หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1034 (เล่ม 3)

ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนเภสัช ที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า เภสัชนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น
ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึง
ที่แล้ว สงฆ์พึงให้เภสัชนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้
เสียสละแก่คณะ
ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า เภสัชนี้ของข้าพเจ้าล่วง ๗ วัน เป็นของจำจะสละ
ข้าพเจ้าสละเภสัชนี้แก่ท่านทั้งหลาย
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนเภสัชที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า เภสัชนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น
ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของ
ท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้เภสัชนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
นั่งกระโหย่งเท้าประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า เภสัชนี้ของข้าพเจ้าล่วง ๗ วัน เป็นของจำจะสละ
ข้าพเจ้าสละเภสัชนี้แก่ท่าน

1034
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1035 (เล่ม 3)

ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ
พึงคืนเภสัชที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้เภสัชนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
[๑๔๒] เภสัชล่วง ๗ วันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว เป็นนิส-
สัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เภสัชล่วง ๗ วันแล้ว ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เภสัชล่วง ๗ วันแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่ได้ผูกใจ ภิกษุสำคัญว่าผูกใจแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่ได้เเจกจ่ายให้ไป ภิกษุสำคัญว่าแจกจ่ายไปแล้ว เป็น
นิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่สูญหายไป ภิกษุสำคัญว่าสูญหายไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่เสีย ภิกษุสำคัญว่าเสียแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เภสัชยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกชิงไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

1035
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1036 (เล่ม 3)

[๑๔๓] เภสัชที่เสียสละแล้ว ภิกษุนั้นได้คืนมา ไม่พึงใช้ด้วยกิจที่
เกี่ยวกับกาย และไม่ควรฉัน พึงน้อมเข้าไปในการตามประทีป หรือใน
การผสมสี ภิกษุอื่นจะใช้ด้วยกิจที่เกี่ยวกับกายได้อยู่ แต่ไม่ควรฉัน
ทุกกฏ
เภสัชยังไม่ล่วง ๗ วัน ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว... ต้องอาบัติทุกกฏ
เภสัชยังไม่ล่วง ๗ วัน ภิกษุสงสัย... ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
เภสัชยังไม่ล่วง ๗ วัน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง ๗ วัน...ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๑๔๔] ภิกษุผูกใจไว้ว่าจะไม่บริโภค ๑ ภิกษุแจกจ่ายให้ไป ๑
เภสัชนั้นสูญหาย ๑ เภสัชนั้นเสีย ๑ เภสัชนั้นถูกไฟไหม้ ๑ เภสัชนั้น
ถูกโจรชิงไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ในภายในเจ็ดวัน ภิกษุให้แก่อนุป-
สัมบันด้วยจิตคิดสละแล้ว ทิ้งแล้ว ปล่อยแล้ว ไม่ห่วงใย กลับได้คืนมา
ฉันได้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๓
พรรณนาเภสัชชสิกขาบท
เภสัชชสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:- ในเภสัชชสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

1035
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1037 (เล่ม 3)

[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระปิลินทวัจฉะ]
พระราชาทอดพระเนตรเห็นภิกษุทั้งหลาย ขวนขวายชำระเงื้อมเขา
เพื่อประโยชน์เป็นที่เร้น ของพระเถระ มีพระราชประสงค์จะถวายคน
ทำการวัด จึงได้ตรัสถามว่า อตฺโถ ภนฺเต เป็นต้น.
บทว่า ปาฏิเยกฺโก แปลว่า เป็นหมู่บ้านหนึ่งต่างหาก.
บทว่า มาลากิเต ได้แก่ ผู้ทำระเบียบดอกไม้ คือ ทรงไว้ซึ่ง
ระเบียบดอกไม้. อธิบายว่า ประดับด้วยระเบียบดอกไม้.
บทว่า ติณณฺฑูปกํ แปลว่า เทริดหญ้า (หมวกฟาง).
บทว่า ปฏิมุญฺจิ แปลว่า สวมไว้ (บนศีรษะ).
ข้อว่า สา อโหสิ สุวณฺณมาลา มีความว่า หมวกฟางนั้น พอ
สวมบนศีรษะของเด็กหญิงเท่านั้น ได้กลายเป็นระเบียบดอกไม้ทองคำ
ด้วยอำนาจแห่งการอธิษฐานของพระเถระ. จริงอยู่ พระเถระอธิษฐาน
หมวกฟางนั้น ซึ่งพอวางลงบนศีรษะนั่นแลว่า จงกลายเป็นระเบียบ
ดอกไม้ทองคำ.
คำว่า หุติยมฺปิ โข ฯ เปฯ อุปสงฺกมิ ได้แก่ พระเถระได้ไป
หาในวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ.
สองบทว่า สุวณฺณนติ อธิมุจฺจิ ได้แก่ พระเถระได้อธิษฐานว่า
จงสำเร็จเป็นทองคำ.
สองบทว่า ปญฺจนฺนํ เภสชฺชานํ ได้แก่ เภสัช ๕ มีเนยใส
เป็นต้น .
บทว่า พาหุลฺลิกา ได้แก่ ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้มักมากด้วย
ปัจจัย.

1037
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1038 (เล่ม 3)

ในคำว่า โกลุมฺเพปิ ฆเฏปิ นี้ กระถางปากกว้างเรียกชื่อว่า
โกลุมพะ.
บทว่า โอลีนวิลีนานิ ได้แก่ เยิ้มหยดลงภายใต้ และที่ข้างทั้งสอง.
บทว่า โอกิณฺณวิกิณฺณา มีความว่า พวกหนูขุดพื้นดินเกลื่อน.
และกัดฝาผนัง วิ่งพลุกพล่านไปมาข้างบนเกลื่อนกล่น เพราะกลิ่นแห่ง
เภสัช ๕ มีเนยใสเป็นต้น.
บทว่า อนฺโตโกฏฺฐาคาริกา ได้แก่ มีเรือนคลังจัดแจงไว้ ณ
ภายใน.
บทว่า ปฏิสายนียานิ ได้แก่ อันควรลิ้ม. อธิบายว่า ควร
บริโภค.
บทว่า เภสชฺชานิ มีความว่า เภสัชทั้งหลาย จะทำกิจแห่งเภสัช
หรือไม่ก็ตาม ก็ได้โวหาร (ว่าเภสัช) อย่างนี้.
ด้วยบทว่า โคสปฺปิ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนยใส
ที่ปรากฏในโลก แล้วทรงแสดงสงเคราะห์เอาเนยใสแม้แห่งสัตว์เหล่าอื่น
มีมฤค ละมั่ง และกระต่ายเป็นต้น เข้าด้วยคำว่า เยสํ มํสํ กปฺปติ นี้.
แท้จริง สัตว์เหล่าใดมีน้ำนม, สัตว์เหล่านั้นก็มีเนยใสด้วย. แต่เนยใส
ของสัตว์เหล่านั้น จะหาได้ง่ายหรือหาได้ยากก็ตามที ก็ตรัสไว้ เพื่อความ
ไม่งมงาย. ถึงเนยขึ้น ก็อย่างนั้น.
[อธิบายวิธีปฏิบัติในการรับประเคนเภสัชต่าง ๆ]
สองบทว่า สนฺนิธิการกํ ปริภุญฺชิตพฺพานิ มีความว่า พึงกระทำ
การสั่งสม คือ เก็บไว้บริโภค. อย่างไร ? คือ บรรดาเภสัชมีเนยใส

1038
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1039 (เล่ม 3)

เป็นต้น ที่มาในพระบาลี จะกล่าวถึงเนยใสก่อน ที่ภิกษุรับประเคน
ก่อนฉัน ควรจะฉันเจืออามิสก็ได้ ปราศจากอามิสก็ได้ ในเวลาก่อนฉัน
ในวันนั้น. ตั้งแต่ภายหลังฉันไป พึงฉันปราศจากอามิสได้ตลอด ๗ วัน.
แม้เพราะล่วง ๗ วันไป ถ้าภิกษุเก็บไว้ในภาชนะเดียว เป็นนิสสัคคีย์
ตัวเดียว. ถ้าเก็บไว้ในภาชนะมากหลาย เป็นนิสสัคคีย์หลายตัว ตาม
จำนวนวัตถุ.
เนยใสที่ภิกษุรับประเคนภายหลังฉัน ควรฉันได้ไม่เจืออามิสเลย
ตลอด ๗ วัน. ภิกษุจะกลืนกินเนยใสที่ตนทำให้เป็นอุคคหิตก์ เก็บไว้ใน
เวลาก่อนฉัน หรือหลังฉัน ย่อมไม่ควร. พึงน้อมไปใช้ในกิจอื่นมีการ
ใช้ทาเป็นต้น. แม้เพราะล่วง ๗ วันไป ก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะถึงความ
เป็นของไม่ควรกลืนกิน. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า เป็นของควรลิ้ม.
ถ้าอนุปสัมบันทำเนยใสด้วยเนยข้นที่รับประเคนไว้ ในเวลาก่อน
ฉันถวาย, จะฉันกับอามิสในเวลาก่อนฉัน ควรอยู่. ถ้าภิกษุทำเอง, ฉัน
ไม่เจืออามิสเลย ย่อมควรแม้ตลอด ๗ วัน. แต่เนยใสที่บุคคลใดคนหนึ่ง
ทำด้วยเนยข้นที่รับประเคนในเวลาหลังฉัน ควรฉันได้ไม่เจืออามิสตลอด
๗ วันเหมือนกัน.
[อธิบายวิธีปฏิบัติในเนยใสและเนยข้น]
ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยในเนยใสที่ทำด้วยเนยข้น (ซึ่งภิกษุทำให้)
เป็นอุคคหิตก์ โดยนัยแห่งเนยใสล้วน ๆ ดังที่กล่าวแล้วในก่อนนั้นแล.
เนยใสทำด้วยนมสดที่ภิกษุรับประเคนไว้ก่อนฉันก็ดี ด้วยนมส้มก็ดี ที่

1039
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1040 (เล่ม 3)

อนุปสัมบันทำ ควรฉันได้ แม้เจืออามิส ในเวลาก่อนฉันวันนั้น. ที่
ภิกษุทำเอง ควรฉันปราศจากอามิสอย่างเดียว, ในภายหลังฉันไม่ควร.
จริงอยู่ เมื่อภิกษุอุ่นเนยข้น ไม่จัดเป็นสามปักกะ. แต่จะฉัน
อามิสกับด้วยเนยข้นนั้นที่เป็นสามปักกะ ย่อมไม่ควร. ตั้งแต่หลังฉันไป
ก็ไม่ควรเหมือนกัน. ไม่เป็นอาบัติ แม้ในเพราะล่วง ๗ วันไป เพราะ
รับประเคนทั้งวัตถุ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า รับประเคนเภสัชเหล่านั้นแล้ว
เป็นต้น, แต่เนยใสที่ทำด้วยนมสดและนมส้มที่ภิกษุรับประเคนในเวลาฉัน
ควรน้อมไปใช้ในกิจมีการทาตัวเป็นต้น. เนยใสที่ทำด้วยนมสดนมส้มซึ่ง
เป็นอุคคหิตก์ แม้ในเวลาก่อนฉัน (ก็ควรน้อมเข้าไปใช้ในกิจมีการทาตัว
เป็นต้น). ไม่เป็นอาบัติ แม้เพราะเนยใสทั้งสองอย่าง ๗ วันไป. ในเนย
ใสของพวกสัตว์ที่มีมังสะเป็นอกัปปิยะ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน . แต่มี
ความแปลกกันดังต่อไปนี้:-
เป็นนิสสัคคีย์ ด้วยเนยข้นและเนยใสที่มาแล้วในพระบาลีใด, ใน
พระบาลีนั้น เป็นทุกกฏด้วยเนยใสของพวกสัตว์ที่มีมังสะเป็นกัปปิยะนี้.
ในอรรถกถาอันธกะ ท่านคัดค้านเนยใสและเนยข้นของมนุษย์ไว้ทำให้
สมควรแก่เหตุ. เนยใสและเนยข้นของมนุษย์นั้น ท่านคัดค้านไว้ไม่ชอบ
เพราะพระอาจารย์ทั้งหลาย อนุญาตไว้ในอรรถกถาทั้งปวง. และแม้การ
วินิจฉัยเนยใสและเนยข้นของมนุษย์นั้น จักมาข้างหน้า. แม้เนยข้นที่มา
แล้วในพระบาลี ภิกษุรับประเคนในเวลาก่อนฉัน จะฉันแม้เจือกับ
อามิสในเวลาก่อนฉันในวันนั้น ควรอยู่, ตั้งแต่ภายหลังฉันไป ไม่เจือ
อามิสเลย จึงควร. เพราะล่วง ๗ วันไป ในเนยข้นที่เก็บไว้ในภาชนะ
ต่าง ๆ กัน เป็นนิสสัคคีย์ ตามจำนวนภาชนะ, ในเนยข้นที่เก็บไว้อย่าง

1040
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1041 (เล่ม 3)

เป็นก้อน ๆ ไม่คละกัน แม้ในภาชนะเดียว ก็เป็นนิสสัคคีย์ ตามจำนวน
ก้อน. เนยข้นที่ภิกษุรับประเคนไว้ในเวลาหลังฉัน ผู้ศึกษาพึงทราบโดย
นัยแห่งเนยใสเหมือนกัน .
ส่วนความแปลกกันในเนยข้นนี้ มีดังนี้:- ก้อนนมส้มบ้าง หยาด
เปรียงบ้าง มีอยู่; เพราะฉะนั้น พวกพระเถระจำนวนครึ่ง จึงได้กล่าวว่า
ที่ฟอกแล้วจักควร. ส่วนพระมหาสีวเถระกล่าวว่า ตั้งแต่เวลาที่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว เนยข้นพอยกขึ้นจากเปรียงเท่านั้น ภิกษุ
ทั้งหลายขบฉันได้. เพราะเหตุนั้น ภิกษุจะฉันเนยขึ้นพึงชำระ คือตักเอา
นมส้ม เปรียงแมลงวัน และมดแดงเป็นต้นออกแล้วฉันเถิด. ภิกษุใคร่
จะเจียวให้เป็นเนยใสฉัน จะเจียวแม้เนยข้นที่ยังไม่ฟอกก็ควร. ในเนยขึ้น
นั้นสิ่งใดที่เป็นนมส้มก็ดี ที่เป็นเปรียงก็ดี สิ่งนั้นจักถึงความหมดสิ้นไป.
ก็ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยังไม่ชื่อว่ารับประเคนพร้อมทั้งวัตถุ อธิบายดังกล่าว
มานี้ เป็นอธิบายในคำของพระมหาสีวเถระนี้. แต่ภิกษุทั้งหลายผู้มัก
รังเกียจ ย่อมรังเกียจแม้ในเนยข้นที่เจียวนั้น เพราะเจียวพร้อมทั้งอามิส.
บัดนี้ ผู้ศึกษาพึงถือเอานัยเเห่งอาบัติ อนาบัติ การบริโภค และไม่
บริโภคในเนยข้นที่จับต้องแล้วเก็บไว้ ในเนยข้นที่ภิกษุรับประเคนนมสด
และนมส้มก่อนฉันแล้วทำ ในเนยข้นที่ภิกษุรับประเคนนมสดนมส้มนั้น
ในภายหลังฉันแล้วทำ ในเนยข้นที่ทำด้วยนมสดและนมส้ม ที่เป็นอุคคหิตก์
และในเนยข้นของพวกสัตว์ที่มีมังสะเป็นอกัปปิยะ ทั้งหมดโดยลำดับดัง
กล่าวแล้วในเนยใสนั่นแล. พวกชาวบ้าน ย่อมเทซึ่งเนยใสบ้าง เนยข้น
บ้าง น้ำมันที่เคี่ยวแล้วบ้าง น้ำมันที่ยังไม่ได้เคี่ยวบ้าง ลงในเนยใสนั้น
นั่นเอง ของภิกษุทั้งหลายผู้เข้าไป เพื่อภิกษาน้ำมัน. หยาดเปรียงและ

1041
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1042 (เล่ม 3)

นมส้มบ้าง เมล็ดข้าวสุกบ้าง รำข้าวสารบ้าง จำพวกแมลงวันเป็นต้นบ้าง
มีอยู่ในเนยใสนั้น. เนยใสนั้น ภิกษุทำให้สุกด้วยแสงแดดแล้วกรองเอาไว้
จัดเป็นสัตตาหกาลิก.
ก็การที่ภิกษุจะเคี่ยวกับเภสัชที่รับประเคนไว้ แล้วทำการนัตถุ์เข้า
ทางจมูก ควรอยู่. ถ้าในสมัยฝนพรำ สามเณรผู้ลัชชี เมื่อจะเปลื้องการ
หุงต้มอามิสให้พ้นไป อย่างที่พวกภิกษุไม่หุงต้มข้าวสารและรำเป็นต้น
ที่ตกลงไปในเนยใสนั้น ทำให้ละลายในไฟแล้วกรองไว้ เจียวถวายใหม่
ย่อมควรตลอด ๗ วัน โดยนัยก่อนเหมือนกัน.
[อธิบายวิธีปฏิบัติในเภสัช คือน้ำมัน]
บรรดาจำพวกน้ำมัน จะว่าถึงน้ำมันงาก่อน ที่รับประเคนก่อน
ฉัน แม้เจืออามิส ย่อมควร ในเวลาก่อนฉัน. ตั้งแต่หลังฉันไปปราศจาก
อามิสเท่านั้นจึงควร. ผู้ศึกษา พึงทราบความที่น้ำมันงานั้นเป็นนิสสัคคีย์
ด้วยจำนวนภาชนะ เพราะล่วง ๗ วันไป. น้ำมันงาที่รับประเคนภายหลังฉัน
ปราศจากอามิสเท่านั้น จึงควร ตลอด ๗ วัน. จะดื่มกินน้ำมันงาที่ทำ
ให้เป็นอุคคหิตก์เก็บไว้ไม่ควร. ควรน้อมเข้าไปในกิจมีการทาศีรษะ
เป็นต้น. แม้ในเพราะล่วง ๗ วันไป ก็ไม่เป็นอาบัติ. น้ำมันที่ภิกษุรับ
ประเคน เมล็ดงาในปุเรภัตทำ เจืออามิสย่อมควร ในปุเรภัต. ตั้งแต่
ปัจฉาภัตไปเป็นของไม่ควรกลืนกิน. พึงน้อมไปในกิจมีการทาศีรษะ
เป็นต้น . แม้ในเมื่อล่วง ๗ วันไป ก็ไม่เป็นอาบัติ. น้ำมันที่ภิกษุรับ
ประเคนเมล็ดงาในปัจฉาภัตแล้วทำ เป็นของไม่ควรกลืนกินเหมือนกัน
เพราะรับประเคนทั้งวัตถุ. แม้ในเมื่อล่วง ๗ วันไป ก็ไม่เป็นอาบัติ.

1042
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 1043 (เล่ม 3)

พึงน้อมเข้าไปในกิจมีการทาศีรษะเป็นต้น. แม้ในน้ำมันที่ทำด้วยเมล็ดงา
ที่ภิกษุจับต้องในปุเรภัต หรือในปัจฉาภัตก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
น้ำมันที่คั่วเมล็ดงาซึ่งภิกษุรับประเคนในปุเรภัต แล้วนึ่งแป้งงา
หรือให้ชุ่มด้วยน้ำอุ่นทำ, ถ้าอนุปสัมบันทำ แม้เจืออามิส ย่อมควรใน
ปุเรภัต. ที่ตนทำเอง เพราะปล้อนวัตถุออกแล้ว ไม่มีอามิสเลย จึงควร
ในปุเรภัต. เพราะเป็นน้ำมันที่เจียวเอง เจืออามิสจึงไม่ควร. ก็เพราะ
เป็นของที่รับประเคนพร้อมวัตถุ แม้ทั้งสองอย่าง จึงไม่ควรกลืนกิน
จำเดิมแต่ปัจฉาภัตไป พึงน้อมเข้าไปในการทาศีรษะเป็นต้น. แม้ในเมื่อ
ล่วง ๗ วันไป ก็ไม่เป็นอาบัติ, แต่ถ้าว่า น้ำอุ่นมีน้อย, น้ำนั้นเพียงแต่
ว่าพรมลงเท่านั้น เป็นอัพโพหาริก ย่อมไม่ถึงการนับว่าเป็นสามปักกะ.
แม้ในน้ำมันเมล็ดพันธุ์ผักกาดเป็นต้น ที่ภิกษุรับประเคนพร้อมทั้งวัตถุ
ก็มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้ว ในน้ำมันงาที่ไม่มีวัตถุนั่นแล.
ก็ถ้าว่า ภิกษุอาจเพื่อทำน้ำมัน จากผงแห่งเมล็ดพันธุ์ผักกาด
เป็นต้น ที่รับประเคนไว้ในปุเรภัต โดยเจียวด้วยแสงแดด, น้ำมันนั้น
แม้เจือด้วยอามิส ย่อมควรในปุเรภัต. ตั้งแต่ปัจฉาภัตไป ไม่เจืออามิสเลย
จึงควร. ในเมื่อล่วง ๗ วันไป เป็นนิสสัคคีย์.
อนึ่ง เพราะภิกษุทั้งหลาย นึ่งผงเมล็ดพันธุ์ผักกาดและมะซาง
เป็นต้นและคั่วเมล็ดละหุ่งแล้วกระทำน้ำมันอย่างนี้; ฉะนั้น น้ำมันของ
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นที่พวกอนุปสัมบันทำ แม้เจืออามิสก็ควรในเวลา
ก่อนฉัน. ก็เพราะวัตถุเป็นยาวชีวิก จึงไม่มีโทษ. ในการรับประเคน
พร้อมทั้งวัตถุ ฉะนี้แล. น้ำมันเมล็ดพันธุ์ผักกาดเป็นต้น ที่ตนทำเอง
พึงบริโภค โดยการบริโภคปราศจากอามิสอย่างเดียวตลอด ๗ วัน. น้ำมัน

1043