No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 84 (เล่ม 43)

๗. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง [๒๐๐]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์
คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน ภิกฺขุ โส โหติ"
เป็นต้น.
พราหมณ์อยากให้พระศาสดาเรียกตนว่าภิกษุ
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นบวชในลัทธิภายนอกเที่ยวภิกษาอยู่ คิดว่า
"พระสมณโคดมเรียกสาวกของตนผู้เที่ยวภิกษาว่า ภิกษุ,' การที่พระ-
สมณโคดมเรียกแม้เราว่า ' ภิกษุ ' ก็ควร." เขาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า
" ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ข้าพเจ้าก็เที่ยวภิกษาเลี้ยงชีพอยู่, พระองค์
จงเรียกแม้ข้าพเจ้าว่า 'ภิกษุ."
ลักษณะภิกษุและผู้มิใช่ภิกษุ
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า "พราหมณ์ เราหา
เรียกว่า ' ภิกษุ ' เพราะอาการเพียงขอ (เขาไม่), เพราะผู้สมาทานธรรม
อันเป็นพิษแล้วประพฤติอยู่ ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าภิกษุหามิได้, ส่วนผู้ใดเที่ยว
ไปด้วยพิจารณาสังขารทั้งปวง, ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ" ดังนี้แล้ว ได้ตรัส
พระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๗. น เตน ภิกฺขุ โส โหติ ยาวตา ภิกฺขเต ปเร
วิสฺสํ ธมฺมํ สมาทาย ภิกฺขุ โหติ น ตาวตา.
โยธ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ พาเหตฺวา พฺรหฺมจริยวา
สงฺขาย โลเก จรติ ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ.

84
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 85 (เล่ม 43)

"บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเหตุที่ขอกะคนพวก
อื่นหามิได้, บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ ไม่ชื่อว่า
เป็นภิกษุ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น; ผู้ใดในศาสนานี้
ลอยบุญและบาปแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ (รู้ธรรม)
ในโลก ด้วยการพิจารณาเที่ยวไป ผู้นั้นแลเราเรียก
ว่า 'ภิกษุ.'
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา ความว่า ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะ
เหตุสักว่าขอกะชนพวกอื่นหามิได้. บทว่า วิสํ๑ เป็นต้น ความว่า ผู้ที่
สมาทานธรรมไม่เสมอ หรือธรรมมีกายกรรมเป็นต้น อันมีกลิ่นเป็นพิษ
ประพฤติอยู่ หาชื่อว่าเป็นภิกษุไม่. บทว่า โยธ เป็นต้น ความว่า ผู้ใด
ในศาสนานี้ ลอยคือบรรเทาบุญและบาปแม้ทั้งสองนี้ด้วยมรรคพรหมจรรย์
ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์. บทว่า สงฺขาย คือ ด้วยญาณ. บทว่า
โลเก เป็นต้น ความว่า บุคคลรู้ธรรมแม้ทั้งหมดในโลก มีขันธโลก
เป็นต้น อย่างนี้ว่า "ขันธ์เหล่านี้เป็นภายใน, ขันธ์เหล่านี้เป็นภายนอก"
เที่ยวไป, ผู้นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ' ภิกษุ ' เพราะเป็นผู้ทำลาย
กิเลสทั้งหลายด้วยญาณนั้นแล้ว.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง จบ.
๑. บาลีเป็น วิสฺสํ.

85
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 86 (เล่ม 43)

๘. เรื่องเดียรถีย์ [๒๐๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกเดียรถีย์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น โมเนน" เป็นต้น.
เหตุที่ทรงอนุญาตอนุโมทนากถา
ได้ยินว่า พวกเดียรถีย์เหล่านั้นทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ ใน
สถานที่ตนบริโภคแล้ว, กล่าวมงคลโดยนัยเป็นต้นว่า " ความเกษมจงมี,
ความสุขจงมี, อายุจงเจริญ; ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม, ในที่ชื่อโน้นมีหนาม,
การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร" แล้วจึงหลีกไป. ก็ในปฐมโพธิกาล ใน
เวลาที่ยังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายไม่ทำอนุ-
โมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัตเลย ย่อมหลีกไป. พวกมนุษย์ยกโทษว่า
"พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย, แต่พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายนิ่งเฉย หลีกไปเสีย." ภิกษุทั้งหลายยกราบทูลความนั้นแด่พระ-
ศาสดา.
พระศาสดาทรงอนุญาตว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป ท่านทั้ง-
หลายจงทำอนุโมทนาในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น ตามสบายเถิด, จงกล่าว
อุปนิสินนกถาเถิด" ภิกษุเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว.
พวกเดียรถีย์ติเตียนพุทธสาวก
พวกมนุษย์ฟังวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิมนต์
ภิกษุทั้งหลาย เที่ยวทำสักการะ. พวกเดียรถีย์ยกโทษว่า " พวกเราเป็น

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 87 (เล่ม 43)

มุนีทำความเป็นผู้นิ่ง, พวกสาวกของพระสมณโคดมเที่ยวกล่าวกถามาก
มาย ในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น.
ลักษณะมุนีและผู้ไม่ใช่มุนี
พระศาสดาทรงสดับความนั้น ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว
ว่า ' มุนี ' เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง; เพราะคนบางพวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด,
บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า, บางพวกไม่พูด เพราะ
ตระหนี่ว่า ' คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา; เพราะฉะนั้น
คนไม่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง, แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะ
ยังบาปให้สงบ." ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๘. น โมเนน มุนิ โหติ มูฬฺหรูโป อวิทฺทสุ
โย จ ตุลํว ปคฺคยฺห วรมาทาย ปณฺฑิโต
ปาปานิ ปริวชฺเชติ ส มุนิ เตน โส มุนิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก มุนิ เตน ปวุจฺจติ.
" บุคคลเขลา ไม่รู้โดยปกติ ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง, ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิตถือธรรม
อันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตาชั่ง เว้นบาป
ทั้งหลาย, ผู้นั้นเป็นมุนี, ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุ
นั้น; ผู้ใดรู้อรรถทั้งสองในโลก, ผู้นั้นเรากล่าวว่า
' เป็นมุนี ' เพราะเหตุนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น โมเนน ความว่า ก็บุคคลชื่อว่าเป็น

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 88 (เล่ม 43)

มุนี เพราะโมนะคือมรรคญาณ๑ กล่าวคือข้อปฏิบัติเครื่องเป็นมุนี ก็จริงแล,
ถึงอย่างนั้น ในพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โมเนน หมายเอา
ความเป็นผู้นิ่ง. บทว่า มุฬฺหรูโป คือ เป็นผู้เปล่า.
บทว่า อวิทฺทสุ คือ ไม่รู้โดยปกติ. อธิบายว่า " ก็บุคคลเห็นปาน
นั้น แม้เป็นผู้นิ่ง ก็ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี; อีกอย่างหนึ่ง ไม่ชื่อว่าโมไนยมุนี,
แต่เป็นผู้เปล่าเป็นสภาพ และไม่รู้โดยปกติ.
บาทพระคาถาว่า โย จ ตุลํ ว ปคฺคยฺห ความว่า เหมือนอย่าง
คนยืนถือตาชั่งอยู่, ถ้าของมากเกินไป, ก็นำออกเสีย, ถ้าของน้อย, ก็
เพิ่มเข้า ฉันใด; ผู้ใดนำออก ชื่อว่าเว้นบาป ดุจคนเอาของที่มากเกินไป
ออก. บำเพ็ญกุศลอยู่ดุจคนเพิ่มของอันน้อยเข้า ฉันนั้นเหมือนกัน; ก็แล
เมื่อทำอย่างนั้น ชื่อว่าถือธรรมอันประเสริฐ คือสูงสุดทีเดียว กล่าวคือศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เว้นบาป คือกรรมที่เป็นอกุศล
ทั้งหลาย. สองบทว่า ส มุนิ ความว่า ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนี. หลายบทว่า
เตน โส มุนิ ความว่า หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า " ก็เพราะเหตุไร ผู้
นั้นจึงชื่อว่าเป็นมุนี ?" ต้องแก้ว่า " ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุที่กล่าว
แล้วในหนหลัง."
บาทพระคาถาว่า โย มุนาติ อุโภ โลเก ความว่า บุคคลผู้ใดรู้
อรรถทั้งสองนี้ ในโลกมีขันธ์เป็นต้นนี้ โดยนัยเป็นต้นว่า "ขันธ์เหล่านี้
เป็นภายใน, ขันธ์เหล่านี้เป็นภายนอก" ดุจบุคคลยกตาชั่งขึ้นชั่งอยู่
ฉะนั้น. หลายบทว่า มุนิ เตน ปวุจฺจติ ความว่า ผู้นั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ' เป็นมุนี ' เพราะเหตุนั้น.
๑. ญาณอันสัมปยุตด้วยมรรค.

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 89 (เล่ม 43)

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องเดียรถีย์ จบ.

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 90 (เล่ม 43)

๙. เรื่องพรานเบ็ดชื่ออริยะ [๒๐๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพรานเบ็ด
ชื่ออริยะคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน อริโย โหติ"
เป็นต้น.
พรานเบ็ดต้องการให้พระศาสดาตรัสเรียกตนว่าอริยะ
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดา-
ปัตติมรรคของนายอริยะนั้น เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในบ้านใกล้ประตูด้านทิศ
อุดร แห่งกรุงสาวัตถี อันภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จมาแต่บ้านนั้น. ขณะนั้น
พรานเบ็ดนั้นตกปลาอยู่ด้วยเบ็ด เห็นภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ได้ทั้งคันเบ็ดยืนอยู่แล้ว.
พระศาสดาเสด็จกลับ ประทับยืนอยู่ ณ ที่ไม่ไกลพรานเบ็ดนั้น ตรัส
ถามชื่อของพระสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเถระเป็นต้นว่า " เธอชื่อไร ?
เธอชื่อไร ?" แม้พระสาวกเหล่านั้น ก็กราบทูลชื่อของตน ๆว่า " ข้า-
พระองค์ชื่อสารีบุตร, ข้าพระองค์ชื่อโมคคัลลานะ" เป็นต้น. พรานเบ็ด
คิดว่า " พระศาสดาย่อมตรัสถามชื่อสาวกทุกองค์, เห็นจักตรัสถามชื่อของ
เราบ้าง."
ลักษณะผู้เป็นอริยะและไม่ใช่อริยะ
พระศาสดาทรงทราบความปรารถนาของพรานเบ็ดนั้น จึงตรัสถาม
ว่า " อุบาสก เธอชื่อไร ?" เมื่อเขากราบทูลว่า " ข้าพระองค์ชื่ออริยะ
พระเจ้าข้า " ตรัสว่า " อุบาสก ผู้ที่ฆ่าสัตว์เช่นท่านจะชื่อว่าอริยะไม่ได้,

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 91 (เล่ม 43)

ส่วนผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียนมหาชนจึงจะชื่อว่าอริยะ" ดังนี้ แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๙. น เตน อริโย โหติ เยน ปาณาติ หึสติ
อหึสา สพฺพปาณานํ อริโยติ ปวุจฺจติ.
"บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะเหตุที่เบียด-
เบียนสัตว์; บุคคลที่เรากล่าวว่า ' เป็นอริยะ' เพราะ
ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหึสา ความว่า เพราะไม่เบียดเบียน.
มีคำอธิบายไว้เช่นนี้ว่า: " บุคคลไม่เป็นผู้ชื่อว่าอริยะ เพราะเหตุที่
เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย; ส่วนผู้ใดตั้งอยู่ไกลจากความเบียดเบียน เพราะ
ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงด้วยฝ่ามือเป็นต้น คือเพราะความที่ตนตั้งอยู่แล้ว
ในภาวนาเมตตาเป็นต้น, ผู้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ' อริยะ."
ในกาลจบเทศนา พรานเบ็ดตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. เทศนาได้
มีประโยชน์แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพรานเบ็ดชื่ออริยะ จบ.

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 92 (เล่ม 43)

๑๐. เรื่องภิกษุมากรูป [๒๐๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุมากรูป
ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น สีลพฺ-
พตมตฺเตน" เป็นต้น.
ได้ยินว่า บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
" พวกเรามีศีลสมบูรณ์แล้ว, พวกเราทรงซึ่งธุดงค์, พวกเราเป็นพหูสูต,
พวกเราอยู่ในเสนาสนะอันสงัด, พวกเราได้ฌาน, พระอรหัตพวกเราได้
ไม่ยาก, พวกเราจักบรรลุพระอรหัต ในวันที่พวกเราปรารถนานั่นเอง."
บรรดาภิกษุเหล่านั้น แม้ภิกษุผู้เป็นอนาคามีได้มีความคิดเช่นนี้ว่า " บัดนี้
พระอรหัตพวกเราได้ไม่ยาก. วันหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมดเข้าไปเฝ้า
พระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ อันพระศาสดาตรัสถามว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย กิจแห่งบรรพชิตของพวกเธอถึงที่สุดแล้วหรือหนอ ?" ต่างก็
กราบทูลอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เห็นปานนี้นี้;
เพราะฉะนั้น พวกข้าพระองค์จึงคิดว่า ' พวกเราสามารถเพื่อบรรลุพระ-
อรหัตในขณะที่ปรารถนาแล้ว ๆ นั่นเอง' ดังนี้แล้วอยู่."
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ชื่อว่าภิกษุจะเห็นว่า ' ทุกข์ในภพของพวกเราน้อย, ด้วยคุณ
สักว่าความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์เป็นต้น หรือด้วยคุณสักว่าความสุขของพระ-
อนาคามีไม่ควร, และยังไม่ถึงความสิ้นอาสวะ ไม่พึงให้ความคิดเกิดขึ้นว่า
' เราถึงสุขแล้ว " ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 93 (เล่ม 43)

๑๐. น สีลพฺพตมตฺเตน พาหุสจฺเจน วา ปน
อถวา สมาธิลาเภน วิวิตฺตสยเนน วา
ผุสามิ เนกฺขมฺมสุขํ อปุถุชฺชนเสวิตํ
ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ อปฺปตฺต อาสวกฺขยํ.
"ภิกษุ ภิกษุยังไม่ถึงอาสวักขัย อย่าเพิ่งถึงความ
วางใจ ด้วยเหตุสักว่าศีลและวัตร ด้วย ความเป็น
พหูสูต ด้วยอันได้สมาธิ ด้วยอันนอนในที่สงัด หรือ
(ด้วยเหตุเพียงรู้ว่า) ' เราถูกต้องสุขในเนกขัมมะ ซึ่ง
ปุถุชนเสพไม่ได้แล้ว."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลพฺพตมตฺเตน คือ ด้วยเหตุสักว่า
ปาริสุทธิศีล ๔ หรือสักว่าธุดงคคุณ ๑๓.
บทว่า พาหุสจฺเจน วา ความว่า หรือด้วยเหตุสักว่าความเป็นผู้
เรียนปิฎก ๓.
บทว่า สมาธิลาเภน ความว่า หรือด้วยอันได้สมาบัติ ๘.
บทว่า เนกฺขมฺมสุขํ คือ สุขของพระอนาคามี. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
อย่าเพิ่งถึงความวางใจ ด้วยเหตุมีประมาณเพียงรู้เท่านี้ว่า ' เราถูกต้องสุข
ของพระอนาคามี.'
บทว่า อปุถุชฺชนเสวิตํ ความว่า อันปุถุชนทั้งหลายเสพไม่ได้ คือ
อันพระอริยะเสพแล้วอย่างเดียว. ภิกษุเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ
ทรงทักภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ก็ตรัสว่า " ภิกษุ."

93