดขาดในสันดานของพระองค์ ด้วยอริยมรรค และธรรม
อันหาโทษมิได้ หาประมาณมิได้ อันถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา จึง
ทรงเปล่งอุทานอันเกิดด้วยกำลังปีติที่น้อมเข้ามาในตน. ด้วยคาถาต้น
ตรัสถึงเวสารัชญาณเบื้องต้นทั้งสองเท่านั้น เวสารัชญาณ ๒ ข้อหลัง

611
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 612 (เล่ม 44)

เป็นอันทรงประกาศแล้วทีเดียว เพราะประกาศถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ดังนี้แล.
จบอรรถกถาอาหุสูตรที่ ๓
๔. ปฐมกิรสูตร
ว่าด้วยความเห็นต่างกัน
[๑๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล สมณะ
พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่าง ๆ กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความ
พอใจต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน อาศัยทิฏฐินิสัยต่างกัน อาศัยอยู่ใน
พระนครสาวัตถี สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ
อย่างนี้ว่า
๑. โลกเที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า.
ส่วนสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
๒. โลกไม่เที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า.
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
๓. โลกมีที่สุด. . .
๔. โลกไม่มีที่สุด. . .
๕. ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น. . .
๖. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น. . .

612
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 613 (เล่ม 44)

๗. สัตว์เบื้องหน้าแต่แล้ว ย่อมเป็นอีก . . .
๘. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เป็นอีก . . .
๙. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี
นี้แหละจริง อื่นเปล่า.
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
๑๐. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็น
อีกก็หามิได้ นี้แหละจริง อื่นเปล่า.
สมณพราหมณ์เหล่านั้นเกิดบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน
ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากว่า ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้
ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้.
[๑๓๗] ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกัน นุ่งแล้วถือบาตร
และจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตภายหลัง
ภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส สมณะ พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน
ผู้มีลัทธิต่างๆ กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีความชอบใจ
ต่างกัน อาศัยทิฏฐินิสัยต่างกัน อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี สมณพราหมณ์
พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง นี้แหละจริง. . .
ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์เป็นคนตา
บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความฉิบหายใช่ประโยชน์ ไม่
รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม เมื่อไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความ

613
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 614 (เล่ม 44)

ฉิบหายใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม ก็บาดหมาง
กัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากว่า ธรรม
เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้.
[๑๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถี
นี้แล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ครั้งนั้นแล พระราชาพระองค์นั้นตรัส
เรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ นี่แน่ะเธอ คนตาบอดใน
พระนครสาวัตถีมีประมาณเท่าใด ท่านจงบอกให้คนตาบอดเหล่านั้น
ทั้งหมดมาประชุมร่วมกัน บุรุษนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้ว พาคนตาบอด
ในพระนครสาวัตถีทั้งหมดเข้าไปเฝ้าพระราชาถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้
กราบบังคมทูลพระราชาพระองค์นั้นว่า ขอเดชะ พวกคนตาบอดใน
พระนครสาวัตถีมาประชุมกันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า พระราชาองค์นั้น
ตรัสว่า แน่ะพนาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงแสดงช้างแก่พวกคนตาบอดเถิด
บุรุษนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้วแสดงช้างแก่พวกคนตาบอด คือ แสดง
ศีรษะช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงหูช้างแก่คนตา
บอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงงาช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า
ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงงวงช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้
แสดงตัวช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงเท้าช้างแก่
คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงหลังช้างแก่คนตาบอดพวก
หนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงโคนหางช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้าง
เป็นเช่นนี้ แสดงปลายหางช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล บุรุษนั้น ครั้นแสดงช้างแก่พวกคน

614
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 615 (เล่ม 44)

ตาบอดแล้ว เช้าไปเฝ้าพระราชาพระองค์นั้น ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้
กราบทูลว่า ขอเดชะ คนตาบอดเหล่านั้นเห็นช้างแล้วแล บัดนี้ ขอให้ฝ่า
ละอองธุลีพระบาท จงทรงสำคัญเวลาอันควรเถิด พระเจ้าข้า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ลำดับนั้นแล พระราชาพระองค์นั้นเสด็จเข้าไปถึงที่คนตาบอด
เหล่านั้น ครั้นแล้วได้ตรัสถามว่า ดูก่อนคนตาบอดทั้งหลาย พวกท่าน
ได้เห็นช้างแล้วหรือ คนตาบอดเหล่านั้น กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายได้เห็นแล้ว พระเจ้าข้า.
รา. ดูก่อนคนตาบอดทั้งหลาย ท่านทั้งหลายกล่าวว่า ข้าพระพุทธ-
เจ้าทั้งหลายได้เห็นช้างแล้ว ดังนี้ ช้างเป็นเช่นไป.
คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำศีรษะช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอ
เดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนหม้อ พระเจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้
ลูบคลำหูช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือน
กระดัง พระเจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำงาช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้
ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนผาล พระเจ้าข้า คนตาบอด
พวกที่ได้ลูบคลำงวงช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้
คือ เหมือนงอนไถ พระเจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำตัวช้าง ได้
กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนฉางข้าว พระ-
เจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำเท้าช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ
ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนเสา พระเจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำ
หลับช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนครก
ตำข้าว พระเจ้าข้า คนตาบอดพวกที่ได้ลูบคลำโคนหางช้าง ได้กราบทูล

615
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 616 (เล่ม 44)

อย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็นเช่นนี้ คือ เหมือนสาก พระเจ้าข้า คนตา
บอดพวกที่ได้ลูบคลำปลายหางช้าง ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ช้างเป็น
เช่นนี้ คือ เหมือนไม้กวาด พระเจ้าข้า คนตาบอดเหล่านั้นได้ทุ่มเถียง
กันและกันว่า ช้างเป็นเช่นนี้ ช้างไม่ใช่เป็นเช่นนี้ ช้างไม่ใช่เป็นเช่นนี้
ช้างเป็นเช่นนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พระราชาพระองค์นั้นได้ทรงมี
พระทัยชื่นชมเพราะเหตุนั้นแล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพา-
ชกเป็นคนตาบอด ไม่มีจักษุ ย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความฉิบหาย
ใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม เมื่อไม่รู้จักประโยชน์
ไม่รู้จักความฉิบหายใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม
มีบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปาก
ว่า ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็น
เช่นนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ได้ยินว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมข้องอยู่
เพราะทิฏฐิทั้งหลายอันหาสาระมิได้เหล่านี้ ชนทั้ง-
หลายผู้เห็นโดยส่วนเดียว ถือผิดซึ่งทิฏฐินิสัยนั้น ย่อม
วิวาทกัน.
จบปฐมกิรสูตรที่ ๔

616
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 617 (เล่ม 44)

อรรถกถาปฐมกิรสูตร
ปฐมกิรสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า นานาติตฺถิยา สมณพฺราหฺมณปริพฺพาชกา นี้ มีวิเคราะห์
ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ท่า เพราะเป็นเหตุข้ามโอฆสงสาร ได้แก่ ทางเป็นที่
ไปสู่พระนิพพาน. แต่ในที่นี้ ทิฏฐิทัสสนะ ความเห็นคือทิฏฐิ ที่พวก
ผู้มีทิฏฐิยึดถือเป็นคติเช่นนั้น โดยวิปลาสอันผิดแผก ท่านประสงค์เอา
ว่า ท่า. ผู้ประกอบใน ท่า มีอาการต่าง ๆ มีว่าเที่ยงเป็นต้นนั้น ชื่อว่า
นานาทิฏฐิ. สมณะเปลือยและนิครนถ์เป็นต้น กฐกลาปพราหมณ์เป็นต้น
และปริพาชกชื่อโปกขรสาติเป็นต้น ชื่อว่าสมณะ พราหมณ์ และปริพา-
ชก. สมณะ พราหมณ์ และปริพาชกเหล่านั้น ผู้ประกอบในท่าต่างๆ
เหมือนกัน. ชื่อว่า ทิฏฐิ เพราะเป็นเครื่องเห็น โดยนัยมีอาทิว่า อัตตา
และโลกเที่ยง หรือทิฏฐินั้นย่อมเห็นเอง หรือทิฏฐินั้นเป็นเพียงความเห็น
เช่นนั้นเท่านั้น คำว่า ทิฏฐินี้ เป็นชื่อของการยึดถือผิด. ทิฏฐิต่าง ๆคือ
มีอย่างเป็นอเนก โดยเห็นว่าเที่ยงเป็นต้น ของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้น
ชนเหล่านั้นชื่อว่ามีทิฏฐิต่าง ๆ. ความพอใจโดยเห็นว่าเที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า
ขันติ, ความชอบใจ ชื่อว่า รุจิ โดยอรรถ จิตวิปลาสและสัญญาวิปลาส
อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า อัตตาและโลกเที่ยง ความพอใจต่าง ๆ เช่นนั้น
ของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้น ชนเหล่านั้นชื่อว่า มีความพอใจต่าง ๆ กัน.
ความชอบใจของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้น ชนเหล่านั้นมีชื่อว่า มีความ
ชอบใจต่าง ๆ กัน. จริงอยู่ ในส่วนเบื้องต้น บุคคลผู้มีทิฏฐิเป็นคติ ย่อม
ทำจิตให้ชอบใจ และให้พอใจโดยประการนั้น ภายหลังยึดถือว่า สิ่งนี้
เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า. อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิว่าด้วยความเห็น ชื่อว่าขันติ

617
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 618 (เล่ม 44)

ด้วยความพอใจ ชื่อว่ารุจิด้วยความชอบใจ โดยประการนั้น ๆ โดยนัยมี
อาทิว่า โลกไม่เที่ยง โลกเที่ยง. ด้วยบททั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ ทิฏฐิเท่านั้น
พึงทราบเนื้อความว่าท่านกล่าวไว้แล้ว. บทว่า นานาทิฏฺฐินิสฺสยนิสฺสิตา
ความว่า อาศัย คือ แอบแนบ เข้าถึงที่อาศัย คือที่ตั้ง ได้แก่เหตุแห่ง
ทิฏฐิมีอย่างต่าง ๆ โดยกำหนดว่าเที่ยง เป็นต้น หรือที่อาศัยกล่าวคือ
ทิฏฐินั่นแหละ อธิบายว่า ไม่สละทิฏฐินั้นตั้งอยู่. ด้วยว่าแม้ทิฏฐิทั้งหลาย
ก็เป็นที่อาศัยของอาการยึดถือของชนพวกที่มีทิฏฐิเป็นคติ.
บทว่า สนฺติ แปลว่า มีอยู่ คือมีอยู่พร้อม ได้แก่ เกิดอยู่. บทว่า
เอเก ได้แก่ บางพวก. บทว่า สมณพฺราหฺมณา ความว่า ท่านถือเอา
อย่างนี้ว่า ชื่อว่าสมณะ. เพราะเข้าถึงการบรรพชา ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะ
ชาติกำเนิด. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ชาวโลกถือเอาอย่างนี้ว่าสมณะ และว่า
พราหมณ์. บทว่า เอวํวาทิโน ได้แก่ ผู้มีวาทะอย่างนี้ว่า ผู้กล่าวอย่างนี้
คือ โดยอาการที่จะพึงกล่าวในบัดนี้. ชื่อว่า ผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ เพราะคน
เหล่านั้นมีทิฏฐิอันเป็นไปอย่างนี้ คือโดยอาการที่จะพึงกล่าวในบัดนี้. ใน
บทเหล่านั้น ด้วยบทที่ ๒ ท่านแสดงถึงการยึดถือผิดของคนผู้ทิฏฐิเป็น
คติ. ด้วยบทที่ ๑ ท่านแสดงถึงการกล่าว โดยให้คนเหล่าอื่นตั้งอยู่ใน
ทิฏฐินั้น ตามความยึดถือของพวกเขา. บทว่า โลโก ในบทว่า สสฺสโต
โลโก อิธเมว สจฺจํ โมฆมญฺญํ นี้ เป็นอัตตา. จริงอยู่ อัตตานั้นท่าน
ประสงค์เอาว่า โลก เพราะเป็นที่ที่คนผู้มีทิฏฐิเป็นคติเห็นบุญบาป และ
วิบากของบุญและบาปนั้น หรือว่าผู้ประกอบโดยความเป็นผู้กระทำย่อม
เห็นเอง. อธิบายว่า ความเห็นของพวกเราที่ว่า โลกนี้นั้นเที่ยง ไม่ตาย
มั่นคง ยั่งยืน นี้แหละเป็นของจริง คือไม่แปรผัน ส่วนความเห็นอย่างอื่น

618
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 619 (เล่ม 44)

ของคนอื่นว่า โลกไม่เที่ยงเป็นต้น เปล่า คือผิด. ด้วยคำนี้ เป็นอันท่าน
แสดง สัสสตวาทะทั้ง ๔. บทว่า อสสฺสโต แปลว่า ไม่เที่ยง อธิบายว่า
ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีจุติเป็นธรรม. ด้วยบทว่า อสสฺสโต นี้. ท่านแสดง
อุจเฉททิฏฐิ. ความเห็นว่าขาดสูญ โดยปฏิเสธภาวะที่โลกเที่ยงนั่นแหละ
เพราะเหตุนั้น ย่อมเป็นอันแสดงอุจเฉทวาทะแม้ทั้ง ๗. บทว่า อนฺตวา
ได้แก่ มีที่สุด หมุนไปรอบ (กลม) มีประมาณกำหนดได้ อธิบายว่า
ไม่ไปตลอด. ด้วยคำนี้ เป็นอันท่านแสดงวาทะ มีอาทิอย่างนี้ว่า อัตตา
มีสรีระเป็นประมาณ มีนิ้วแม่มือเป็นประมาณ มีอวัยวะเป็นประมาณ
(และ) มีปรมาณูเป็นประมาณ. บทว่า อนนฺตวา แปลว่า ไม่มีที่สุด
อธิบายว่า ไปได้ตลอด. ด้วยคำว่า อนนฺตวา นี้ ย่อมเป็นอันแสดงวาทะ
ของกปิลกาณพราหมณ์เป็นต้น.
ด้วยบทว่า ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ นี้ สมณะหรือพราหมณ์ย่อมพิจารณา
เห็นชีวะ และสรีระ ไม่เป็นคู่กันว่า สรีระนั่นแหละ เป็นวัตถุ กล่าวคือ
ชีวะ วัตถุกล่าวคือชีวะนั่นแหละเป็นสรีระ. ด้วยบทนี้ เป็นอันท่านแสดง
วาทะนี้ว่า อัตตาที่มีรูป เหมือนวาทะของอาชีวก ก็ด้วยบทว่า อญฺญํ
ชีวํ อญฺญํ สรีรํ นี้ เป็นอันท่านแสดงวาทะว่าอัตตาไม่มีรูป. บทว่า ตถาคโต
ในบทว่า โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา นี้ ได้แก่ อัตตา. จริงอยู่
อัตตานั้น ทิฏฐิคติกบุคคลกล่าวว่า ตถาคต เพราะถึงภาวะที่เป็นไปอย่าง
นั้น กล่าวคือผู้ทำและผู้เสวยเป็นต้น หรือกล่าวคือเที่ยงและยั่งยืนเป็นต้น
อธิบายว่า ในที่นี้ อัตตานั้น เบื้องหน้าคือหลังแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมมี คือมีปรากฏอยู่. ด้วยคำนี้อันมีสัสสตวาทะเป็นประธาน เป็นอันท่าน
แสดงสัญญีวาทะ ๑๖ อสัญญีวาทะ ๘ และเนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘. บทว่า

619
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 620 (เล่ม 44)

น โหติ ได้แก่ ไม่มี คือ ไม่เกิด. ด้วยคำนี้ ท่านแสดงอุจเฉทวาทะ.
บทว่า โหติ จ น โหติ จ แปลว่า มีและไม่มี. ด้วยคำนี้ เป็นอันท่าน
แสดงสัสสตวาทะบางอย่าง และสัญญีวาทะ ๗. ก็ด้วยบทว่า เนว โหติ
น น โหติ นี้ พึงทราบว่า ท่านแสดงวาทะดิ้นได้ไม่ตายตัว. ได้ยินว่า
ทิฏฐิคติกบุคคลเหล่านี้ มาจากถิ่นต่าง ๆ อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี คราว
หนึ่งประชุมกัน ณ ที่ประชุมแสดงลัทธิ ยกย่องวาทะของตน ๆ ข่ม
วาทะของคนอื่น ได้ก่อวิวาทกันและกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เต ภณฺฑนชาตา ดังนี้ เป็นต้น.
ในวาทะเหล่านั้น ส่วนเบื้องต้นของการทะเลาะ. ชื่อว่า ความ
บาดหมาง. บทว่า ภณฺฑนชาตา แปลว่า เกิดความบาดหมาง. การ
ทะเลาะนั่นแหละ ชื่อว่า กลหะ. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นการทะเลาะ
เพราะกำจัดเสียงแผ่วเผา. ชื่อว่า วิวาทาปนฺนา เพราะถึงวาทะที่ผิดกัน
และกัน. หอกคือปาก เพราะกระทบกระทั่งความรัก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มุขสัตติ ได้แก่ ผรุสวาจา. จริงอยู่ เหตุ ท่านกล่าวว่า ผลก็มี เพราะ
ใกล้เคียงกับเหตุ เหมือนใกล้เคียงกับผล อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า การอุบัติขึ้น
แห่งพระพุทธเจ้า นำมาซึ่งความสุข และว่า กรรมชั่วปรากฏชัด. ทิ่ม แทง
อยู่ด้วยหอกคือปากเหล่านั้น. บทว่า เอทิโส ธมฺโม ได้แก่ ธรรม คือ
สภาวะอันไม่ผิดแผก เช่นนี้ คือ เห็นปานนี้ เหมือนอย่างที่เรากล่าวไว้ว่า
โลกเที่ยง. บทว่า เนทิโส ธมฺโม ได้แก่ ธรรมเช่นนี้หามิได้ เหมือน
อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า โลกไม่เที่ยง. แม้ด้วยบทที่เหลือก็พึงประกอบ
อย่างนี้. ก็วาทะของพวกเดียรถีย์นั้น เกิดปรากฏไปทั่วนคร.

620