หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 105 (เล่ม 40)

นั้นได้ฉันนั้นเหมือนกัน; คือกิเลสมารทำให้ต้องอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ
เหมือนลมมีกำลังแรง พัดส่วนต่าง ๆ มี ดอก ผล ใบอ่อนเป็นต้น
แห่งต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงให้ร่วงลงบ้าง, ทำให้ต้องอาบัติมีนิสสัคคียะเป็นต้น
เหมือนลมมีกำลังแรง ทำการหักกิ่งไม้เล็ก ๆ บ้าง, ทำให้ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ๑๓ เหมือนลมมีกำลังแรง ทำการหักกิ่งไม้ใหญ่บ้าง, ทำให้
ต้องอาบัติปาราชิก นำออกจากศาสนา อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
ให้ถึงความเป็นคฤหัสถ์โดย ๒-๓ วันเท่านั้น เหมือนลมมีกำลังแรงถอน
(ต้นไม้) ทำให้โค่นลง มีรากขึ้นเบื้องบน มีกิ่งลงเบื้องล่างบ้าง. กิเลส-
มารย่อมยังบุคคลเห็นปานนั้นให้เป็นไปในอำนาจของตน.
บทว่า อสุภานุปสฺสึ ความว่า ผู้เห็นอารมณ์ไม่งาม๑๑๐ อย่าง อย่างใด
อย่างหนึ่งว่าไม่งาม. คือประกอบในมนสิการ โดยความเป็นของปฏิกูล
ได้แก่เห็นผมทั้งหลาย โดยความไม่งาม เห็นขน เล็บ ฟัน หนัง
สี ทรวดทรง โดยความไม่งาม.
บทว่า อินฺทฺริเยสุ ได้แก่ ในอินทรีย์ ๖. บทว่า สุสํวุตํ ได้แก่
ผู้เว้นจากการถือ มีถือโดยนิมิตเป็นต้น คือผู้มีทวารอันปิดแล้ว.
บทว่า มตฺตญฺญุํ ความว่า ผู้รู้จักประมาณในโภชนะ โดยตรงกัน
ข้ามกับความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณ.
๑. อสุภ อารมณ์อันไม่งาม มี ๑๐ คือ ๑. อุทธุมาตกอสุก อสุภที่ขึ้นพอง ๒. วินีลกอสุภ
อสุภที่มีสีเขียว ๓. วิปุพพกอสุภ อสุภที่มีหนองไหลออก ๔. วิจฺฉิททกอสุภ อสุภที่เขาสับฟัน
เป็นท่อน ๆ ๕. วิกฺขายิตกอสุภ อสุภที่สัตว์ยื้อแย่งกิน ๖. วิกฺขิตฺตกอสุภ อสุภี่ขาดกลาง
๗. หตวิกฺขิตฺตกอสุภ อสุภที่ขาดกระจักกระจาย ๘. โลหิตกอสุภ อสุภที่เปื้อนเลือด
๙. ปุฬุวกกุสุภ อสุภที่มีหมู่หนอน ๑๐. อฏฺฐิกอสุภ อสุภที่มีแต่ร่างกระดูก

105
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 106 (เล่ม 40)

บทว่า สทฺธึ ความว่า ผู้ประกอบด้วยโลกิยสัทธา มีอันเชื่อกรรม
และผลเป็นลักษณะอย่างหนึ่ง และประกอบด้วยโลกุตรสัทธา กล่าวคือ
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในวัตถุ๑ ๓ อย่างหนึ่ง.
บทว่า อารทฺธวีริยํ ได้แก่ ผู้ประคองความเพียร คือผู้มีความ
เพียรเต็มที่.
บทว่า ตํ เว ได้แก่ บุคคลนั้น คือเห็นปานนั้น.
อธิบายว่า ลมมีกำลังอ่อน พัดเบา ๆ ย่อมไม่อาจให้ศิลาแต่ง
ทึบหวั่นไหวได้ ฉันใด; กิเลสมารที่มีกำลังทราม แม้เกิดขึ้นในภายใน
ย่อมรังควาน (บุคคลนั้น) ไม่ได้ คือไม่อาจให้หวั่นไหว สะเทือน
คลอนแคลนได้ ฉันนั้น.
พระมหากาลเหาะหนีภรรยา
พวกหญิงแม้เหล่านั้นแล ที่เป็นภรรยาเก่าของพระมหากาลนั้น
ล้อมพระเถระเเล้ว กล่าวคำเป็นต้นว่า "ท่านลาใครบวช บัดนี้ท่านจัก
เป็นคฤหัสถ์หรือจักไม่เป็นเล่า ?" ดังนี้แล้ว ได้เป็นผู้ใคร่เพื่อจะเปลื้อง
ผู้กาสายะทั้งหลาย (ของพระเถระ) ออก.
พระเถระกำหนดลาการของหญิงเหล่านั้นได้แล้ว ลุกจากอาสนะ
ที่นั่งแล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ ทำลายช่อฟ้าเรือนยอด ไปทางอากาศ. เมื่อ
พระศาสดา พอตรัสพระคาถาจบลง, ชมเชยพระสรีระของพระศาสดา
ซึ่งมีวรรณะดังทองคำ ลงมาถวายบังคมพระบาทยุคลของพระตถาคตแล้ว
๑. วัตถุ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.

106
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 107 (เล่ม 40)

ในกาลจบคาถา ภิกษุผู้ประชุมกัน ดำรงอยู่ในอริยผลทั้งหลายมี
โสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องจุลกาลและมหากาล จบ.

107
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 108 (เล่ม 40)

๗. เรื่องพระเทวทัต [๗]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภการได้ผ้า
กาสาวะอันบุคคลนำมาแต่แคว้นคันธาระของพระเทวทัต ในกรุงราชคฤห์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อนิกฺกสาโว" เป็นต้น.
พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่ชาวกรุงราชคฤห์
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองพาบริวารของ
ตน องค์ละ ๕๐๐ รูป ไปทูลลาพระศาสดาแล้ว ได้ไปจากพระเชตวัน
สู่กรุงราชคฤห์.
ชาวกรุงราชคฤห์ รวมเป็นพวกเดียวกัน ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง
หลายคนบ้าง ได้ถวายอาคันตุกทาน.๑ อยู่มาวันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร
เมื่อจะทำอนุโมทนา แสดงธรรมอย่างนี้ว่า "อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย
ทายกคนหนึ่งถวายทานด้วยตนเอง (แต่) ไม่ชักชวนคนอื่น, ทายก
นั้น ย่อมได้โภคสมบัติในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ ( แต่ ) ไม่ได้บริวาร-
สมบัติ, คนหนึ่งชักชวนคนอื่น ส่วนตนเองไม่ถวาย, ผู้นั้น ย่อมได้
บริวารสมบัติในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ (แต่ ) ไม่ได้โภคสมบัติ, คน
หนึ่งแม้ตนเองก็ไม่ได้ถวาย แม้คนอื่นก็ไม่ชักชวน, ผู้นั้น ย่อมไม่ได้
แม้วัตถุมาตรว่าข้าวปลายเกรียนพออิ่มท้อง ย่อมเป็นคนอนาถา หา
ปัจจัยมิได้ ในที่แห่งคนเกิดแล้ว ๆ คนหนึ่งทั้งตนเองก็ถวาย ทั้งชัก
๑. ถวายแก่ภิกษุผู้มาใหม่ คือผู้เป็นแขก.

108
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 109 (เล่ม 40)

ชวนคนอื่น ผู้นั้น ย่อมได้ทั้งโภคสมบัติ ทั้งบริวารสมบัติ ในที่แห่งตน
เกิดแล้ว ๆ สิ้นร้อยอัตภาพบ้าง พันอัตภาพบ้าง แสนอัตภาพบ้าง."
นิมนต์ภิกษุพันรูปรับภัตตาหาร
บุรุษผู้บัณฑิตคนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว คิดว่า "ท่าน
ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาน่าอัศจรรย์นัก. พระผู้เป็นเจ้าสารีบุตรกล่าว
เหตุแห่งความสุข, เราทำกรรมอันยังสมบัติทั้งสองเหล่านี้ให้สำเร็จ ย่อม
สมควร" ดังนี้แล้ว จึงนิมนต์พระเถระว่า "ท่านขอรับ พรุ่งนี้ ขอ
นิมนต์ท่านทั้งหลายรับภิกษาของผมเถิด."
พระเถระ ถามว่า "ท่านต้องการภิกษุเท่าไร ? อุบาสก."
อุบาสก ย้อนถามว่า "ภิกษุที่เป็นบริวารของใต้เท้ามีเท่าไร ?
ขอรับ."
ถ. มีประมาณพันรูป อุบาสก.
อุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอใต้เท้าพร้อมด้วยภิกษุทั้งหมดทีเดียว
โปรดรับภิกษา (ของผม). พระเถระรับแล้ว.
อุบาสกชวนชาวบ้านถวายภัตตาหาร
อุบาสกเที่ยวไปในถนนพระนคร ชักชวนด้วยคำว่า "ข้าแต่แม่และ
พ่อทั้งหลาย ฉันนิมนต์ภิกษุไว้พันรูป, ท่านทั้งหลายจักอาจถวายภิกษา
มีจำนวนเท่าไร ? ท่านทั้งหลายจักอาจถวายภิกษาแก่ภิกษุมีจำนวน
เท่าไร ?"
พวกมนุษย์กล่าวโดยพอเหมาะพอควร (แก่กำลัง) ของตน ๆ ว่า
"พวกฉันจักถวายแก่ภิกษุ ๑๐ รูป, พวกฉัน ๒๐ รูป, พวกฉัน ๑๐๐ รูป."

109
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 110 (เล่ม 40)

อุบาสกกล่าวว่า "ถ้ากระนั้น เราทั้งหลาย จักประชุมหุงต้ม
รวมกันในที่แห่งเดียว, ขอท่านทุก ๆ คน จงรวบรวมวัตถุต่าง ๆ มี
น้ำมัน งา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อยเป็นต้น" ดังนี้แล้ว ให้รวม
ไว้ในที่แห่งหนึ่ง.
ทีนั้น กุฏุมพีผู้หนึ่งให้ผ้ากาสาวะอันนำมาจากแคว้นคันธาระซึ่งมี
ค่าแสนหนึ่ง แก่อุบาสกนั้นแล้ว สั่งว่า "ถ้าทาน๑วัฏฏ์ของท่านยังไม่
เพียงพอไซร้. ท่านพึงจ่ายผ้าผืนนี้ให้ครบส่วนที่บกพร่อง, ถ้าทานวัฏฏ์
ของท่านเพียงพอไซร้ ท่านพึงถวาย (ผ้าผืนนี้ ) แก่ภิกษุรูปที่ท่าน
ปรารถนา." ในกาลนั้น ทานวัฏฏ์ทุก ๆ อย่างของอุบาสกนั้นเพียงพอ
แล้ว. อะไร ๆ ชื่อว่าบกพร่องมิได้มี, อุบาสกนั้นจึงถามมนุษย์ทั้งหลาย
ว่า "ผ้ากาสาวะอันหาค่ามิได้ผืนนี้ อันกุฏุมพีผู้หนึ่งกล่าวอย่างนี้แล้ว
มอบให้ไว้. ทานวัฏฏ์ (ของพวกเรา ) ก็มีเหลือเพื่อแล้ว, เราทั้งหลาย
จะถวายผ้ากาสาวะผืนนี้แก่ท่านรูปไหนเล่า ?"
ถวายผ้าราคาตั้งแสนแก่พระเทวทัต
บางพวกกล่าวว่า "ถวายแก่พระสารีบุตรเถระ." บางพวกกล่าวว่า
"พระเถระมักมาในเวลาข้าวกล้าแก่ แล้วก็ไป, พระเทวทัตเป็นสหายใน
การมงคลและอวมงคลทั้งหลายของพวกเรา ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เหมือน
หม้อน้ำ, พวกเราจะถวายผ้าผืนนั้นแก่ท่าน," แม้เมื่อถ้อยคำเป็นไปหลาย
ทาง (อย่างนั้น), พวกที่กล่าว่า "ควรถวายแก่พระเทวทัต" ได้มี
จำนวนมากกว่า. เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาจึงได้ถวายผ้ากาสาวะนั้นแก่
พระเทวทัต.
๑. ทานวัฏฏ์ ได้แก่ของทำบุญ.

110
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 111 (เล่ม 40)

พระเทวทัตนุ่งห่มผ้าไม่สมควรแก่ตน
พระเทวทัต ตัดผ้านั้นแล้ว เย็บ ย้อม นุ่งห่มเที่ยวไป. พวก
มนุษย์เห็นท่านแล้ว จึงพูดกันว่า "ผ้าผืนนี้หาสมควรแก่พระเทวทัตไม่
ควรแก่พระสารีบุตรเถระ, พระเทวทัตนุ่งห่มผ้าอันไม่สมควรแก่ตนเที่ยว
ไป."
ขณะนั้น ภิกษุผู้อยู่ต่างทิศรูปหนึ่ง ( ออก ) จากกรุงราชคฤห์
ไปสู่กรุงสาวัตถี ถวายบังคมพระศาสดา เป็นผู้อันพระศาสดาทรงทำ
ปฏิสันถาร ตรัสถามถึงการอยู่ผาสุกของพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว จึง
กราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดจำเดิมแต่ต้น.
พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุ เทวทัตนั้นทรงผ้าที่ไม่สมควรแก่
ตนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้, แม้ในกาลก่อน เธอก็ทรงแล้วเหมือนกัน"
ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัสว่า)
ครั้งก่อนพระเทวทัตเป็นนายพรานช้าง
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในพระนคร
พาราณสี, นายพรานช้าง ชาวพระนครพาราณสีผู้หนึ่ง ล้มช้างแล้ว
นำงา หนัง ไส้ใหญ่และเนื้อล่ำมาแล้วขายเลี้ยงชีวิต. ครั้งนั้นช้างหลาย
พันเชือกเดินหากินอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง พบพระปัจเจกพุทธะหลายองค์
จำเดิมแต่กาลนั้น เมื่อไป หมอบลงด้วยเข่าทั้งสองแล้วจบ๑ในกาลที่ไป
และมา ( ทุกครั้ง) แล้วจึงผ่านไป. วันหนึ่ง นายพรานช้างเห็นกิริยา
นั้นแล้ว คิดว่า "เราล้มช้างเหล่านี้ได้โดยยาก, ก็ในกาลไปและมา
๑. กิริยาของช้างที่ทำความเคารพ ตรงกับคำว่า ไหว้.
.

111
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 112 (เล่ม 40)

ช้างเหล่านี้ย่อมจบพระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย, มันเห็นอะไรหนอ ? จึง
จบ," กำหนดได้ว่า "เห็นผ้ากาสาวะ" ดังนี้แล้ว ดำริว่า "บัดนี้
แม้เราได้ผ้ากาสาวะย่อมควร," เมื่อพระปัจเจกพุทธะรูปหนึ่งลงไปสู่ชาต-
สระสรงน้ำอยู่๑ วางผ้ากาสาวะทั้งหลายไว้ที่ริมฝั่ง, จึงลักจีวรไป จับหอก
นั่งคลุมโปง๒อยู่ริมหนทางที่ช้างเหล่านั้นไปมา.
หมู่ช้างเห็นเขาแล้วจึงจบ ด้วยสำคัญว่า "พระปัจเจกพุทธะ"
แล้วก็ผ่านไป. นายพรานช้างนั้นเอาหอกพุ่งถูกช้างตัวไปข้างหลังช้างเหล่า
นั้นทั้งหมดให้ตายแล้ว ถือเอาส่วนต่าง ๆ มีงาเป็นต้น ฝั่งส่วนที่เหลือใน
แผ่นดินแล้วไป.
ในกาลต่อมา พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดช้าง ได้เป็น
หัวหน้าช้าง เป็นนายโขลง. ถึงในกาลนั้น นายพรานช้างนั้น ก็คงทำ
อยู่อย่างนั้น. พระมหาบุรุษทราบความหมดสิ้นไปแห่งบริษัทของตน
จึงถามว่า "ช้างเหล่านี้ไปไหน ? จึงเบาบางไป," เมื่อเหล่าช้างนั้น
ตอบว่า "ไม่ทราบ นาย" คิดว่า "ช้างทั้งหลายจะไปไหนไม่บอกเรา
( ก่อน ) จักไม่ไป, อันตรายพึงมี" นึกสงสัยว่า "อันตรายพึงมีแต่
สำนักแห่งบุรุษผู้นั่งคลุมผ้ากาสาวะในที่แห่งหนึ่ง," เพื่อจะจับบุรุษนั้น
จึงส่งช้างทั้งหมดล่วงหน้าไปก่อน ส่วนคนมาล้าหลัง, นายพรานช้างนั้น
เมื่อช้างที่เหลือจบแล้วเดินไป, เห็นพระมหาบุรุษกำลังเดินมาจึงม้วนจีวร
พุ่งหอกไป.
พระมหาบุรุษคุมสติเดินมา ถอยกลับไปข้างหลังหู ลบหอกแล้ว.
ทีนั้น จึงวิ่งแปรเข้าไป เพื่อจะจับนายพรานช้างนั้น ด้วยสำคัญว่า
๑. ชาตสระ สระที่เป็นของไม่มีใครขุดทำ. ๒. สสีสํ ปารุปิตฺวา.

112
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 113 (เล่ม 40)

"เจ้าคนนี้ ให้ช้างของเราฉิบหายแล้ว." นายพรานข้างนอกนี้ แอบบัง
ต้นไม้ต้นหนึ่ง. ทีนั้น พระมหาบุรุษ เอางวงรวบเขาพร้อมกับต้นไม้
หมายใจว่า "จักจับฟาดลงที่แผ่นดิน. " ( ครั้น ) เห็นผ้ากาสาวะที่เขา
นำออกแสดง จึงยับยั้งไว้ ด้วยคิดเห็นว่า " ถ้าเราจักประทุษร้ายใน
บุรุษนี้ไซร้. ชื่อว่าความละอายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและ
พระขีณาสพหลายพันองค์ จักเป็นอันเราทำลายแล้ว." ซักถามว่า
"ญาติของเราประมาณเท่านี้ เจ้าให้ฉิบหายแล้วหรือ ?"
นายพรานช้างรับสารภาพว่า "จ้ะ นาย."
พระมหาบุรุษกล่าวว่า "เพราะอะไร เจ้าจึงได้ทำกรรมอันหยาบช้า
อย่างนี้ ? เจ้าห่มผ้าไม่สมควรแก่ตน สมควรแก่ท่านผู้ปราศจากราคะ
ทั้งหลาย เมื่อทำกรรมอันลามกเห็นปานนี้ ชื่อว่าทำกรรมอันหนัก."
ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะข่มขี่ให้ยิ่งขึ้น จึงกล่าวคาถาว่า
" ผู้ใด มีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศจาก
ทมะและสัจจะ จักนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ผู้นั้นย่อมไม่
ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ส่วนผู้ใด พึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย ประ-
กอบด้วยทมะและสัจจะ, ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่ม
ผ้ากาสาวะ.
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า เจ้าทำกรรมอันไม่สมควร" แล้วก็ปล่อยเขาไป.
ของดีย่อมควรแก่คนดีหาควรกับคนชั่วไม่
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา (แสดง) แล้ว
ทรงย่อชาดกว่า "นายพรานช้างในกาลนั้น ได้เป็นเทวทัต (ในบัดนี้)

113
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 114 (เล่ม 40)

ช้างตัวประเสริฐผู้ข่มขี่นายพรานช้างนั้น คือเราเอง " ดังนี้ ตรัสว่า
"ภิกษุ ไม่ใช่แต่ในกาลนี้เท่านั้น. แม้ในกาลก่อน เทวทัตก็ทรงผ้า
ไม่สมควรแก่ตนเหมือนกัน" ดังนี้แล้ว ได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
๗. อันกกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน น โส กาสาวมรหติ.
โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติ.
"ผู้ใด มีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศจากทมะ
และสัจจะ จักนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ผู้นั้นย่อมไม่ควร
นุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ส่วนผู้ใด พึงเป็นผู้มีกิเลสดุจ
น้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย ประกอบ
ด้วยทมะและสัจจะ, ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ."
เนื้อความนี้ บัณฑิตพึงแสดงแม้ด้วยฉัททันตชาดก๑ ดังนี้แล.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิกฺกสาโว ความว่า ผู้ชื่อว่ามี
กิเลสดุจน้ำฝาด เพราะกิเลสดุจน้ำฝาดทั้งหลาย มีกามราคะเป็นต้น.
บทว่า ปริทเหสฺสติ ความว่า จักใช้สอยด้วยสามารถแห่งการนุ่ง
การห่ม และการลาด. พระบาลีว่า "ปริทหิสฺสติ" ก็มี.
บาทพระคาถาว่า อเปโต ทมสจฺเจน ความว่า ปราศจาก.
๑. ขุ. ติรสติ. ๒๗/ ๔๙๐. อรรถกถา. ๗/๒๒๖.

114