No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 54 (เล่ม 43)

แม้ลูกสะใภ้ของเศรษฐีนั้น ถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว
ก็ตั้งความปรารถนาว่า "จำเดิมแต่นี้ไป ดิฉันไม่พึงพบเห็นฉาตกภัยเห็น
ปานนี้, อนึ่ง เมื่อดิฉันตั้งกระบุงข้าวเปลือกกระบุงหนึ่งไว้ข้างหน้า แม้ให้
อยู่ซึ่งภัตอันเป็นพืชแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ความหมดสิ้นไปอย่าปรากฏ.
ท่านทั้งสองนี้นั่นแหละจงเป็นแม่ผัวและพ่อผัว, ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นสามี.
ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นทาส (ของดิฉัน)." แม้ทาสของเศรษฐีนั้น ก็ถวาย
ส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ตั้งความปรารถนาว่า "จำเดิม
แต่นี้ไป ข้าพเจ้าไม่พึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้, คนเหล่านี้ทั้งหมดจง
เป็นนาย, และเมื่อข้าพเจ้าไถนาอยู่, รอย ๗ รอยประมาณเท่าเรือโกลน
คือ 'ข้างนี้ ๓ รอย ข้างโน้น ๓ รอย ในท่ามกลาง ๑ รอย, จงเป็นไป."
นายปุณณะนั้น ปรารถนาตำแหน่งเสนาบดีก็สามารถจะได้ในวันนั้นเทียว.
แต่ว่า ด้วยความรักในนายทั้งหลาย เขาจึงตั้งความปรารถนาว่า "คน
เหล่านี้นั่นแหละจงเป็นนายของข้าพเจ้า." ในที่สุดแห่งถ้อยคำของชน
ทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วกระทำ
อนุโมทนาด้วยคาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วคิดว่า "เรายังจิตของชน
ทั้งหลายเหล่านี้ให้เลื่อมใส ย่อมควร" จึงอธิษฐานว่า "ชนเหล่านี้ จง
เห็นเราจนถึงภูเขาคันธมาทน์" ดังนี้แล้วก็หลีกไป. แม้ชนเหล่านั้น ได้
ยืนแลดูอยู่เทียว. พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นไปแล้ว แบ่งภัตนั้นกับด้วย
พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์. ด้วยอานุภาพแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
ภัตนั้นเพียงพอแล้วแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด. ชนแม้เหล่านั้นได้ยืน
แลดูอยู่ทีเดียว.

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 55 (เล่ม 43)

อานิสงส์ของการถวายทาน
ก็เมื่อเวลาเที่ยงล่วงไปแล้ว ภรรยาเศรษฐีล้างหม้อข้าวแล้วปิดตั้งไว้,
ฝ่ายเศรษฐีถูกความหิวบีบคั้น นอนแล้วหลับไป. เศรษฐีนั้นตื่นขึ้นใน
เวลาเย็น กล่าวกะภรรยาว่า " นางผู้เจริญ ฉันหิวเหลือเกิน, ข้าวตัง๑
ก้นหม้อมีอยู่บ้างไหมหนอ ?" ภรรยานั้น แม้ทราบความที่ตนล้างหม้อตั้ง
ไว้แล้ว ก็ไม่กล่าวว่า " ไม่มี " " คิดว่าเราเปิดหม้อข้าวแล้วจึงจะบอก"
ดังนี้แล้ว จึงลุกขึ้นไปสู่ที่ใกล้หม้อข้าวแล้วเปิดหม้อข้าว.
ในขณะนั้นเอง หม้อข้าวเต็มด้วยภัต มีสีเช่นกับดอกมะลิตูม ได้
ดุนฝาละมีตั้งอยู่แล้ว. ภรรยานั้นเห็นภัตนั้นแล้ว เป็นผู้มีสรีระอันปิติถูก
ต้องแล้ว กล่าวกะเศรษฐีว่า " จงลุกขึ้นเถิดนาย, ดิฉันล้างหม้อข้าวปิด
ไว้, แต่หม้อข้าวนั้นนั่นเต็มด้วยภัต มีสีเช่นกับด้วยดอกมะลิตูม, ชื่อว่า
บุญทั้งหลายควรที่จะกระทำ, ชื่อว่าทานควรจะให้; ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด
นาย, บริโภคเสียเถิด." ภรรยานั้นได้ให้ภัตแก่บิดาและบุตรทั้งสองแล้ว.
เมื่อบิดาและบุตรนั้นบริโภคเสร็จแล้ว นางนั่งบริโภคกับด้วยลูกสะใภ้แล้ว
ได้ให้ภัตแก่นายปุณณะ. ที่แห่งภัตอันชนเหล่านั้นตักแล้ว ๆ ย่อมไม่สิ้น
ไป. ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักด้วยทัพพีคราวเดียวเท่านั้น.
ในวันนั้นนั่นแล ฉางเป็นต้น ก็กลับเต็มแล้วโดยทำนองที่เต็มใน
ก่อนนั่นแล. นางให้กระทำการโฆษณาในเมืองว่า " ภัตเกิดขึ้นแล้วใน
เรือนของเศรษฐี, ผู้มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นพืชจงมารับเอา."
มนุษย์ทั้งหลาย ถือเอาภัตอันเป็นพืชจากเรือนของเศรษฐีนั้นแล้ว. แม้
ชาวชมพูวีปทั้งสิ้น ก็อาศัยเศรษฐีนั้น ได้ชีวิตแล้วนั่นแล.
๑. เมล็ดข้าวอันไฟไหม้ทั้งหลาย.

55
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 56 (เล่ม 43)

เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร
เศรษฐีนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยว
อยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสกุลเศรษฐี
ในภัททิยนคร. แม้ภรรยาของเขาบังเกิดในสกุลมีโภคะมาก เจริญวัยแล้ว
ก็ได้ไปสู่เรือนของท่านเศรษฐีนั้นนั่นเอง. แพะทั้งหลายมีประการดังกล่าว
แล้ว อาศัยกรรมในกาลก่อนของเศรษฐีนั้นผุดขึ้นแล้วที่ภายหลังเรือน,
แม้บุตรก็ได้เป็นบุตรของท่านเหล่านั้นแหละ, หญิงสะใภ้ก็ได้เป็นหญิง
สะใภ้เหมือนกัน, ทาสก็ได้เป็นทาสเทียว. ต่อมาวันหนึ่ง ท่านเศรษฐีใคร่
จะทดลองบุญของตน จึงให้คนชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง สนานศีรษะแล้ว
นั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบน. ฉางแม้ทั้งหมดเต็มแล้วด้วยข้าวสาลีแดง
มีประการดังกล่าวแล้ว. เศรษฐีนั้นใคร่จะทดลองบุญแม้ของชนที่เหลือ
จึงกล่าวกะภรรยาและบุตรเป็นต้นว่า "เธอทั้งหลาย จงทดลองบุญแม้ของ
พวกเธอเถิด." ลำดับนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น ประดับแล้วด้วยเครื่อง
อลังการทั้งปวง, เมื่อมหาชนกำลังแลดูอยู่นั้นแล, ใช้ให้คนตวงข้าวสาร
ทั้งหลาย ให้หุงข้าวสวยด้วยข้าวสารเหล่านั้น นั่งบนอาสนะอันเขาปูลาด
แล้วที่ซุ้มประตู ถือทัพพีทองคำแล้วให้ป่าวร้องว่า "ผู้มีความต้องการด้วย
ภัตจงมา แล้วได้ให้จนเดิมภาชนะที่ชนผู้มาแล้ว ๆ รับเอา. เมื่อนาง
นั้นให้อยู่แม้จนหมดวัน ก็ปรากฏเฉพาะตรงที่ ตักด้วยทัพพีเท่านั้น. ก็
ปทุมลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างซ้าย, จันทรลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างขวา,
เพราะนางจับหม้อข้าวด้วยมือซ้าย จับทัพพีด้วยมือขวา แล้วถวายภัตจน
เต็มบาตรของภิกษุสงฆ์ แม้ของพระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย ด้วย
ประการดังนี้แล. ก็เพราะเหตุที่นางถืออาธมกรกกรองน้ำถวายแก่ภิกษุสงฆ์

56
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 57 (เล่ม 43)

เที่ยวไป ๆ มา ๆ; ฉะนั้นจันทรลักษณะจึงเกิดเต็มฝ่าเท้าเบื้องขวาของนาง,
ปทุมลักษณะจึงเกิดจนเต็มฝ่าเท้าเบื้องซ้ายของนางนั้น. เพราะเหตุนี้
ญาติทั้งหลายจึงขนานนามของนางว่า " จันทปทุมา."๑
แม้บุตรของเศรษฐีนั้น สนานศีรษะแล้ว ถือเอาถุงกหาปณะพันหนึ่ง
กล่าวว่า " ผู้มีความต้องการด้วยกหาปณะทั้งหลายจงมา" แล้วได้ให้จน
เต็มภาชนะที่ชนผู้มาแล้ว ๆ รับเอา. กหาปณะพันหนึ่งก็คงมีอยู่ในถุงนั่น
เอง. แม้ลูกสะใภ้ของเศรษฐีนั้น ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือ
เอากระบุงข้าวเปลือกแล้ว นั่งที่กลางแจ้ง กล่าวว่า " ผู้มีความต้องการ
ด้วยภัตอันเป็นพืช จงมา" แล้วได้ให้จนเต็มภาชนะที่ชนผู้มาแล้ว ๆ
รับเอา. กระบุง (ข้าวเปลือก) ก็คงเต็มอยู่ตามเดิมนั่นเอง. แม้ทาสของ
เศรษฐีนั้น ประดับแล้วด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เทียมโคทั้งหลายที่
แอกทองคำด้วยเชือกทองคำถือเอาด้ามปฏักทองคำ ให้ของหอมอันบุคคล
พึงเจิมด้วยนิ้วทั้ง ๕ แก่โดยทั้งหลาย สวมปลอกทองคำที่เขาทั้งหลาย ไปสู่
นาแล้วขับไป. รอย ๗ รอยคือ " ข้างนี้ ๓ รอย ข้างโน้น ๓ รอย ใน
ท่ามกลาง ๑ รอย " ได้แตกแยกกันไปแล้ว. ชาวชมพูทวีปถือเอาสิ่งของ
บรรดาภัต พืช เงินทองเป็นต้น ตามที่ตนชอบใจจากเรือนของเศรษฐี
เท่านั้น.
เศรษฐีผู้มีอานุภาพมากอย่างนั้น สดับว่า " ได้ยินว่า พระศาสดา
เสด็จมาแล้ว" จึงคิดว่า " เราจักกระทำการรับเสด็จพระศาสดา" ออก
ไปอยู่ พบพวกเดียรถีย์ในระหว่างทาง, แม้ถูกพวกเดียรถีย์เหล่านั้นห้าม
๑. หมายความว่า มีลักษณะเหมือนพระจันทร์และดอกปทุม.

57
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 58 (เล่ม 43)

อยู่ว่า " คฤหบดี ท่านเป็นผู้กิริยวาทะ๑ จะไปสู่สำนักของพระสมณโคดม
ผู้เป็นอกิริยวาทะ๓ เพราะเหตุไร ? ก็มิได้เชื่อถ้อยคำของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น
เทียว ไปแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
โทษของคนอื่นเห็นได้ง่าย
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุบุพพีกถาแก่เศรษฐีนั้น. ในเวลาจบ
เทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปัตติผล แล้วกราบทูลความที่ตนถูกพวก
เดียรถีย์กล่าวโทษแล้วห้ามไว้แด่พระศาสดา. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะ
ท่านเศรษฐีนั้นว่า " คฤหบดี ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่านั้นย่อมไม่เห็นโทษของตน
แม้มาก, ย่อมโปรยโทษของชนเหล่าอื่นแม้ไม่มีอยู่กระทำให้มี ราวกะบุคคล
โปรยแกลบขึ้นในที่นั้น ๆ ฉะนั้น " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
๑๐. สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถาภุสํ
อตฺตโน ปน ฉาเหติ กลึว กิตวา สโฐ.
"โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นได้ง่าย, ฝ่ายโทษ
ของตนเห็นได้ยาก; เพราะว่า บุคคลนั้น ย่อมโปรย
โทษของบุคคลเหล่าอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ,
แต่ว่าย่อมปกปิด (โทษ) ของตน เหมือนพรานนก
ปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิดฉะนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุทสฺสํ ความว่า โทษคือความพลั้ง-
๑. ผู้กล่าวว่า กรรมอันบุคคลทำแล้ว ชื่อว่าเป็นอันทำ. ๒. ผู้กล่าวว่า กรรมอันบุคคลทำแล้ว
ว่า ไม่เป็นอันทำ.

58
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 59 (เล่ม 43)

พลาดของบุคคลอื่น แม้มีประมาณน้อย อันบุคคลเห็นได้ง่าย คืออาจเพื่อ
จะเห็นได้โดยง่ายทีเดียว, ส่วนโทษของตน แม้ใหญ่ยิ่งอันบุคคลเห็นได้ยาก.
บทว่า ปเรสํ หิ ความว่า เพราะเหตุนั้นนั่นแล บุคคลนั้นย่อม
โปรยโทษทั้งหลายของชนเหล่าอื่นในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น เหมือนบุคคล
ยืนบนที่สูงแล้วโปรยแกลบลงอยู่ฉะนั้น.
อัตภาพชื่อว่า กลิ ด้วยสามารถที่ประพฤติผิดในนกทั้งหลาย ในคำ
ว่า กลึว กิตวา สโฐ๑ นี้.
เครื่องปกปิด มีกิ่งไม้ที่พอหักได้เป็นต้น ชื่อว่า กิตวา (ในคำว่า
" กิตวา" นี้ ).
นายพราน ชื่อว่า สโฐ (ในคำว่า "สโฐ" นี้.) อธิบายว่า
นายพรานนกประสงค์จะจับนกฆ่า ย่อมปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิด
ฉันใด, บุคคลย่อมปกปิดโทษของตนฉันนั้น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องเมณฑกเศรษฐี จบ.
๑. แก้อรรถตอนนี้ บางอาจารย์เห็นว่าใช้วินิจฉัย.

59
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 60 (เล่ม 43)

๑๑. เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ [๑๙๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระ
รูปหนึ่งชื่อ อุชฌานสัญญี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปรวชฺชานุ-
ปสฺสิสฺส" เป็นต้น.
คุณวิเศษให้เกิดแก่ผู้เพ่งโทษผู้อื่น
ได้ยินว่า พระเถระนั้นเที่ยวแส่หาแต่โทษของภิกษุทั้งหลายเท่านั้น
ว่า " ภิกษุนี้ ย่อมนุ่งอย่างนี้, ภิกษุนี้ ย่อมห่มอย่างนี้." พวกภิกษุ
กราบทูลแด่พระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระชื่อโน้น ย่อม
กระทำอย่างนี้."
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในข้อวัตรกล่าว
สอนอยู่อย่างนี้ ใคร ๆ ไม่ควรติเตียน, ส่วนภิกษุใด แสวงหาโทษของ
ชนเหล่าอื่น เพราะความมุ่งหมายในอันยกโทษ กล่าวอย่างนี้แล้วเที่ยวไป
อยู่, บรรดาคุณวิเศษมีฌานเป็นต้น คุณวิเศษแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิด
ขึ้นแก่ภิกษุนั้น. อาสวะทั้งหลายเท่านั้น ย่อมเจริญอย่างเดียว" ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
๑๑. ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา.
"อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ผู้คอย
ดูโทษของบุคคลอื่น ผู้มีความมุ่งหมายในอันยกโทษ
เป็นนิตย์, บุคคลนั้น เป็นผู้ไกลจากความสิ้นไปแห่ง
อาสวะ."

60
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 61 (เล่ม 43)

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชฺฌานสญฺญิโน ความว่า บรรดา
ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ธรรมแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เจริญแก่บุคคลผู้
ชื่อว่ามากไปด้วยการยกโทษ เพราะความเป็นผู้แส่หาโทษของชนเหล่าอื่น
ว่า "ควรนุ่งอย่างนั้น, ควรห่มอย่างนี้" เป็นต้น โดยที่แท้อาสวะทั้งหลาย
ย่อมเจริญ; เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้อยู่ไกล คือแสนไกล
จากความสิ้นไปแห่งอาสวะ กล่าวคือพระอรหัต.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ จบ.

61
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 62 (เล่ม 43)

๑๒. เรื่องสุภัททปริพาชก [๑๙๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา ผทมแล้วบนพระแท่นเป็นที่ปรินิพพาน ในสาลวัน
ของเจ้ามัลละทั้งหลาย อันเป็นที่แวะพัก ใกล้พระนครกุสินารา ทรง
ปรารภปริพาชกชื่อว่าสุภัททะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อากาเสว ปทํ
นตฺถิ" เป็นต้น.
บุรพกรรมของสุภัททะ
ได้ยินว่า ในอดีตกาล สุภัททปริพชกนั้น เมื่อน้องชายให้ทานอัน
เลิศถึง ๙ ครั้ง ในเพราะข้าวกล้าครั้งหนึ่ง, ไม่ปรารถนาเพื่อจะให้ ท้อถอย
แล้ว ได้ให้ในกาลเป็นที่สุด.
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้เพื่อจะเฝ้าพระศาสดา ทั้งในปฐมโพธิกาล
ทั้งในมัชฌิมโพธิกาล, แต่ว่าในปัจฉิมโพธิกาล ในเวลาเป็นที่ปรินิพพาน
แห่งพระศาสดา คิดว่า "เราถามความสงสัยของตน ในปัญหา ๓ ข้อ
กะปริพาชกทั้งหลายซึ่งเป็นคนแก่ ไม่ถามกะพระสมณโคดม ด้วยความ
สำคัญว่า ' เป็นเด็ก,' ก็บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานของพระสมณโคดมนั้น,
วิปฏิสารพึงบังเกิดแก่เราในภายหลัง เพราะเหตุไม่ถามพระสมณโคดม"
แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แม้ถูกพระอานนทเถระห้ามอยู่ เข้าไปแล้วสู่
ภายในม่าน เพราะความที่พระศาสดาทรงกระทำโอกาสแล้ว ตรัสว่า
"อานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะเลย, สุภัททะจงถามปัญหากะเรา" จึงนั่ง
ใกล้ข่างล่างเตียงทูลถามปัญหาเหล่านี้ว่า " ข้าแต่พระสมณะผู้เจริญ ชื่อว่า
รอยเท้าในอากาศ มีอยู่หรือหนอแล ? ชื่อว่าสมณะภายนอกแต่ศาสนานี้
มีอยู่หรือ ? สังขารทั้งหลายชื่อว่าเที่ยง มีอยู่หรือ ? "

62
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 63 (เล่ม 43)

พระศาสดาทรงแก้ปัญหาของสุภัททะ
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกความไม่มีแห่งรอยเท้า
ในอากาศเป็นต้นเหล่านั้นแก่เขา จึงทรงแสดงธรรมด้วยพระคาถาเหล่านั้น
ว่า:-
๑๒. อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปญฺจาภิรตา ปชา นิปฺปปญฺจา ตถาคตา.
อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิตํ.
"รอยเท้าในอากาศนั่นเทียว ไม่มี; สมณะภาย
นอก ไม่มี; หมู่สัตว์เป็นผู้ยินดียิ่งแล้วในธรรมเครื่อง
เนิ่นช้า, พระตถาคตทั้งหลาย ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า
รอยเท้าในอากาศนั่นเทียวไม่มี, สมณะภายนอก
ไม่มี, สังขารทั้งหลาย (ชื่อว่า) เที่ยง ไม่มี, กิเลสชาต
เครื่องหวั่นไหว ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทํ ความว่า ชื่อว่ารอยเท้าแห่งสัตว์ไร ๆ
อันบุคคลพึงบัญญัติว่า " มีรูปอย่างนี้" ด้วยสามารถแห่งสีและสัณฐาน
ในอากาศนี้ ไม่มี.
บทว่า พาหิโร ความว่า ชื่อว่าสมณะผู้ดำรงอยู่ในมรรคและผล
ภายนอกแต่ศาสนาของเรา ไม่มี.
บทว่า ปชา ความว่า หมู่สัตว์ กล่าวคือสัตวโลกนี้ ยินดียิ่งแล้ว
ในธรรมเครื่องเนิ่นช้ามีตัณหาเป็นต้นเท่านั้น.

63