หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 914 (เล่ม 3)

ภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่พึงให้กุลบุตรบวช, ภิกษุใดพึงให้บวช,
ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ! อย่างไร
กันน๊ะ เธอยังเป็นผู้ที่คนอื่นควรโอวาทควรพร่ำสอน จักสำคัญเพื่อจะ
โอวาท เพื่อจะพร่ำสอนผู้อื่น จึงคิดว่า พระศาสดาทรงอาศัยบริษัท
ของเราได้ทรงประทานการตำหนิแก่เรา, บัดนี้ เรานั้นจักยังพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าให้เปล่งพระสุรเสียงดุจพรหม ด้วยพระพักตร์อันบริบูรณ์ด้วย
อาการทุกอย่าง มีสิริดังพระจันทร์เพ็ญนั้นนั่นแล แล้วจักให้ประทาน
สาธุการ เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ เป็นกุลบุตรผู้มีหทัยงามเดินทาง
ล่วงไปได้ ๑๐๐ กว่าโยชน์ ได้แนะนำบริษัท เป็นผู้อันภิกษุประมาณ
๕๐๐ รูปแวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก. เพราะเหตุนั้น
พระธรรมสังคีติกาจารย์จงกล่าวว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ
เป็นต้น. จริงอยู่ ใคร ๆ ไม่อาจจะให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดปราน
ได้โดยประการอื่นนอกจากวัตรสมบัติ.
ข้อว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน มีความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้
หมดความระแวง เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยวัตรสมบัติ จึงนั่งในที่ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจสีหะนั่งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งภูเขาทองฉะนั้น.
บทว่า เอตทโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ เพื่อยก
เรื่องราวขึ้น.
ข้อว่า มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ !
ผ้าบังสุกุลเหล่านี้เป็นที่ชอบใจของเธอหรือ ? คือ เธอถือตามความชอบใจ
ตามความพอใจของตนหรือ ?

914
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 915 (เล่ม 3)

ด้วยคำว่า น โข เม ภนฺเต มนาปานิ นี้ ภิกษุนั้นย่อมแสดง
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถือตามความชอบใจตาม
ความพอใจของตน คือ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ถูกอุปัชฌาย์ให้ถือดุจบุคคล
ถูกบังคับให้ถือด้วยการบีบคอ และด้วยการตีที่กระหม่อมฉะนั้น.
บทว่า ปญฺญายิสฺสติ มีความว่า จักเป็นผู้ปรากฏ คือ เป็นผู้มี
ชื่อเสียง. มีคำอธิบายว่า จักปรากฏในกติกานั้น.
ข้อว่า น มยํ อปฺปญฺญตฺตํ ปญฺญาเปสฺสาม มีความว่า เรา
ทั้งหลายชื่อว่าเป็นสาวก จักไม่บัญญัติข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรง
บัญญัติไว้. จริงอยู่ วิสัย คือการบัญญัติสิกขาบทที่มิได้ทรงบัญญัติ หรือ
การถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว โดยนัยว่า ปาจิตตีย์ ทุกกฏ เป็นต้น
นี้เป็นพุทธวิสัย.
ด้วยบทว่า สมาทาย นี้ พระอุปเสนะ แสดงว่า เราทั้งหลาย
จักสมาทานสิกขาบทนั้น ๆ แล้วรับว่า ดีละ โดยดี ดังนี้แล้วจักศึกษาใน
สิกขาบททั้งปวง ตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระหฤทัยโปรดปรานแล้ว ได้ทรงกระทำสาธุการแม้อีก แก่พระ-
อุปเสนะนั้นว่า ดีละ ดีละ.
บทสนธิว่า อนุญฺญาตาวโส ตัดบทว่า อนุญฺญาตํ อาวุโส
แปลว่า (ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว).
บทว่า ปิหนฺตา แปลว่า กระหยิ่มอยู่.
สองบทว่า สนฺถตานิ อุชฺฌิตฺวา มีความว่า ละทิ้งสันถัตทั้งปวง
แล้ว เพราะเป็นผู้มีความสำคัญในสันถัตว่า เป็นจีวรผืนที่ ๕.

915
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 916 (เล่ม 3)

ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ มีความว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตรเห็นสันถัตทั้งหลายเกลื่อนกลาด แล้วทรง
ดำริว่า ไม่มีเหตุในการที่จะยังศรัทธาไทยให้ตกไป, เราจักแสดงอุบายใน
การใช้สอย แก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วทรงกระทำธรรมีกถาตรัสเตือนภิกษุ
ทั้งหลาย.
ข้อว่า สกึ นิวตฺถํปิ สกึ ปารุตํปิ ได้แก่ นั่งและนอนแล้ว
ครั้งเดียว.
บทว่า สามนฺตา มีความว่า พึงถือเอาโดยประการที่ที่ตนตัดเอา
เป็นวงกลม หรือเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสจากชายข้างหนึ่ง จะมีประมาณคืบหนึ่ง.
แต่ภิกษุเมื่อจะลาดพึงลาดลงในเอกเทศ หรือชีออกแล้วลาดให้ผสมกัน
โดยนัยดังกล่าวในบาลีนั่นเทียว. สันถัตที่ภิกษุหล่อแล้วอย่างนี้ จะเป็น
ของมั่นคงยิ่งขึ้น. คำทีเหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. สมุฏฐานเป็นต้น แห่ง
สิกขาบทนี้ เป็นเช่นเดียวกับเทวภาคสิกขาบท เพราะเป็นทั้งกิริยา
ฉะนี้แล.
นิสีทนสันถตสิกขาบทที่ ๕ จบ
ก็ในสันถัต ๕ ชนิดเหล่านี้ สันถัต ๓ ชนิดข้างต้น ผู้ศึกษาพึงทราบ
ว่า กระทำวินัยกรรมแล้วได้มา ไม่ควรใช้สอย, ๒ ชนิดข้างหลังทำ
วินัยกรรมแล้วได้มา จะใช้สอย ควรอยู่.

916
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 917 (เล่ม 3)

โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๖
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๙๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถี แถบโกศลชนบท ขนเจียม
เกิดขึ้นแก่เธอในระหว่างทาง จึงภิกษุนั้นได้ผ้าเอาผ้าอุตราสงค์ห่อขนเจียม
เหล่านั้นเดินไป
ชาวบ้านเห็นภิกษุนั้นแล้วพูดสัพยอกว่า ท่านเจ้าข้า ท่านซื้อขนเจียม
มาด้วยราคาเท่าไร กำไรจักมีสักเท่าไร
ภิกษุรูปนั้นถูกชาวบ้านพูดสัพยอกได้เป็นผู้เก้อ ครั้นเธอไปถึง
พระนครสาวัตถีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่นั่นแล ได้โยนขนเจียมเหล่านั้น ลง
ภิกษุทั้งหลายจึงถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า อาวุโส ทำไมท่านจึงโยน
ขนเจียมเหล่านั้นลงทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่เล่า
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ก็เพราะผมถูกชาวบ้านพูดสัพยอก เหตุขนเจียม
เหล่านี้ขอรับ
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ก็ท่านนำขนเจียมเหล่านี้มาจากที่ไกล
เท่าไรเล่า
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า เกินกว่า ๓ โยชน์ ขอรับ
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ
ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้นำ
ขนเจียมมาไกลเกิน ๓โยชน์ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

917
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 918 (เล่ม 3)

ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุรูปนั้น
ว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า เธอนำขนเจียมมาไกลเกิน ๓ โยชน์ จริงหรือ
ภิกษุรูปนั้นทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำ
ของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจสมณะ ใช้ไม่ได้
ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้นำขนเจียมมาไกลเกิน ๓โยชน์ การกระทำ
ของเธอนั่น ไม่เป็นเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขอองชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำ
ของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนภิกษุรูปนั้น โดยอเนกปริยาย ดังนี้
แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี
ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน
บำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด

918
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 919 (เล่ม 3)

อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนก
ปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น
แก่ภิกษุทั้งหลายแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ-
ยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุนชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๓๕. ๖. อนึ่ง ขนเจียมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เดินทางไกล ภิกษุต้อง
การพึงรับได้ ครั้นรับแล้ว เมื่อคนถือไม่มี พึงถือไปด้วยมือของตนเอง
ตลอดระยะทาง ๓ โยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเธอถือเอาไปยิ่งกว่านั้น แม้
คนถือไม่มี เป็นนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ

919
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 920 (เล่ม 3)

สิกขาบทวิภังค์
[๙๘] บทว่า แก่ภิกษุผู้เดินทางไกล ได้แก่ ภิกษุเดินทาง.
บทว่า ขนเจียมเกิดขึ้น คือ เกิดขึ้นแต่สงฆ์ก็ตาม แต่คณะ
ก็ตาม แต่ญาติก็ตาม แต่มิตรก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของ
ตนก็ตาม.
บทว่า ต้องการ คือ เมื่อปรารถนา ก็พึงรับได้.
คำว่า ครั้นรับแล้ว พึงถือไปด้วยมือของตนเอง ตลอดระยะทาง
๓โยชน์เป็นอย่างมาก คือ นำไปด้วยมือของตนเองได้ ชั่วระยะทาง
๓ โยชน์เป็นอย่างไกล.
บทว่า เมื่อคนถือไม่มี ความว่า คนอื่น คือสตรี หรือบุรุษ
คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต สักคนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยถือไปไม่มี.
คำว่า ถ้าเธอถือเอาไปยิ่งกว่านั้น แม้คนถือไม่มี อธิบายว่า เธอ
ก้าวเกิน ๓ โยชน์ เท้าแรกต้องอาบัติทุกกฏ เท้าที่สอง ขนเจียมเหล่านั้น
เป็นนิสสัคคีย์ เธอยืนอยู่ภายในระยะ ๓ โยชน์ โยนขนเจียมลงนอกระยะ
๓ โยชน์ก็เป็นนิสสัคคีย์ ซ่อนไว้ในยานพาหนะก็ตาม ในห่อถุงก็ตาม
ของคนอื่น ซึ่งเขาไม่รู้ ให้ล่วง ๓ โยชน์ไป ก็เป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของ
จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละขนเจียมนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า
ภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า

920
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 921 (เล่ม 3)

ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วงเลย ๓ โยชน์
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้ แก่สงฆ์
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุนี้
ชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้
เสียสละแก่คณะ
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
กราบเท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วง ๓ โยชน์ เป็น
ของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
พึงคืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อนี้
เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่ง
ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุ
มีชื่อนี้
เสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่ง
กระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-

921
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 922 (เล่ม 3)

ท่าน ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วงเลย ๓ โยชน์ เป็น
ของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้นพึงรับอาบัติ พึง
คืนขนเจียมที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ขนเจียมเหล่านี้ แก่ท่าน
ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[ ๙๙] เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าเกิน เดินเลย ๓ โยชน์ไป
เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสงสัย เดินเลย ๓ โยชน์ไป เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าหย่อน เดินเลย ๓ โยชน์ไป เป็น
นิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกกฏ
หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าเกิน...ต้องอาบัติทุกกฏ
หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสงสัย...ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าหย่อน...ไม่ต้องอาบัติ.

922
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 923 (เล่ม 3)

อนาปัตติวาร
[๑๐๐] ภิกษุถือไปเพียงระยะ ๓ โยชน์ ๑ ภิกษุถือไปหย่อนระยะ
๓ โยชน์ ๑ ภิกษุถือไปก็ดี ถือกลับมาก็ดี เพียงระยะ ๓ โยชน์ ๑ ภิกษุ
ถือไปเพียง ๓ โยชน์ แล้วพักแรมเสีย รุ่งขึ้นต่อจากนั้นไปอีก ๑ ขนเจียม
ถูกโจรชิงไปแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก ๑ ขนเจียมที่สละแล้ว ภิกษุ
ได้คืนมา ถือไปอีก ๑ ภิกษุให้คนอื่นช่วยถือไป ๑ ขนเจียมที่ทำเป็นสิ่ง
ของแล้วภิกษุถือไป ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้อง
อาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ
โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๖
พรรณนาเอฬกโลมสิกขาบท
เอฬกโลมสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:- ในเอฬกโลมสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า อุปฺผณฺเฑสุํ มีความว่า พวกชาวบ้านกล่าวคำสัพยอก
เป็นต้นว่า ท่านขอรับ (ขนเจียมนี้) ท่านซื้อมาด้วยราคาเท่าไร่ ?
สองบทว่า  ิตโกว อาสุมฺภิ มีความว่า พวกชาวบ้านขนมัดฟืน
แบกใหญ่มาจากป่าเหน็ดเหนื่อยแล้วโยนลงไป ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ฉันใด ภิกษุนี้
ได้โยน (ขนเจียม) ให้ตกลงไปฉันนั้น.
บทว่า สหคฺถา แปลว่า ด้วยมือตนเอง. มีคำอธิบายว่า นำไป
ด้วยตนเอง.

923