หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 924 (เล่ม 3)

สองบทว่า พหิติโยชนํ ปาเตติ มีความว่า โยนออกไปภายนอก
๓ โยชน์. เมื่อขนเจียมจะตกไปโดยไม่มีอันตราย พอพ้นจากมือ เป็น
นิสสัคคีย์ยปาจิตตีย์มากตัวตามจำนวนเส้นขน. ถ้าขนเจียมที่โยนไปนั้น
กระทบที่ต้นไม้ หรือเสาในภายนอก ๓ โยชน์แล้วตกลงภายใน (๓ โยชน์)
อีก ยังไม่ต้องอาบัติ. ถ้าห่อขนเจียม ตกลงฟื้นหยุดแล้วกลิ้งไป กลับ
เข้ามาภายใน ( ๓ โยชน์) อีก เป็นอาบัติแท้.
ภิกษุยืนข้างในเอามือ หรือเท้า หรือไม้เท้ากลิ้งไป, ห่อขนเจียม
จะหยุด หรือไม่หยุดก็ตาม กลิ้งออกไป, เป็นอาบัติเหมือนกัน. ภิกษุ
วางไว้ด้วยตั้งใจว่า คนอื่นจักนำไป, แม้เมื่อคนนั้นนำขนเจียมไปเป็น
อาบัติเหมือนกัน. ขนเจียมที่ภิกษุวางไว้ด้วยจิตบริสุทธิ์ลมพัดไปหรือคนอื่น
ให้ตกไป ในภายนอกโดยธรรมดาของตน เป็นอาบัติเหมือนกัน เพราะ
ภิกษุมีอุตสาหะ และเพราะสิกขาบทเป็นอจิตตกะ. แต่ในกุรุนทีเป็นต้น
ท่านกล่าวอนาบัติไว้ ในเพราะขนเจียมที่ถูกลมพัดไป หรือบุคคลอื่นให้
ตกไปภายนอกนี้, อนาบัติที่ท่านกล่าวไว้นั้น ไม่สมด้วยบาลีแห่งอนา-
ปัตติวาร.
ภิกษุกระทำห่อทั้งสองข้างให้เนื่องเป็นอันเดียวกัน เมื่อวางไว้ให้
ห่อหนึ่งอยู่ภายในเขตแดน อีกห่อหนึ่งให้อยู่ในภายนอกเขตแดน, ยัง
รักษาอยู่ก่อน. แม้ในหาบที่เนื่องเป็นอัน เดียวกัน ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
แต่ถ้าว่าขนเจียมเป็นเพียงแต่ภิกษุวางไว้ที่ปลายหาบมิได้ผูกเลย, ย่อมคุ้ม
อาบัติไม่ได้. เมื่อภิกษุสับเปลี่ยนแม้ขนเจียมที่เนื่องเป็นอันเดียวกันไปวาง
ไว้แทน ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน.
ในคำว่า อญฺญสฺส ยาเน วา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุวางไว้บน

924
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 925 (เล่ม 3)

ยาน หรือบนหลังช้างเป็นต้น ซึ่งกำลังไป ด้วยตั้งใจว่า เมื่อเจ้าของเขา
ไม่รู้เลย มันจักนำไปเอง, เมื่อยานนั้น ล่วงเลย ๓ โยชน์ ไปเป็นอาบัติ
ทันที. แม้ในยานที่จอดอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็ถ้าว่า ภิกษุวาง
ขนเจียมไว้บนยาน หรือบนหลังช้างเป็นต้นที่ไม่ไป แล้วขึ้นขับขี่ไป หรือ
ไปเตือนภายใต้ (ให้ไป) หรือเรียกให้ (จอดอยู่) ติดตามไป, ไม่เป็นอาบัติ
เพราะพระบาลีว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป. แต่ในกุรุนทีเป็นต้นท่าน
กล่าวว่า เป็นอาบัติ. คำนั้นไม่สมด้วยคำนี้ว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป.
ก็ในอทินนาทานเป็นอาบัติในเพราะสุงกฆาฏ (ตระบัดภาษี). แท้จริง
อาบัติใด ในอทินนาทานนั้น, อาบัตินั้น เป็นอนาบัติในสิกขาบทนี้,
อาบัติใดในสิกขาบทนี้, อาบัตินั้น เป็นอนาบัติในอทินนาทานนั้น.
ภิกษุไปถึงสถานที่นั้นส่งใจไปอื่น หรือถูกพวกโจรเป็นต้นรบกวน
เลยไปเสียก็ดี, เป็นอาบัติเหมือนกัน . พึงทราบจำนวนอาบัติ ตามจำนวน
เส้นขนในฐานะทั้งปวง.
หลายบทว่า ติโยชนํ วาสาธิปฺปาโย คนฺตฺวา ตโต ปรํ หรติ มี
ความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำไป แม้ตั้งร้อยโยชน์อย่างนี้ คือเพราะ
ไม่ได้อุเทศและปริปุจฉาเป็นต้น ในที่ที่คนไปแล้ว ภิกษุจึงไปในที่อื่นต่อ
จากที่นั้น, ไปในที่อื่นแม้จากที่นั้น.
สองบทว่า อจฺฉินฺนํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า พวกโจรชิงเอาขนเจียม
นั้นไป รู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้วคืนให้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำขนเจียม
นั้นไป.
สองบทว่า นิสฺสฏฺฐํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า ได้ขนเจียมที่ทำวินัย-
กรรมแล้วคืนมา.

925
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 926 (เล่ม 3)

บทว่า กตภณฺฑํ มีความว่า ขนเจียมที่เขาทำเป็นสิ่งของ มีผ้า
กัมพล พรม และสันถัตเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่สุดแม้เพียงมัด
ด้วยเส้นด้าย. อนึ่ง ภิกษุใด สอดขนเจียมลงในระหว่างถลกบาตรบาง ๆ
ก็ดี ในหลืบผ้ารัดเข่า ผ้าอังสะ และประคดเอวเป็นต้นก็ดี ในฝักมีด เพื่อ
ป้องกันสนิมกรรไกรเป็นต้นก็ดี โดยที่สุดอาพาธเป็นลม ยอนขนเจียมไว้
แม้ในช่องหูแล้วเดินไปเป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้นเหมือนกัน, แต่ขนเจียมที่มัด
ด้วยด้ายใส่ไว้ (ในระหว่างรองเท้าและถลกบาตรเป็นต้น) ย่อมตั้งอยู่ใน
ฐานะแห่งขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของ. ภิกษุทำให้เป็นช้องผมแล้วนำไป, นี้
ชื่อว่าทางเลี่ยงเก็บ, เป็นอาบัติเหมือนกัน. คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น เอฬกโลมสิกขาบทนี้ ชื่อว่าเอฬกโลม-
สมุฏฐาน (มีขนเจียมเป็นสมุฏฐาน) ย่อมเกิดขึ้น ทางกาย ๑ ทางกายกับ
จิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม
มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
เอฬกโลมสิกขาบทที่ ๖ จบ
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๗
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๑๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโคร-
ธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แถบสักกชนบท ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์
ใช้ภิกษุณีซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียม ภิกษุณีทั้งหลายมัว

926
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 927 (เล่ม 3)

สาละวนซัก ย้อม สาง ขนเจียมอยู่ จึงละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล
อธิจิต อธิปัญญา
ครั้งนั้นแล พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เสด็จเข้าเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ณ พุทธสำนัก ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้ประทับยืน ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้ประทับอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแลว่า ดุก่อนพระโคตมี พวกภิกษุณียังเป็นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่หรือ
พระนางกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ความไม่ประมาทของพวก
ภิกษุณีจักมีแต่ไหน เพราะพระผู้เป็นเจ้าเหล่าฉัพพัคคีย์ใช้ภิกษุณีซักบ้าง
ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียม ภิกษุณีทั้งหลายมัวสาละวนซัก ย้อม สาง
ขนเจียมอยู่ จึงละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว พระนางถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ หลีกไปแล้ว
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ใน
เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม
พระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอใช้ภิกษุณีซักบ้าง
ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียมจริงหรือ
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

927
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 928 (เล่ม 3)

พ. เขาเป็นญาติของพวกเธอ หรือมิใช่ญาติ
ฉ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย การ
กระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของ
สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ภิกษุผู้มิใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำที่
สมควรหรือไม่สมควร อาการที่น่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส ของ
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเธอยังใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ให้ซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียมได้ การกระทำของพวก
เธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำ
ของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้
แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุง
ง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการ
ที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

928
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 929 (เล่ม 3)

ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่
ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ-
ยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๓๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด ยังภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้
ย้อมก็ดี ให้สางก็ดี ซึ่งขนเจียม เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๑๐๒] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการ
งานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะ
ก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า อนึ่ง...ใด.

929
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 930 (เล่ม 3)

บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ
อรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ
โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ-
อรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็น
พระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน
อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดา
ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตตถ-
กรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ใน
อรรถนี้
ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี
ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก
ที่ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ภิกษุสั่งว่า จงซัก ต้องอาบัติทุกกฏ ขนเจียมที่ซักแล้ว เป็น
นิสสัคคีย์
ภิกษุสั่งว่า จงย้อม ต้องอาบัติทุกกฏ ขนเจียมที่ย้อมแล้ว เป็น
นิสสัคคีย์
ภิกษุสั่งว่า จงสาง ต้องอาบัติทุกกฏ ขนเจียมที่สางแล้ว เป็น
นิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละะแก่สงฆ์ คณะ หรือบุศคล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละขนเจียมนั้นอย่างนี้:-

930
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 931 (เล่ม 3)

วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า
ภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ซักแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่สงฆ์
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมี
ชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่ง
ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบ-
เท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ซักแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน
ทั้งหลาย
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อนี้
เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่ง

931
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 932 (เล่ม 3)

ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุ
มีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่ง
กระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
ท่าน ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ
พึงคืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน
ดังนี้.
บทภาชนีย์
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๑
[๑๐๓] ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ซึ่งขน
เจียมเป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้สาง ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ให้สาง
ซึ่งขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์

932
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 933 (เล่ม 3)

สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๒
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม
เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้สาง ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กันนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้สาง ให้
ซัก ซึ่งขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๓
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ซึ่งขนเจียม
เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ซัก ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ย้อม ซึ่ง
ขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ซัก ให้ย้อม
ซึ่งขนเจียม ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์
สงสัย จตุกกะ
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ซึ่งขนเจียม เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์

933