หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 115 (เล่ม 40)

อธิบายว่า "พราก" จากการฝึกอินทรีย์ และวจีสัจจะอันเป็นฝ่าย
ปรมัตถสัจจะ.
บทว่า น โส เป็นต้น ความว่า บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น
ย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
บทว่า วนฺตกสาวสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มีกิเลสดุจน้ำฝาดอัน
คายแล้ว คือมีกิเลสดุจน้ำฝาดอันทิ้งแล้ว ได้แก่ มีกิเลสดุจน้ำฟาดอันละ
แล้ว ด้วยมรรค ๔.
บทว่า สีเลสุ ได้แก่ ในปาริสุทธิศีล ๔.
บทว่า สุสมาหิโต ได้แก่ ผู้ตั้งมั่นดี คือดำรงอยู่ด้วยดี.
บทว่า อุเปโต ความว่า ประกอบด้วยการฝึกอินทรีย์และวจีสัจจะ
มีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า ส เว เป็นต้น ความว่า บุคคลนั้น คือเห็นปานนั้น
ย่อมควร [นุ่งห่ม] ผ้ากาสาวะนั้น.
ในกาลจบคาถา ภิกษุผู้อยู่ในต่างทิศนั้น ได้เป็นพระโสดาบัน.
ชนแม้เหล่าอื่นมีจำนวนมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระเทวทัต จบ.

115
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 116 (เล่ม 40)

๘. เรื่องสญชัย [๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภความไม่มา
ของสญชัย (ปริพาชก ) ซึ่งสองพระอัครสาวกกราบทูลแล้ว ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า "อสาเร สารมติโน" เป็นต้น. อนุปุพพีกถา
ในเรื่องสญชัยนั้น ดังต่อไปนี้:-
พระศาสดาได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ๒๓ พระองค์
ความพิสดารว่า ในที่สุด ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัลป์แต่กัลป์
นี้ไป พระศาสดาของเราทั้งหลาย เป็นกุมารของพราหมณ์นามว่าสุเมธะ
ในอมรวดีนคร ถึงความสำเร็จศิลปะทุกอย่างแล้ว โดยกาลล่วงไปแห่ง
มารดาและบิดา ทรงบริจาคทรัพย์นับได้หลายโกฏิ บวชเป็นฤษีอยู่ใน
หิมวันตประเทศ ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ไปโดยอากาศเห็นคน
ถางทางอยู่เพื่อประโยชน์เสด็จ (ออก) จากสุทัศนวิหาร เข้าไปสู่อมร-
วดีนคร แห่งพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร แม้ตนเองก็ถือเอา
ประเทศแห่งหนึ่ง, เมื่อประเทศนั้น ยังไม่ทันเสร็จ, นอนทอดตนให้
เป็นสะพาน ลาดหนังเสือเหลืองบนเปือกตม เพื่อพระศาสดาผู้เสด็จมาแล้ว
ด้วยประสงค์ว่า "ขอพระศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ไม่ต้องทรง
เหยียบเปือกตม จงทรงเหยียบเราเสด็จไปเถิด" แต่พอพระศาสดาทอด
พระเนตรเห็น ก็ทรงพยากรณ์ว่า "ผู้นี้เป็นพุทธังกูร๑ จักเป็นพระพุทธ-
๑. หน่อเนื้อ, เชื้อสาย แห่งพระพุทธเจ้า.

116
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 117 (เล่ม 40)

เจ้าทรงพระนามว่าโคดม ในที่สุด ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัลป์ใน
อนาคต," ในสมัยต่อมาแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น ก็ได้รับพยากรณ์
ในสำนักพระพุทธเจ้า ๒๓ พระองค์ ซึ่งเสด็จอุบัติขึ้นส่องโลกให้สว่าง
เหล่านี้ คือ พระโกณฑัญญะ ๑ พระสุมังคละ ๑ พระสุมนะ ๑ พระ-
เรวตะ ๑ พระโสภิตะ ๑ พระอโนมทัสสี ๑ พระปทุมะ ๑ พระ-
นารทะ ๑ พระปทุมุตตระ ๑ พระสุเมธะ ๑ พระสุชาตะ ๑ พระปิย-
ทัสสี ๑ พระอัตถทัสสี ๑ พระธรรมทัสสี ๑ พระสิทธัตถะ ๑ พระ-
ติสสะ ๑ พระปุสสะ ๑ พระวิปัสสี ๑ พระสิขี ๑ พระเวสสภะ ๑
พระกกุสันธะ ๑ พระโกนาคมนะ ๑ พระกัสสปะ ๑," ทรงบำเพ็ญ
บารมีครบ ๓๐ คือบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ (ครั้ง)
ดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ให้มหาทาน อันทำแผ่นดินให้ไหว
๗ ครั้ง ทรงบริจาคพระโอรสและพระชายา. ในที่สุดพระชนมายุ, ก็ทรง
อุบัติในดุสิตบุรี ดำรงอยู่ในดุสิตบุรีนั้น ตลอดพระชนมายุ, เมื่อเทวดา
ในหมื่นจักรวาลประชุมกันอาราธนาว่า
"ข้าแต่พระมหาวีระ กาลนี้ เป็นกาลของพระ-
องค์, ขอพระองค์ จงเสด็จอุบัติในพระครรภ์พระ-
มารดา ตรัสรู้อมตบท ยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้
ข้ามอยู่."
ทรงเลือกฐานะใหญ่ ๆ ที่ควรเลือก๑ ๕ เสด็จจุติจากดุสิตบุรีนั้นแล้ว
ทรงถือปฏิสนธิในศากยราชสกุล อันพระประยูรญาติบำเรออยู่ด้วยมหา-
สมบัติในศากยสกุลนั้น ทรงถึงความเจริญวัยโดยลำดับ เสวยสิริราช-
๑. ฐานใหญ่ที่ควรเลือก ๕ คือ ๑. กาล ๒. ประเทศ ๓. ทวีป ๔. ตระกูล ๕. มารดา.

117
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 118 (เล่ม 40)

สมบัติในปราสาททั้งสามอันสมควรแก่ฤดูทั้งสามดุจสิริสมบัติในเทวโลก.
ทรงเห็นเทวทูตแล้วเสด็จบรรพชา
ในสมัยที่เสด็จไปเพื่อประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทวทูต ๓
กล่าวคือคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย โดยลำดับ ทรงเกิดความสังเวช
เสด็จกลับแล้ว. ในวันที่ ๔ ทรงเห็นบรรพชิต ยังความพอพระทัยใน
การบรรพชาให้เกิดขึ้นว่า "การบรรพชาดี, เสด็จไปสู่อุทยาน ยังวัน
ให้สิ้นไปในพระอุทยานนั้น ประทับนั่งริมขอบสระโบกขรณีอันเป็นมงคล
อันวิสสุกรรมเทพบุตรผู้จำแลงเพศเป็นช่างกัลบกมาตบแต่งถวาย ทรงสดับ
ข่าวประสูติของราหุลกุมาร ทรงทราบถึงความสิเนหาในพระโอรสมีกำลัง
ทรงพระดำริว่า "เราจักตัดเครื่องผูกนี้ จนผูกมัด (เรา ) ไม่ได้
ทีเดียว," เวลาเย็นเสด็จเข้าไปยิ่งพระนคร ทรงสดับคาถานี้ ที่พระธิดา
ของพระเจ้าอา พระนามว่า กิสาโคตมี ภาษิตว่า
"พระราชกุมารผู้เช่นนี้ เป็นพระราชโอรสแห่ง
พระชนนีพระชนก และเป็นพระสวามีของพระนาง
ใด ๆ พระชนนีพระชนกและพระนางนั้น ๆ ดับ
( เย็นใจ ) แน่แล้ว"
ทรงพระดำริว่า "เราอันพระนางกิสาโคตมีนี้ (สวด ) ให้ได้ยิน
นิพพุตบทแล้ว," จึงเปลื้องแก้วมุกดาหารจากพระศอ ส่งไปประทานแก่
พระนางแล้ว เสด็จเข้าไปสู่ที่อยู่ของพระองค์ ประทับนั่งบนพระแท่น
บรรทมอันมีสิริ ทอดพระเนตรเห็นประการอันแปลกของหมู่หญิงฟ้อนที่
เข้าถึงความหลับแล้ว มีพระทัยเบื่อหน่าย จึงปลุกนายฉันนะให้ลุกขึ้น ให้

118
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 119 (เล่ม 40)

นำม้ากัณฐกะมา เสด็จขึ้นม้ากัณฐกะ มีนายฉันทะเป็นสหาย อันเทวดา
ในหมื่นจักรวาลห้อมล้อมแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรพชา
ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที, เสด็จถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ เสด็จเที่ยว
บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์นั้น ประทับนั่งที่เงื้อมเขาปัณฑวะ อันพระเจ้า
แผ่นดินมคธทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติ ทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้น ทรง
รับปฏิญญาจากท้าวเธอเพื่อประโยชน์แก่การได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
แล้ว จะเสด็จมาสู่แคว้นของพระองค์เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสเเละอุทก-
ดาบส ไม่ทรงพอพระทัยคุณวิเศษที่ทรงได้บรรลุในสำนักของสองดาบส
นั้น ทรงตั้งความเพียรใหญ่ถึง ๖ ปี.
ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วทรงแสดงธรรม
ในวันวิสาขบุรณมี เช้าตรู่เสวยข้าวปายาสซึ่งนางสุชาดาถวายแล้ว
ทรงลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา ให้ส่วนกลางวันล่วงไปด้วยสมาบัติ
ต่าง ๆ ในราวป่ามหาวันริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา, เวลาเย็นทรงรับหญ้าที่
นายโสตถิยะถวาย มีพระคุณอันพระยากาฬนาคราชชมเชยแล้ว เสด็จสู่
ควงไม้โพธิ ทำปฏิญญาว่า "เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ตลอดเวลาที่
จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ด้วยการไม่เข้าไปถือมั่น,"
ประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา, เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคต,
ทรงกำจัดมารและพลมารได้, ทรงบรรลุปุพเพนิวาสญาณ๑ในปฐมยาม
บรรลุจุตูปปาตญาณ๒ ในมัชฌิมยาม หยั่งพระญาณลงในปัจจยาการ ในที่
สุดปัจฉิมยาม, ในเวลาอรุณขึ้นทรงแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ ซึ่งประดับ
๑. รู้จักระลึกชาติได้. ๒. รู้จักกำหนดจุติและเกิด.

119
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 120 (เล่ม 40)

ด้วยคุณทุกอย่าง มีทสพลญาณและจตุเวสารัชชญาณเป็นอาทิ ทรงยังกาม
ให้ผ่านไปที่ควงไม้โพธิถึง ๗ สัปดาห์, ในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่งที่โคน
ไม้อชปาลนิโครธ ทรงถึงความเป็นผู้ขวนขวายน้อย ด้วยพิจารณาเห็นว่า
ธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง อันท้าวสหัมบดีพรหม ผู้มีมหาพรหมหมื่นหนึ่ง
เป็นบริวารเชื้อเชิญให้ทรงแสดงธรรม ทรงพิจารณาดูสัตวโลกด้วย
พุทธจักษุแล้ว ทรงรับคำเชิญของพรหม ทรงใคร่ครวญว่า " เราพึง
แสดงธรรมแก่ใครหนอแล เป็นคนแรก," ทรงทราบว่า อาฬารดาบส
และอุทกดาบสทำกาละแล้ว ทรงหวนระลึกถึงอุปการะมากของภิกษุปัญจ-
วัคคีย์ เสด็จลุกจากอาสนะไปยังกาสีบุรี ในระหว่างบรรดา ได้สนทนา
กับอุปกาชีวก ในวันอาสาฬหบุรณมีเสด็จถึงที่อยู่ของภิกษุปัญจวัคคีย์ ใน
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงยังภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ซึ่งเรียกร้อง
(พระองค์) ด้วยถ้อยคำอันไม่สมควรให้สำนึกตัวแล้ว เมื่อจะยังพรหม
๑๘ โกฏิ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นประมุข ให้ดื่มน้ำอมตะ จึงทรง
แสดงพระธรรมจักร ทรงมีธรรมจักรบวรอันให้เป็นไปแล้ว, ในดิถีที่ ๕
แห่งปักษ์ ทรงยังภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต, วันเดียว
กันนั้น ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของสกุลบุตรแล้ว ตรัสเรียกเขาซึ่งเบื่อ
หน่าย ละเรือนออกมาในตอนกลางคืนว่า " มานี่เถิด ยสะ " ทำเขาให้
บรรลุโสดาปัตติผลในตอนกลางคืนนั้นเอง ในวันรุ่งขึ้นให้ได้บรรลุพระ-
อรหัต ทรงยังสหายของยสะนั้น แม้พวกอื่นอีก ๕๔ คน ให้บรรพชา
ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้ว ให้ได้บรรลุพระอรหัต.

120
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 121 (เล่ม 40)

พระศาสดาทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา
เมื่อพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ พระองค์ ด้วยประการอย่างนี้
แล้ว, พระศาสดาเสด็จอยู่จำพรรษาปวารณาแล้ว ทรงส่งภิกษุ ๖๐ รูป
ไปในทิศทั้งหลายด้วยพระพุทธดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยว
จาริกไปเถิด" ดังนี้เป็นต้น. ส่วนพระองค์เสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ใน
ระหว่างทาง ได้ทรงแนะนำภัททวัคคิยกุมาร ๓๐ คน ณ ราวป่ากัปปาสิก-
วัน๑, บรรดาภัททวัคคิยกุมาร ๓๐ คนนั้น อย่างต่ำกว่าเขาทั้งหมด ได้
เป็นโสดาบัน, สูงกว่าเขาทั้งหมด ได้เป็นพระอนาคามี. พระองค์ทรง
ให้ภัททวัคคีย์ทั้งหมดแม้นั้น บรรพชาด้วยเอหิภิกขุภาวะอย่างเดียวกันแล้ว
ทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย, ส่วนพระองค์เสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ทรง
แสดงปาฏิหาริย์สามพันห้าร้อยอย่างแนะนำชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่งมีชฎิลพัน
คนเป็นบริวาร มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ให้บรรพชาด้วยเอหิภิกขุภาวะ
เช่นเดียวกันแล้ว ให้ประชุมกันที่คยาสีสประเทศ ให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต
ด้วยอาทิตตปริยายเทศนา แวดล้อมด้วยพระอรหันต์พันองค์นั้นเสด็จไปสู่
อุทยานลัฏฐิวัน ใกล้แดนพระนครราชคฤห์ ด้วยทรงพระดำริว่า "จัก
เปลื้องปฏิญญา ที่ถวายไว้แก่พระเจ้าพิมพิสาร" ตรัสพระธรรมกถา
อันไพเราะแด่พระราชา ผู้ทรงสดับข่าวว่า "ทราบว่า พระศาสดา
เสด็จมาแล้ว" เสด็จมาเฝ้า พร้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดี ๑๒ นหุต๒
ยังพระราชากับพราหมณ์และคฤหบดี ๑๑ นหุต ให้ตั้งอยู่ในพระโสดา-
ปัตติผล อีกนหุตหนึ่งให้ตั้งอยู่ในสรณะ ๓, วันรุ่งขึ้น มีพระคุณอันท้าว
๑. ไร่ฝ้าย. ๒. ๑ นหุต = ๑๐,๐๐๐ คน.

121
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 122 (เล่ม 40)

สักกเทวราชทรงแปลงเพศเป็นมาณพชมเชยแล้ว เสด็จเข้าไปสู่พระนคร
ราชคฤห์ ทรงทำภัตกิจในพระราชนิเวศน์ ทรงรับเวฬุวนาราม๑ ประ-
ทับอยู่ในเวฬุวนารามนั้นนั่นแล. พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เข้า
ไปเฝ้าพระองค์ในเวฬุวนารามนั้น.
อนุปุพพีกถาในเรื่องพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะนั้น ดังต่อ
ไปนี้ :-
ประวัติพระสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ความพิสดารว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติแล้วนั่นแล. ได้มี
บ้านพราหมณ์ ๒ ตำบล คือ อุปติสสคาม ๑ โกลิตคาม ๑ ในที่ไม่
ไกลแต่กรุงราชคฤห์. ในสองบ้านนั้น ในวันที่นางพราหมณีชื่อสารี
ในอุปลิสสคามตั้งครรภ์นั่นแล. แม้นางพราหมณีชื่อโมคคัลลีในโกสิตคาม
ก็ตั้งครรภ์. ได้ยินว่า ตระกูลทั้งสองนั้น ได้เป็นสหายเกี่ยวพัน
สืบเนื่องกันมาถึง ๗ ชั่วตระกูลทีเดียว. พราหมณ์ผู้สามีได้ให้พิธี
บริหารครรภ์แก่พราหมณีทั้งสองนั้น ในวันเดียวกันเหมือนกัน. โดย
กาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางพราหมณีทั้งสองนั้นก็คลอดบุตร. ใน
วันขนานชื่อ พวกญาติตั้งชื่อบุตรของสารีพราหมณีว่า "อุปติสสะ"
เพราะเป็นบุตรของตระกูลนายบ้าน ในตำบลอุปติสสคาม, ตั้งชื่อ
บุตรของโมคคัลลีพราหมณีว่า "โกลิตะ" เพราะเป็นบุตรของตระกูล
นายบ้านในตำบลโกลิตคามนอกนี้. เด็กทั้งสองนั้นถึงความเจริญแล้ว
ได้ถึงความสำเร็จแห่งศิลปะทุกอย่าง. ในเวลาไปสู่แม่น้ำหรือสวนเพื่อ
ประโยชน์จะเล่น อุปติสสมาณพมีเสลี่ยงทองคำ ๕๐๐ เป็นเครื่องแห่
๑. เป็นมูลเหตุแห่งการถวายวัดในพระพุทธศาสนา ในการต่อ ๆ มา.

122
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 123 (เล่ม 40)

แหน, ไกลิตมาณพมีรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๕๐๐ เป็นเครื่องแห่แหน,
ชนทั้งสองมีมาณพเป็นบริวารคนละ ๕๐๐. ก็ในกรุงราชคฤห์มีมหรสพ
บนยอดเขาทุก ๆ ปี. หมู่ญาติได้ยกเตียงซ้อนกันเพื่อกุมารทั้งสองนั้น
ในทีเดียวกันนั่นเอง. แม้กุมารทั้งสองก็นั่งดูมหรสพร่วมกัน ย่อม
หัวเราะในฐานะควรหัวเราะ ย่อมถึงความสังเวชในฐานะที่ควรสังเวช
ย่อมตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล. วันหนึ่ง เมื่อกุมารทั้งสองเหล่า
นั้นดูมหรสพโดยทำนองนี้ ความหัวเราะในฐานะที่ควรหัวเราะ หรือความ
สังเวชในฐานะที่ควรสังเวช หรือตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล มิได้
มีแล้วเหมือนในวันก่อน ๆ เพราะญาณถึงความแก่รอบแล้ว. ก็ชนทั้งสอง
คิดกันอย่างนี้ว่า "จะมีอะไรเล่า ? ที่น่าดูในการนี้, ชนทั้งหมดแม้นี้
เมื่อยังไม่ถึง ๑๐ ปี, ก็จักถึงความเป็นสภาพหาบัญญัติมิได้, ก็เราทั้งสอง
ควรแสวงหาธรรมเครื่องพ้นอย่างเอก" ดังนี้แล้ว ถือเอาเป็นอารมณ์
นั่งอยู่แล้ว. ลำดับนั้น โกลิตะพูดกะอุปติสสะว่า "อุปติสสะผู้สหาย
ไฉน ? ท่านจึงไม่หัวเราะรื่นเริงเหมือนในวันอื่น ๆ, วันนี้ ท่านมีใจ
ไม่เบิกบาน ท่านกำหนดอะไรได้หรือ ?" อุปติสสะนั้นกล่าวว่า "โกลิตะผู้
สหาย เรานั่งคิดถึงเหตุนี้ว่า 'ในการดูคนเหล่านี้ หาสาระมิได้, การดูนี้
ไม่มีประโยชน์, เราควรแสวงหาโมกขธรรมเพื่อตน,' ก็ท่านเล่า เพราะ
เหตุไร ? จึงไม่เบิกบาน." แม้โกลิตะนั้น ก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน.
ลำดับนั้น อุปติสสะ ทราบความที่โกลิตะนั้นมีอัธยาศัยเช่นเดียวกันกับตน
จึงกล่าวว่า "สหายเอ๋ย เราทั้งสองคิดกันดีแล้ว, ก็เราควรแสวงหา
โมกขธรรม, ธรรมดาผู้แสวงหา ต้องได้บรรพชาชนิดหนึ่งจึงควร, เรา
ทั้งสองจะบรรพชาในสำนักใครเล่า ?"

123
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 124 (เล่ม 40)

สองสหายทำกติกากัน
ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชก อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ กับ
ปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่. สารีบุตรและโมคคัลลานะทั้งสองนั้น ตกลง
กันว่า "เราจักบวชในสำนักท่านสญชัยนั้น," ต่างส่งมาณพ ๕๐๐ ไป
ด้วยคำว่า "ท่านทั้งหลายจงเอาเสลี่ยงและรถไปเถิด ." พร้อมด้วย
มาณพ ๕๐๐ บวชแล้วในสำนักของสญชัย. จำเดิมแต่เขาทั้งสองบวชแล้ว
สญชัยก็ได้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศอย่างเหลือเฟือ. ทั้งสองเรียนจบ
ลัทธิสมัยของสญชัยโดยสองสามวันเท่านั้น จึงถามว่า "ท่านอาจารย์
ลัทธิที่ท่านรู้ มีเพียงเท่านี้ หรือมีแม้ยิ่งกว่านี้ ?" เมื่อสญชัยตอบว่า
"มีเพียงเท่านี้แหละ, เธอทั้งสองรู้จบหมดแล้ว." เขาทั้งสองจึงคิดกันว่า
"เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักของท่านผู้นี้ก็ไม่
มีประโยชน์ เราทั้งสองออกมาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม, โมกขธรรมนั้น
เราไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้ในสำนักของท่านผู้นี้, อันชมพูทวีปใหญ่นัก,
เราเที่ยวไปยังคามนิคม ชนบท และราชธานี คงจักได้อาจารย์ผู้แสดง
โมกขธรรมสักคนเป็นแน่ ." ตั้งแต่นั้น ใครพูดในที่ใด ๆ ว่า "สมณ-
พราหมณ์ผู้บัณฑิต มีอยู่" เขาทั้งสองย่อมไปทำสากัจฉาในที่นั้น ๆ
ปัญหาที่เขาทั้งสองถามไป อาจารย์เหล่าอื่นหาอาจตอบได้ไม่, แต่เขา
ทั้งสองย่อมแก้ปัญหาของอาจารย์เหล่านั้นได้. เขาสอบสวนทั่วชมพูทวีป
อย่างนั้นแล้ว กลับมายังที่อยู่ของตน จึงทำกติกากันว่า "โกลิตะผู้สหาย
ในเราสองคน ผู้ใดได้บรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอก (แก่กัน)."
เมื่อเขาทั้งสองทำกติกากันอย่างนั้นอยู่ พระศาสดาเสด็จถึงกรุงราช-
คฤห์ โดยลำดับดังที่กล่าวแล้ว ทรงรับเวฬุวันแล้ว ประทับอยู่ใน

124