No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 64 (เล่ม 43)

บทว่า นิปฺปปญฺจา ความว่า ส่วนพระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้ชื่อว่า
ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะความที่พระองค์ตัดธรรมเครื่องเนิ่นช้า
ทั้งปวงได้ขาดแล้ว ที่ควงแห่งไม้โพธิ์นั่นแล.
ขันธ์ ๕ ชื่อว่าสังขาร, ในขันธ์ ๕ เหล่านั้น ขันธ์อย่างหนึ่งชื่อว่า
เที่ยง ไม่มี.
บทว่า อิญฺชิตํ ความว่า ก็ชนทั้งหลายพึงถือเอาว่า " สังขารทั้งหลาย
เป็นสภาพเที่ยง" ด้วยบรรดากิเลสชาตเครื่องหวั่นไหว คือตัณหามานะ
และทิฏฐิอันใด, แม้กิเลสชาตเครื่องหวั่นไหว้นั้นอย่างหนึ่งมิได้มีแก่พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย.
ในเวลาจบเทศนา สุภัททปริพาชกตั้งอยู่แล้วในอนาคามิผล. พระ-
ธรรมเทศนา ได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องสุภัททปริพาชก จบ.
มลวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ ๑๘ จบ.

64
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 65 (เล่ม 43)

คาถาธรรมบท
ธัมมัฏฐวรรคที่ ๑๙๑
ว่าด้วยอรรถกถาคดีที่ชอบธรรมของนักปราชญ์
[๒๙] ๑. บุคคลไม่ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม เพราะเหตุที่
นำคดีไปโดยความผลุนผลัน ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
วินิจฉัยคดีและไม่ใช่คดีทั้งสอง ย่อมนำบุคคลเหล่า
อื่นรูปโดยความละเอียดลออ โดยธรรมสม่ำเสมอ
ผู้นั้นอันธรรมคุ้มครองแล้ว เป็นผู้มีปัญญา เรากล่าว
ว่าตั้งอยู่ในธรรม.
๒. บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุเพียง
พูดมาก (ส่วน) ผู้มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย
เรากล่าวว่า เป็นบัณฑิต.
๓. บุคคลไม่ชื่อว่าทรงธรรม เพราะเหตุที่พูด
มาก ส่วนบุคคลใด ฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรม
ด้วยนามกาย บุคคลใดไม่ประมาทธรรม บุคคลนั้น
แลเป็นผู้ทรงธรรม.
๔. บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นเถระ เพราะมีผมหงอก
บนศีรษะ ผู้มีวัยแก่รอบแล้วนั้น เราเรียกว่า แก่เปล่า
(ส่วน) ผู้ใดมีสัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ และ
ทมะ ผู้นั้นแล ผู้มีมลทินอันคายแล้ว ผู้มีปัญญา
เรากล่าวว่า เป็นเถระ.
๑. วรรคนี้ มีอรรถกถา ๑๐ เรื่อง.

65
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 66 (เล่ม 43)

๕. นระผู้มีความริษยา มีความตระหนี่ โอ้อวด
จะชื่อว่าคนดี เพราะเหตุสักว่าทำการพูดจัดจ้าน หรือ
เพราะมีผิวกายงามก็หาไม่ ส่วนผู้ใดตัดโทสชาต มี
ความริษยาเป็นต้นนี้ได้ขาด ถอนขนให้รากขาด ผู้นั้น
มีโทสะอันคายแล้ว มีปัญญา เราเรียกว่า คนดี.
๖. ผู้ไม่มีวัตร พูดเหลาะแหละ ไม่ชื่อว่าสมณะ
เพราะศีรษะโล้น ผู้ประกอบด้วยความอยากและความ
โลภจะเป็นสมณะอย่างไรได้ ส่วนผู้ใดยังบาปน้อย
หรือใหญ่ ให้สงบโดยประการทั้งปวง ผู้นั้นเรากล่าวว่า
เป็นสมณะ เพราะยังบาปให้สงบแล้ว.
๗. บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเหตุที่ขอกะคน
พวกอื่นหามิได้ บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ ไม่
ชื่อว่าเป็นภิกษุ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ผู้ใดในศาสนานี้
ลอยบุญและบาปแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ ในโลก
ด้วยการพิจารณาเที่ยวไป ผู้นั้นแล เราเรียกว่า ภิกษุ.
๘. บุคคลเขลา ไม่รู้โดยปกติ ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิตถือธรรม
อันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตาชั่ง เว้นบาปทั้ง-
หลาย ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุนั้น ผู้ใดรู้อรรถทั้งสอง
ในโลก ผู้นั้นเรากล่าวว่า เป็นมุนี เพราะเหตุนั้น.
๙. บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะเหตุที่เบียด-
เบียนสัตว์ บุคคลที่กล่าวว่า เป็นอริยะ เพราะไม่
เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง.

66
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 67 (เล่ม 43)

๑๐. ภิกษุ ภิกษุยังไม่ถึงอาสวักขัย อย่าเพิ่งถึง
ความวางใจ ด้วยเหตุสักว่าศีลและวัตร ด้วยความ
เป็นพหูสูต ด้วยอันได้สมาธิ ด้วยอันนอนในที่สงัด
หรือ (ด้วยเหตุเพียงรู้ว่า) เราถูกต้องสุขในเนกขัมมะ
ซึ่งปุถุชนเสพไม่ได้แล้ว.
จบธัมมัฏฐวรรคที่ ๑๙

67
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 68 (เล่ม 43)

๑๙. ธัมมัฏฐวรรควรรณนา
๑. เรื่องมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย [๑๙๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมหาอำมาตย์
ผู้วินิจฉัย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ"
เป็นต้น.
พวกภิกษุเห็นมหาอำมาตย์รับสินบน
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกภิกษุเที่ยวบิณฑบาตในบ้านใกล้
ประตูด้านทิศอุดร แห่งนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตแล้วมาสู่วิหารโดย
ท่ามกลางพระนคร. ขณะนั้น เมฆใหญ่ตั้งขึ้นยังฝนให้ตกแล้ว. ภิกษุ
เหล่านั้น เข้าไปสู่ศาลาที่ทำการวินิจฉัยอันตั้งอยู่ตรงหน้า เห็นพวก
มหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัยรับสินบนแล้ว ทำเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ จึงคิด
ว่า " โอ ! มหาอำมาตย์เหล่านี้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม, แต่พวกเราได้มีความ
สำคัญว่า ' มหาอำมาตย์เหล่านี้ทำการวินิจฉัยโดยธรรม," เมื่อฝนหาย
ขาดแล้ว, มาถึงวิหาร ถวายบังคมพระศาสดานั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่งแล้ว
กราบทูลความนั้น.
ลักษณะบุคคลผู้ตั้งอยู่และไม่ตั้งอยู่ในธรรม
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัย เป็นผู้
ตกอยู่ในอำนาจอคติมีฉันทาคติเป็นต้น ตัดสินความโดยผลุนผลัน ไม่ชื่อว่า
เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม, ส่วนพวกที่ไต่สวนความผิดแล้ว ตัดสินความโดย
ละเอียดลออ ตามสมควรแก่ความผิดนั่นแหละ เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:-

68
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 69 (เล่ม 43)

๑. น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ เยนตฺถํ สหสา นเย
โย จ อตฺถํ อนตฺถญฺจ อุโภ นิจฺเฉยฺย ปณฺทิโต
อสาหเสน ธมฺเมน สเมน นยตี ปเร
ธมฺมสฺส คุตฺโต เมธาวี ธมฺมฏฺโฐติ ปวุจฺจติ.
" บุคคลไม่ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม เพราะเหตุที่นำ
คดีไปโดยความผลุนผลัน; ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต วินิจ-
ฉัยคดีและไม่ใช่คดีทั้งสอง ย่อมนำบุคคลเหล่าอื่นไป
โดยความละเอียดลออ โดยธรรมสม่ำเสมอ, ผู้นั้น
อันธรรมคุ้นครองแล เป็นผู้ปัญญา เรากล่าวว่า
"ตั้งอยู่ในธรรม."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน แปลว่า เพราะเหตุเพียงเท่านั้นเอง.
บทว่า ธมฺมฏฺโฐ ความว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรมเครื่องวินิจฉัย ที่
พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายจะพึงทรงกระทำด้วยพระองค์ ไม่เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่
ในธรรม. บทว่า เยน แปลว่า เพราะเหตุใด.
บทว่า อตฺถํ ความว่า ซึ่งคดีที่หยั่งลงแล้วอันควรตัดสิน.
สองบทว่า สหสา นเย ความว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอคติ๑มีฉันทาคติ
เป็นต้น ตัดสินโดยผลุนผลัน คือโดยกล่าวเท็จ. อธิบายว่า จริงอยู่ ผู้ใด
ตั้งอยู่ในความพอใจ กล่าวมุสาวาท ย่อมทำญาติหรือมิตรของตนซึ่งมิใช่
เจ้าของนั่นแลให้เป็นเจ้าของ, ตั้งอยู่ในความชัง กล่าวเท็จ ย่อมทำคน
ที่เป็นศัตรูของตนซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริงไม่ให้เป็นเจ้าของ, ตั้งอยู่ในความ
๑. อคติ ๔ คือ ๑. ฉันทาคติ ๒. โทสาคติ ๓. โมหาคติ ๔. ภยาคติ.

69
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 70 (เล่ม 43)

หลง รับสินบนแล้วในเวลาตัดสิน ทำเป็นเหมือนส่งจิตไปในที่อื่น แลดู
ข้างโน้นและข้างนี้ กล่าวเท็จ ย่อมนำบุคคลอื่นออกด้วยคำว่า " ผู้นี้ชำนะ,
ผู้นี้แพ้," ตั้งอยู่ในความกลัว ย่อมยกความชำนะให้ผู้เป็นใหญ่บางคนนั่นแล
แม้ที่ถึงความแพ้; ผู้นี้ ชื่อว่าย่อมนำคดีไปโดยความผลุนผลัน. ผู้นั้นไม่เป็น
ผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม.
บาทพระคาถาว่า โย จ อตฺถํ อนตฺถญฺจ ความว่า ซึ่งเหตุที่จริง
และไม่จริง. สองบทว่า อุโภ นิจฺเฉยฺย ความว่า ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
วินิจฉัยเหตุที่เป็นคดีและไม่เป็นคดีทั้งสองแล้วย่อมกล่าว.
บทว่า อสาหเสน คือ โดยไม่กล่าวเท็จ. ว่า ธมฺเมน แปลว่า
โดยธรรมเครื่องวินิจฉัย คือหาใช่โดยอำนาจอคติ มีฉันทาคติเป็นต้นไม่
บทว่า สเมน คือ ย่อมนำบุคคลเหล่าอื่นไป คือให้ถึงความชำนะหรือ
ความแพ้โดยสมควรแก่ความผิดนั่นเอง.
สองบทว่า ธมฺมสฺส คุตฺโต ความว่า ผู้นั้นอันธรรมคุ้มครองแล้ว
คืออันธรรมรักษาแล้ว ประกอบแล้วด้วยปัญญาอันรุ่งเรืองในธรรม ชื่อว่า
มีปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ผู้ตั้งอยู่ในธรรม" เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่
ในธรรมเครื่องวินิจฉัย.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย จบ.

70
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 71 (เล่ม 43)

๒. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ [๑๙๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุฉัพพัคคีย์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน ปณฺฑิโต โหติ " เป็นต้น.
ภิกษุฉัพพัคคีย์ทำโรงภัตให้อากูล
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวทำโรงภัตให้อากูลในวัดบ้าง ในบ้านบ้าง.
ครั้นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายถามภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้ทำภัตกิจในบ้าน
แล้วมา ว่า " ท่านผู้มีอายุ โรงภัตเป็นเช่นไร ?" ภิกษุหนุ่มและสามเณร
ตอบว่า " อย่าถามเลย ขอรับ," พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ กล่าวว่า ' พวกเรา
แหละเป็นผู้ฉลาด, พวกเราเป็นบัณฑิต จักประหารภิกษุเหล่านี้ โปรย
หยากเยื่อที่ศีรษะแล้วนำออกไป ' แล้วจับหลังพวกกระผมโปรยหยากเยื่อ
อยู่ ทำโรงภัตให้อากูล." ภิกษุทั้งหลาย ไปสู่สำนักพระศาสดาแล้ว กราบ
ทูลความนั้น.
ลักษณะบัณฑิตและไม่ใช่บัณฑิต
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกคนพูดมาก
เบียดเบียนผู้อื่นว่า ' เป็นบัณฑิต,' แต่เราเรียกคนที่มีความเกษม ไม่มีเวร
ไม่มีภัยเลยว่า " เป็นบัณฑิต " ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๒. น เตน ปณฺฑิโต โหติ ยาวตา พหุ ภาสติ
เขมี อเวรี อภโย ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ.
"บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุเพียงพูด
มาก; (ส่วน) ผู้มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย เรา
กล่าวว่า เป็นบัณฑิต."

71
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 72 (เล่ม 43)

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นต้น ความว่า บุคคลไม่
ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุที่พูดมากในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น, ส่วน
บุคคลใด ตนเองเป็นคนมีความเกษม ชื่อว่าไม่มีเวร เพราะเวร ๕ ไม่มี
ผู้ไม่มีภัย คือภัยย่อมไม่มีแก่มหาชน เพราะอาศัยบุคคลนั้น, ผู้นั้นชื่อว่า
" เป็นบัณฑิต" ดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.

72
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 73 (เล่ม 43)

๓. เรื่องพระเอกุทานเถระ [๑๙๖]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระขีณาสพ
ชื่อว่าเอกุทานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น ตาวตา ธมฺมธโร"
เป็นต้น
พวกเทวดาให้สาธุแก่เทศนาของพระเถระ
ได้ยินว่า พระเถระนั้น อยู่ในราวไพรแห่งหนึ่งแต่องค์เดียว. อุทาน
ที่ท่านช่ำชองมีอุทานเดียวเท่านั้นว่า:-
"ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิต
มั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางแห่งโมน-
ปฏิบัติ ผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ."
ได้ยินว่า ในวันอุโบสถ ท่านป่าวร้องการฟังธรรมเอง ย่อมกล่าว
คาถานี้. เสียงเทวดาสาธุการดุจว่าเสียงแผ่นดินทรุด. ครั้นวันอุโบสถวันหนึ่ง
ภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎก ๒ รูป มีบริวารรูปละ ๕๐๐ ได้ไปสู่ที่อยู่ของท่าน.
ท่านพอเห็นภิกษุเหล่านั้น ก็ชื่นใจ กล่าวว่า " ท่านทั้งหลายมาในที่นี้
เป็นอันทำความดีแล้ว, วันนี้ พวกกระผมจักฟังธรรมในสำนักของท่าน
ทั้งหลาย."
พวกภิกษุ. ท่านผู้มีอายุ ก็คนฟังธรรมในที่นี้ มีอยู่หรือ ?
พระเอกุทาน. มี ขอรับ, ราวไพรนี้ มีความบันลือลั่นเป็น
อันเดียวกัน เพราะเสียงเทวดาสาธุการในวันฟังธรรม.

73