No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 195 (เล่ม 40)

ได้ทั้งในน้ำและบนบก บริโภคปลาสดเป็นนิตย์นั้น
ถูกสาหร่ายพันตายแล้ว"
ดังนี้เป็นต้น, แม้วันอื่น ๆ อีก ทรงปรารภกถาเช่นนั้นเหมือนกัน ตรัส
ชาดกทั้งหลายเป็นต้นอย่างนี้ว่า
"นกกระไนนี้ เมื่อจะเจาะซึ่งหมู่ไม้ทั้งหลาย ได้
เที่ยวไปแล้วหนอ ที่ต้นไม้มีอวัยวะเป็นไม้แห้งไม่มี
แก่น, ภายหลังมาถึงไม้ตะเคียน ที่มีแก่นเกิด
แล้ว ได้ทำลายขมองศีรษะแล้ว.๑"
ละว่า "ไขข้อของท่าน ไหลออกแล้ว, กระหม่อม
ของท่าน อันช้างเหยียบแล้ว, ซี่โครงทุกซี่ของท่าน
อันช้างหักเสียแล้ว คราวนี้งามหน้าละซิเพื่อน๒."
ทรงปรารภกถาว่า "พระเทวทัต เป็นผู้อกตัญญู," จึงตรัสชาดกทั้งหลาย
มีอาทิอีกว่า
"ข้าพเจ้าได้ทำกิจให้ท่านจนสุดกำลังของข้าพเจ้า
ที่มีอยู่เทียว, ข้าแต่พระยาเนื้อ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม
ต่อท่าน, ข้าพเจ้าน่าได้อะไร ๆ บ้างซิ, ข้อที่เจ้า
อยู่ในระหว่างฟันของเรา ผู้มีโลหิตเป็นภักษา ทำ
กรรมหยาบช้าเป็นนิตย์ ยังเป็นอยู่ได้ ก็เป็นลาภ
มากอยู่แล้ว๓."
ทรงปรารภความตะเกียกตะกาย เพื่อจะฆ่า (พระองค์) ของพระ-
๑.ขุ. ชา. ๒๗/๗๗. อรรถกถา. ๓/๒๑๕. กันทคลกชาดก. ๒. ขุ. ชา. ๒๗/๔๖. อรรถกถา.
๒ ๓๘๔. วิโรจนชาดก. ๓. ขุ. ชา. ๒๗/๑๓๓. อรรถกถา. ๔/๒๕๘. ชวสกุณชาดก.

195
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 196 (เล่ม 40)

เทวทัตนั้นอีก ตรัสชาดกทั้งหลายเป็นต้นว่า
"ดูก่อนไม้มะลื่น ข้อที่เจ้ากลิ้งมานี้ กวางรู้
แล้ว, เราจักไปยังไม้มะลื่นต้นอื่น เพราะว่าผลของ
เจ้า เราไม่ชอบใจ๑"
เมื่อกถายังเป็นไปอยู่อีกว่า "พระเทวทัตเสื่อมแล้วจากผล ๒ ประการ คือ
จากลาภและสักการะประการหนึ่ง จากสามัญผลประการหนึ่ง," พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น, แม้ครั้งก่อน
เทวทัตก็เสื่อมแล้วเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว ตรัสชาดกทั้งหลายเป็นต้นว่า
"ตาทั้งสองแตกแล้ว, ผ้าก็หายแล้ว, และ
เพื่อนบ้านก็บาดหมางกัน, ผัวและเมียสองคนนั้น
มีการงานเสียหายแล้วทั้งสองทาง คือ ทั้งทางน้ำ
ทั้งทางบก๒."
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสชาดกเป็นอันมาก ด้วยประการอย่างนั้นแล้ว เสด็จ ( ออก ) จากกรุง
ราชคฤห์ไปสู่เมืองสาวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร.
พระเทวทัตให้สาวกนำไปเฝ้าพระศาสดา
ฝ่ายพระเทวทัตแล เป็นไข้ถึง ๙ เดือน, ในกาลสุดท้าย ใคร่
จะเฝ้าพระศาสดา จึงบอกพวกสาวกของตนว่า " เราใคร่จะเฝ้าพระ-
ศาสดา, ท่านทั้งหลายจงแสดงพระศาสดานั้นแก่เราเถิด," เมื่อสาวก
เหล่านั้นตอบว่า " ท่านในเวลาที่ยังสามารถ ได้ประพฤติเป็นคนมีเวร
๑. ขุ. ชา. ๒๗/๗. อรรถกถา. ๑/๒๖๑. กุรุงคมิคชาดก.
๒. ขุ. ชา. ๒๗/๔๕. อรรถกถา. ๒/๒๗๔. อุภโตภัฏฐชาดก.

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 197 (เล่ม 40)

กับพระศาสดา, ข้าพเจ้าทั้งหลายจักนำท่านไปในที่พระศาสดาประทับอยู่
ไม่ได้." จึงกล่าวว่า " ท่านทั้งหลายอย่าให้ข้าพเจ้าฉิบหายเลย ข้าพเจ้า
ทำอาฆาตในพระศาสดา, แต่สำหรับพระศาสดาหามีความอาฆาตในข้าพเจ้า
แม้ประมาณเท่าปลายผมไม่," จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในบุคคลทั่วไป คือใน
นายขมังธนู ในพระเทวทัต ในโจรองคุลิมาล ใน
ช้างธนบาล และในพระราหุล.
เพราะฉะนั้น พระเทวทัตจึงอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า "ขอท่าน
ทั้งหลาย จงแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ข้าพเจ้า." ทีนั้น สาวกเหล่านั้น
จึงพาพระเทวทัตนั้นออกไปด้วยเตียงน้อย ภิกษุทั้งหลายได้ข่าวการมา
ของพระเทวทัตนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข่าวว่า พระเทวทัตมาเพื่อประโยชน์จะเฝ้าพระองค์. " พระศาสดาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตนั้นจักไม่ได้เห็นเราด้วยอัตภาพนั้น." นัยว่า พวก
ภิกษุย่อมไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีก จำเดิมแต่กาลที่ขอวัตถุ ๕ ประการ,
ข้อนี้ย่อมเป็นธรรมดา, พวกภิกษุกราบทูลว่า " พระเทวทัตมาถึงที่โน้น
และที่โน้นแล้ว พระเจ้าข้า."
ศ. เทวทัตจงทำสิ่งที่ตนปรารถนาเถอะ, (แต่อย่างไรเสีย) เธอก็จัก
ไม่ได้เห็นเรา.
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตมาถึงที่ประมาณโยชน์หนึ่ง
แต่ที่นี้แล้ว, (และทูลต่อ ๆ ไปอีกว่า) มาถึงกึ่งโยชน์แล้ว, คาพยุต
หนึ่งแล้ว, มาถึงที่ใกล้สระโบกขรณีแล้ว พระเจ้าข้า.

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 198 (เล่ม 40)

ศ. แม้หากเทวทัตจะเข้ามาภายในพระเชตวัน, ก็จักไม่ได้เห็นเรา
เป็นแท้.
พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
พวกสาวกพาพระเทวทัตมา วางเตียงลงริมฝั่งสระโบกขรณีใกล้
พระเชตวันแล้ว ต่างก็ลงไปเพื่อจะอาบน้ำในสระโบกขรณี.
แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน
เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง. เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า,
เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึง
พื้นดิน ได้กล่าวคาถานี้ว่า
"ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้
เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี
ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ แต่
ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย๑ ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วย
กระดูกเหล่านี้พร้อมด้วยลมหายใจ."
นัยว่า "พระตถาคตเจ้าทรงเห็นฐานะนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัต
บวช. ก็ถ้าพระเทวทัตนั้น จักไม่ได้บวชไซร้, เป็นคฤหัสถ์ จักได้
ทำกรรมหนัก, จักไม่ได้อาจทำปัจจัยแห่งภพต่อไป, ก็แลครั้นบวชแล้ว
จักทำกรรมหนักก็จริง, ( ถึงดังนั้น ) ก็จะสามารถทำปัจจัยแห่งภพต่อไป
ได้" เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงโปรดให้เธอบวชแล้ว.
๑. สตปุญฺญลกฺขณนฺติสเตน ปุญฺญกมฺเมน นิพฺพตฺตเอเกกลกฺขณนฺติ อตฺโถ.

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 199 (เล่ม 40)

พระเทวทัตเกิดในอเวจีถูกตรึงด้วยหลาวเหล็ก
จริงอยู่ พระเทวทัตนั้น จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า
อัฏฐิสสระ ในที่สุดแห่งแสนกัลป์แต่กัลป์นี้ พระเทวทัตนั้นจมดินไปแล้ว
เกิดในอเวจี. และเธอเป็นผู้ไหวติงไม่ได้ ถูกไฟไหม้อยู่ เพราะเป็นผู้ผิด
ในพระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว. สรีระของเธอสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์
เกิดในก้นอเวจีซึ่งมีประมาณ ๓๐๐ โยชน์, ศีรษะสอดเข้าไปสู่แผ่นเหล็ก
ในเบื้องบน จนถึงหมวกหู, เท้าทั้งสองจมแผ่นดินเหล็กลงไปข้างล่าง
จนถึงข้อเท้า, หลาวเหล็กมีปริมาณเท่าลำตาลขนาดใหญ่ ออกจากฝา
ด้านหลัง แทงกลางหลังทะลุหน้าอก ปักฝาด้านหน้า, อีกหลาวหนึ่ง
ออกจากฝาด้านขวา แทงสีข้างเบื้องขวา ทะลุออกสีข้างเบื้องซ้าย ปักฝา
ด้านซ้าย, อีกหลาวหนึ่ง ออกจากแผ่นข้างบน แทงกระหม่อมทะลุออก
ส่วนเบื้องต่ำ ปักลงสู่แผ่นดินเหล็ก. พระเทวทัตนั้น เป็นผู้ไหวติงไม่ได้
อันไฟไหม้ในอเวจีนั้น ด้วยประการอย่างนี้.
เมื่อก่อนพระเทวทัตก็ประพฤติผิดในพระศาสดา
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันว่า "พระเทวทัตถึงฐานะประมาณเท่านี้
ไม่ทันได้เฝ้าพระศาสดา จมลงสู่แผ่นดินแล้ว." พระศาสดาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตประพฤติผิดในเรา จมดินลงไปในบัดนี้เท่านั้น
หามิได้, แม้ครั้งก่อน เธอก็จมลงแล้วเหมือนกัน," เพื่อจะทรงแสดง
ความที่บุรุษหลงทาง อันพระองค์ปลอบโยนแล้ว ยกขึ้นหลังของตนแล้ว
ให้ถึงที่อันเกษมแล้ว กลับมาตัดงาทั้งหลายอีกถึง ๓ ครั้ง อย่างนี้คือ
ที่ปลาย ที่ท่ามกลาง ที่โคน ในวาระที่ ๓ เมื่อก้าวล่วงคลองจักษุแห่ง

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 200 (เล่ม 40)

มหาบุรุษแล้ว ก็จมแผ่นดิน ในกาลที่พระองค์เป็นพระยาช้าง จึงตรัส
ชาดกนี้เป็นต้นว่า๑
"หากจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู
ผู้เพ่งโทษเป็นนิตย์ ก็ไม่ยังเขาให้ยินดีได้เลย.
เมื่อกถาตั้งขึ้นแล้วเช่นนั้นนั่นแลแม้อีก จึงตรัสขันติวาทิชาดก๒ เพื่อทรง
แสดงความที่พระเทวทัตนั้น ครั้งเป็นพระเจ้ากลาพุประพฤติผิดในพระ-
องค์ ผู้เป็นขันติวาทีดาบส แล้วจมลงสู่แผ่นดิน และจุลลธรรมปาลชาดก๓
เพื่อทรงแสดง ความที่พระเทวทัตนั้น ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปตาปะ
ประพฤติผิดในพระองค์ผู้เป็นจุลลธรรมปาละแล้วจมลงสู่แผ่นดิน.
ก็ครั้นเมื่อพระเทวทัตจมดินไปแล้ว, มหาชนร่าเริงยินดี ให้ยกธง
ชัยธงปฏากและต้นกล้วย ตั้งหม้อน้ำอันเต็มแล้ว เล่นมหรสพใหญ่ ด้วย
ปรารภว่า "เป็นลาภของพวกเราหนอ." พวกภิกษุกราบทูลข้อความนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพระเทวทัตตายแล้ว มหาชนยินดีมิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น, แม้ครั้งก่อน
ก็ยินดีแล้วเหมือนกัน," เพื่อจะทรงแสดงความที่มหาชนเป็นผู้ยินดี ใน
เมื่อพระราชาพระนามว่าปิงคละ ในนครพาราณสีซึ่งดุร้ายหยาบช้า ไม่
เป็นที่รักของชนทั่วไปสวรรคตแล้ว จึงตรัสปิงคลชาดกนี้เป็นต้นว่า๔
พระโพธิสัตว์กล่าวถามว่า
"ชนทั้งสิ้น อันพระเจ้าปิงคละเบียดเบียนแล้ว
เมื่อท้าวเธอสวรรคตแล้ว ชนทั้งหลาย ย่อมเสวย
๑. ขุ. ชา. ๒๗/๒๓. อรรถกถา. ๒ ๑๒๘. สีลวนาคชาดก. ๒.ขุ. ชา. ๒๗/ ๑๓๗.
อรรถกถา. ๔/๒๗๕. ๓. ขุ. ชา. ๒๗/๑๗๐. อรรถกถา. ๔/๔๕๐. ๔. ขุ. ชา. ๒๗/๙๒.
อรรถกถา. ๓/๓๑๙.

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 201 (เล่ม 40)

ปีติ พระเจ้าปิงคละมีพระเนตรไม่ดำ ได้เป็นที่รัก
ของเจ้าหรือ ? แน่ะ นายประตู เหตุไร ? เจ้าจึง
ร้องไห้."
นายประตูกล่าวตอบว่า
"พระราชา มีพระเนตรไม่ดำ หาได้เป็นที่รัก
ขอข้าพระองค์ไม่ ข้าพระองค์กลัวแต่การเสด็จกลับ
มาของพระราชานั้น ด้วยว่า พระราชาพระองค์นั้น
เสด็จไปจากที่นี้แล้ว พึงเบียดเบียนมัจจุราช มัจจุ-
ราชนั้นถูกเบียดเบียนแล้ว พึงนำพระองค์กลับมาที่นี้
อีก."
ผู้ทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
ภิกษุทั้งหลาย ทูลถามพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บัดนี้ พระเทวทัตเกิดแล้ว ณ ที่ไหน ?" พระศาสดาตรัสว่า "ในอเวจี
มหานรก ภิกษุทั้งหลาย" ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระเทวทัตประพฤติเดือดร้อนในโลกนี้แล้ว ไปเกิดในสถานที่
เดือดร้อนนั่นแลอีกหรือ ?"
พระศาสดา ตรัสว่า "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลาย
จะเป็นบรรพชิตก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม, มีปกติอยู่ด้วยความประมาท
ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสองทีเดียว" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
๑๒. อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต

201
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 202 (เล่ม 40)

"ผู้มีปกติทำบาป ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ ละ
ไปแล้วย่อมเดือดร้อน เขาย่อมเดือดร้อนใน
โลกทั้งสอง, เขาย่อมเดือดร้อนว่า 'กรรมชั่วเรา
ทำแล้ว,' ไปสู่ทุคติ ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้น ."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อิธ ตปฺปติ ความว่า ย่อมเดือด
ร้อนในโลกนี้ ด้วยเหตุเพียงโทมทัส ด้วยความเดือดร้อนเพราะกรรม.
บทว่า เปจฺจ ความว่า ส่วนในโลกหน้า ย่อมเดือดร้อนเพราะ
ทุกข์ในอบายอันร้ายแรงยิ่ง ด้วยความเดือดร้อนเพราะวิบาก.
บทว่า ปาปการี ความว่า ผู้ทำบาป มีประการต่าง ๆ.
บทว่า อุภยตฺถ ความว่า ชื่อว่า ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
ด้วยความเดือดร้อน มีประการดังกล่าวแล้วนี้.
สองบทว่า ปาปํ เม ความว่า ก็ผู้มีปกติทำบาปนั้น เมื่อเดือดร้อน
ด้วยความเดือดร้อนเพราะกรรม ชื่อว่าย่อมเดือดร้อน ด้วยคิดว่า
"กรรมชั่วเราทำแล้ว," ข้อนั้นเป็นความเดือดร้อนมีประมาณเล็กน้อย;
แต่เมื่อเดือดร้อน ด้วยความเดือดร้อนเพราะวิบาก ชื่อว่า ไปสู่ทุคติ
ย่อมเดือดร้องขึ้น คือย่อมเดือดร้อนเหลือเกิน ด้วยความเดือดร้อน
อันหยาบช้าอย่างยิ่ง.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมาก ได้เป็นพระอริยบุคคล มีพระ-
โสดาบันเป็นต้นแล้ว. เทศนาเป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระเทวทัต จบ.

202
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 203 (เล่ม 40)

๑๓. เรื่องนางสุมนาเทวี [๑๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนาง
สุมนาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ"
เป็นต้น.
อบรมลูกหลานให้รับหน้าที่ของตน
ความพิสดารว่า ภิกษุสองพันรูป ย่อมฉันในเรือนของอนาถบิณฑิก-
เศรษฐีในกรุงสาวัตถีทุกวัน, ในเรือนของนางวิสาขามหาอุบาสิกาก็เช่นนั้น.
บุคคลใด ๆ ในกรุงสาวัตถี เป็นผู้ประสงค์จะถวายทาน, บุคคลนั้น ๆ
ต้องได้โอกาสของท่านทั้งสองนั้นก่อนแล้ว จึงทำได้.
ถามว่า "เพราะเหตุไร ?"
ตอบว่า " เพราะคนอื่น ๆ ถามว่า ' ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
หรือนางวิสาขา มาสู่โรงทานของท่านแล้วหรือ" เมื่อเขาตอบว่า
" ไม่ได้มา," ย่อมติเตียน แม้ทานอันบุคคลสละทรัพย์ตั้งแสนแล้วทำ
ว่า "นี่ชื่อว่าทานอะไร ?" เพราะท่านทั้งสองนั้น ย่อมรู้จักความ
ชอบใจของภิกษุสงฆ์และกิจอันสมควรแก่ภิกษุสงฆ์. เมื่อท่านทั้งสองนั้น
อยู่, พวกภิกษุย่อมฉันได้ตามพอใจทีเดียว. เพราะฉะนั้น ทุก ๆ คนที่
ประสงค์จะถวายทาน จึงเชิญท่านทั้งสองนั้นไป. ท่านทั้งสองนั้นย่อม
ไม่ได้เพื่อจะอังคาสภิกษุทั้งหลายในเรือนของตนด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น
นางวิสาขา เมื่อใคร่ครวญว่า "ใครหนอแล ? จักดำรงในหน้าที่ของเรา

203
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 204 (เล่ม 40)

เลี้ยงภิกษุสงฆ์." เห็นธิดาของบุตรแล้ว จึงตั้งเขาไว้ในหน้าที่ของตน.
นางอังคาสภิกษุสงฆ์ในเรือนของนางวิสาขานั้น.
ถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ตั้งธิดาคนใหญ่ ชื่อมหาสุภัททาไว้.
ก็นางมหาสุภัททานั้น ทำการขวนขวายแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ (และ)
ฟังธรรมอยู่ เป็นพระโสดาบันแล้ว ได้ไปสู่สกุลแห่งสามี.
แต่นั้น ท่านอนาถบิณฑิกะ ก็ตั้งนางจุลสุภัททา (แทน). แม้
นางจุลสุภัททานั้น ก็ทำอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน เป็นพระโสดาบันแล้ว
ก็ไปสู่สกุลแห่งสามี. ลำดับนั้น ท่านอนาถบิณฑิกะ จึงตั้งธิดาคนเล็ก
นามว่าสุมนาเทวี (แทน).
นางสุมนาป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย
ก็นางสุมนาเทวีนั้น ฟังธรรมแล้ว บรรลุสกทาคามิผล ยังเป็น
กุมาริกา (รุ่นสาว) อยู่เทียว, กระสับกระส่ายด้วยความไม่ผาสุก
เห็นปานนั้น ตัดอาหาร๑ มีความประสงค์จะเห็นบิดา จึงให้เชิญมา.
ท่านเศรษฐีนั้น พอได้ยินข่าวของธิดาในโรงทานแห่งหนึ่ง ก็มาหาแล้ว
พูดว่า "เป็นอะไรหรือ ? แม่สุมนา." ธิดานั้น ตอบบิดาว่า "อะไรเล่า ?
น้องชาย"
บ. เจ้าเพ้อไปหรือ ? แม่.
ธ. ไม่เพ้อ น้องชาย.
บ. เจ้ากลัวหรือ ? แม่.
ธ. ไม่กลัว น้องชาย.
น.
๑. อาหารุปจฺเฉทํ กตฺวา ทำการเข้าไปตัดซึ่งอาหาร.

204