หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 85 (เล่ม 40)

ดังนี้แล้ว เสด็จไปสรงในที่นั้น. ในกาลนั้น พระยาช้างนั้นนำผลไม้
ต่างอย่างมาถวายแด่พระศาสดา. ก็เมื่อพระศาสดาจะเสด็จเข้าบ้านเพื่อ
บิณฑบาต พระยาช้างนั้นถือบาตรจีวรวางไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระ-
ศาสดาไป. พระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านแล้วรับสั่งว่า "ปาริเลยยกะ ตั้งแต่
ที่นี้ เจ้าไม่อาจไปได้. เจ้าจงเอาบาตรจีวรของเรามา" ดังนี้แล้ว ให้
พระยาช้างนั้นเอาบาตรจีวรมาถวายแล้ว เสด็จเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต.
ส่วนพระยาช้างนั้นยืนอยู่ที่นั้นเอง จนกว่าพระศาสดาจะเสด็จออกมา ใน
เวลาพระศาสดาเสด็จมา ทำการต้อนรับแล้ว ถือบาตรจีวรโดยนัยก่อน
(นำไป) ปลงลง ณ ที่ประทับอยู่แล้ว ถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้ แสดง
วัตรอยู่. ในราตรี พระยาช้างนั้นถือท่อนไม้ใหญ่ด้วยงวง เที่ยวไปใน
ระหว่าง ๆ แห่งราวป่ากว่าอรุณจะขึ้น เพื่อกันอันตรายอันจะมีแต่เนื้อร้าย
ด้วยตั้งใจว่า "จักรักษาพระศาสดา" ได้ยินว่า ราวป่านั้นชื่อว่ารักขิต-
วันสัณฑะ จำเดิมแต่กาลนั้นมา. ครั้นอรุณขึ้นแล้ว, พระยาช้างนั้น
ทำวัตรทั้งปวง โดยอุบายนั้นนั่นแล ตั้งต้นแต่การถวายน้ำสรงพระพักตร์.
วานรถวายรวงน้ำผึ้ง
ในกาลนั้น วานรตัวหนึ่ง เห็นช้างนั้นลุกขึ้นแล้ว ๆ ทำอภิสมา-
จาริกวัตร ( คือการปฏิบัติ ) แด่พระตถาคตเจ้าแล้ว คิดว่า "เราก็จัก
ทำอะไร ๆ ถวายบ้าง" เที่ยวไปอยู่, วันหนึ่ง เห็นรวงผึ้งที่กิ่งไม้หา
ตัวมิได้ หักกิ่งไม้แล้ว นำรวงผึ้งพร้อมทั้งกิ่งไม้ไปสู่สำนักพระศาสดา
ได้เด็ดใบตองรองถวาย.๑ พระศาสดาทรงรับแล้ว. วานรแลดูอยู่ ด้วย
๑. ตตฺถ ฐเปฺวา อทาสิ วางถวายไว้ ณ ที่นั้น.

85
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 86 (เล่ม 40)

คิดว่า "พระศาสดาจักทรงทำบริโภคหรือไม่ ?" เห็นพระศาสดาทรง
รับแล้วนั่งเฉยอยู่ คิดว่า "อะไรหนอแล" จึงจับปลายกิ่งไม้พลิก
พิจารณาดู เห็นตัวอ่อนแล้ว จึงค่อย ๆ นำตัวอ่อนเหล่านั้นออกเสียแล้ว
จึงได้ถวายใหม่. พระศาสดาทรงบริโภคแล้ว. วานรนั้นมีใจยินดี ได้จับ
กิ่งไม้นั้น ๆ ยืนฟ้อนอยู่. ในกาลนั้น กิ่งไม้ที่วานรนั้นจับแล้วก็ดี กิ่งไม้
ที่วานรนั้นเหยียบแล้วก็ดี หักแล้ว. วานรนั้นตกลงที่ปลายตออันหนึ่ง
มีตัวอันปลายตอแทงแล้ว มีจิตเลื่อมใส ทำกาลกิริยาแล้ว เกิดในวิมาน
ทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพดาวดึงส์ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร.
พระยาช้างสังเกตดูวัตรพระอานนท์
การที่พระตถาคตเจ้า อันพระยาช้างอุปัฏฐาก ประทับอยู่ใน
ราวป่ารักขิตวันนั้น ได้ปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้น. ตระกูลใหญ่ ๆ คือ
ท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ และนางวิสาขามหาอุบาสิกา อย่างนี้เป็น
ต้น ได้ส่งสาสน์จากนครสาวัตถี ไปถึงพระอานนท์เถระว่า "ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงพระศาสดาแก่พวกข้าพเจ้า." ฝ่ายภิกษุ
๕๐๐ รูปผู้อยู่ในทิศ จำพรรษาแล้ว เข้าไปหาพระอานนท์เถระ วอน
ขอว่า "อานนท์ผู้มีอายุ ธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้-
มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังนานมาแล้ว; อานนท์ผู้มีอายุ ดีละ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย พึงได้ฟังธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเถิด." พระเถระพาภิกษุเหล่านั้นไป ณ ที่นั้นแล้ว คิดว่า "การเข้า
ไปสู่สำนักพระตถาคตเจ้า ผู้เสด็จอยู่พระองค์เดียว ตลอดไตรมาส พร้อม
กับภิกษุมีประมาณถึงเท่านี้ หาควรไม่" ดังนี้แล้ว จึงพักภิกษุเหล่านั้น

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 87 (เล่ม 40)

ไว้ข้างนอกแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแต่รูปเดียวเท่านั้น. พระยาช้าง
ปาริเลยยกะ เห็นพระอานนทเถระนั้นแล้ว ถือท่อนไม้วิ่งไป. พระศาสดา
ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสว่า "หลีกไปเสียปาริเลยยกะ อย่าห้ามเลย,
ภิกษุนั่น เป็นพุทธอุปัฏฐาก." พระยาช้างปาริเลยยกะนั้น ทิ้งท่อนไม้
เสียในที่นั้นเองแล้ว ได้เอื้อเฟื้อถึงการรับบาตรจีวร, พระเถระมิได้ให้แล้ว.
พระยาช้างได้คิดว่า "ถ้าภิกษุรูปนี้จักมีวัตรอันได้เรียนแล้ว. ท่านคงจัก
ไม่วางบริขารของคนไว้บนแผ่นศิลาที่ประทับของพระศาสดา." พระเถระ
ได้วางบาตรจีวรไว้ที่พื้นแล้ว.
ไม่ได้สหายที่มีปัญญาเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐว่า
จริงอยู่ ชนผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่วางบริขารของตน
ไว้บนที่นั่งหรือบนที่นอนของครู. พระยาช้างนั้น เห็นอาการนั้น ได้
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว . พระเถระอภิวาทพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ส่วน
ข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า "อานนท์ เธอมาผู้เดียวเท่านั้น
หรือ ?" ทรงสดับความที่พระเถระเป็นผู้มาพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ แล้ว
ตรัสว่า ก็ภิกษุเหล่านั้น อยู่ที่ไหน ?" เมื่อพระเถระทูลว่า "ข้าพระ-
องค์ไม่ทราบน้ำพระทัยของพระองค์ จึงพักเธอทั้งหลายไว้ข้างนอกมาแล้ว
(แต่รูปเดียว) " ตรัสว่า "เรียกเธอทั้งหลายมาเถิด" พระเถระได้
ทำตามรับสั่งแล้ว. ภิกษุเหล่านั้น มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่
ส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอทั้งหลายแล้ว. เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น
พระพุทธเจ้าอันสุขุม และเป็นกษัตริย์อันสุขุม พระองค์เสด็จยืนและ

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 40)

ประทับนั่งพระองค์เดียวตลอดไตรมาส ทำกิจที่ทำได้ด้วยยาก, ผู้ทำวัตร
และปฏิวัตรก็ดี ผู้ถวายน้ำสรงพระพักตร์ก็ดี ชะรอยจะมิได้มีแล้ว." ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย กิจทั้งปวงของเรา อันพระยาช้างปาริเลยยกะทำแล้ว
ก็อันบุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนี้ อยู่ด้วยกันควรแล้ว, เมื่อไม่ได้สหาย
(เห็นปานนี้) ความเป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า" ดังนี้แล้ว
ได้ภาษิต ๓ คาถาในนาควรรคเหล่านี้ว่า:-
ถ้าบุคคลได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญา
ทรงจำ มีคุณธรรมเป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้
สำเร็จ ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, (บุคคลผู้ได้
สหายเห็นปานนั้น ) ควรมีใจยินดี มีสติ ครอบงำ
อันตราย ซึ่งคอยเบียดเบียนรอบข้าง ทั้งปวงเสีย
แล้ว เที่ยวไปกับสหายนั้น, ถ้าบุคคลไม่ได้สหาย
ผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญาทรงจำ มีคุณธรรม
เป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้สำเร็จไว้ เป็นผู้เที่ยว
ไปด้วยกันไซร้, บุคคลนั้นควรเที่ยวไปคนเดียว
เหมือนพระราชาผู้ละแว่นแคว้นที่พระองค์ทรงชำนะ
แล้ว เสด็จอยู่แต่องค์เดียว, (และ) เหมือนพระ-
ยาช้างอันชื่อว่ามาตังคะเที่ยวอยู่ในป่าแต่เชือกเดียว,
การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า ความเป็นสหาย
ไม่มีในเพราะชนพาล, บุคคลผู้ไม่ได้สหายเห็น
ปานนั้น ควรมีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปผู้
เดียว และไม่ควรทำบาปทั้งหลาย, เหมือนพระยา

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 40)

ช้างชื่อมาตังคะผู้มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปใน
ป่าแต่เชือกเดียว และหาได้ทำบาปไม่."
ในกาลจบคาถา ภิกษุเหล่านั้นทั้ง ๕๐๐ รูป ตั้งอยู่ในพระอรหัต
แล้ว. พระอานนทเถระกราบทูลสาสน์ที่ตระกูลใหญ่ ๆ มีท่านเศรษฐี
อนาถบิณฑิกะเป็นต้นส่งมาแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อริยสาวก ๕ โกฏิ มีท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นหัวหน้า หวังความ
เสด็จมาของพระองค์อยู่." พระศาสดาตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจงรับ
บาตรจีวร" ดังนี้แล้ว ให้พระเถระรับบาตรจีวรแล้ว เสด็จออกไป.
พระยาช้างได้ไปยืนขวางทางไว้. ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระยาช้างทำอะไร ?"
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ช้างหวังจะถวายภิกขาแก่เธอทั้งหลาย,
ก็แลช้างนี้ได้ทำอุปการะแก่เราตลอดราตรีนาน, การยังจิตของช้างนี้ให้
ขัดเคืองไม่ควร. ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายกลับเถิด." พระศาสดา
ทรงพาภิกษุทั้งหลายเสด็จกลับแล้ว.
ฝ่ายช้างเข้าไปสู่ราวป่าแล้ว รวบรวมผลไม้ต่าง ๆ มีผลขนุนและ
กล้วยเป็นต้นมาทำให้เป็นกองไว้, ในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุ ๕๐๐ รูปไม่อาจฉันผลไม้ทั้งหลายให้หมดสิ้น. ในกาลเสร็จภัตกิจ
พระศาสดาทรงถือบาตรจีวรเสด็จออกไปแล้ว. พระยาช้างไปตามระหว่าง ๆ
แห่งภิกษุทั้งหลาย ยืนขวางพระพักตร์พระศาสดาไว้. ภิกษุทั้งหลายเห็น
ดังนั้น ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างนี้
ทำอะไร ?"
ศ. ภิกษุทั้งหลาย ช้างนี้จะส่งพวกเธอไปแล้ว ชวนให้เรากลับ.

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 40)

ภ. อย่างนั้นหรือ ? พระองค์ผู้เจริญ.
ศ. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.
ช้างทำกาละไปเกิดเป็นเทพบุตร
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า "ปาริเลยยกะ นี้ความ
ไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มี
แก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่เถิด" พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว
ได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลัง ๆ. ก็พระยาช้างนั้น
เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า "ปาริเลยยกะ จำเดิม
แต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียน
อยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด" ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อ
พระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก. ทำกาละแล้ว เกิดใน
ท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพ
ดาวดึงส์ เพราะความเสื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า
"ปาริเลยยกเทพบุตร." ฝ่ายพระศาสดาได้เสด็จถึงพระเชตวันแล้วโดย
ลำดับ.
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทูลขอขมาพระศาสดา
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี สดับว่า "ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จถึงกรุง
สาวัตถีแล้ว." ได้ไป ณ ที่นั้นเพื่อจะกราบทูลขอขมาพระศาสดา. พระเจ้า-
โกศลทรงสดับว่า "ได้ยินว่า พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว
เหล่านั้นมาอยู่" จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 40)

หม่อมฉันจักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่แว่นแคว้นของหม่อมฉัน."
พระศาสดา ตรัสตอบว่า " ดูก่อนมหาราช ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล,
แต่ไม่ถือเอาคำของอาตมภาพ เพราะวิวาทกันและกันเท่านั้น, บัดนี้
เธอทั้งหลายมาเพื่อขอขมาอาตมภาพ, ดูก่อนมหาราช ขอภิกษุเหล่านั้น
จงมาเถิด."
ฝ่ายท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่วิหาร" ดังนี้แล้ว ถูกพระ-
ศาสดาทรงห้ามเสียเหมือนอย่างนั้น ได้นิ่งแล้ว. ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้น
ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้ประทาน
เสนาสนะ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทำให้เป็นที่สงัดแต่เธอทั้งหลาย. ภิกษุเหล่าอื่น
ไม่นั่ง ไม่ยืน ร่วมกับภิกษุพวกนั้น.
พวกชนผู้มาแล้ว ๆ ทูลถามพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกไหน ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวเหล่านั้น ?" พระศาสดา
ทรงแสดงว่า "พวกนั่น." ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเหล่านั้น ถูกพวกชนผู้
มาแล้ว ๆ ชี้นิ้วว่า "ได้ยินว่า นั่นพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการ
แตกร้าวเหล่านั้น, ได้ยินว่า นั่นพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการ
แตกร้าวเหล่านั้น" ดังนี้ ไม่อาจยกศีรษะขึ้น เพราะความอาย ฟุบลง
แทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายทำกรรมหนัก
แล้ว. ชื่อว่าเธอทั้งหลายแม้บวชแล้วในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา,
เมื่อเราทำความสามัคคีอยู่ ไม่ทำ (ตาม) คำของเรา, ฝ่ายบัณฑิต
อันมีในปางก่อน สดับโอวาทของมารดาและบิดาผู้ต้องประหารชีวิต,

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 92 (เล่ม 40)

เมื่อบิดามารดานั้นแม้ถูกปลงชีวิคอยู่, ก็ไม่ล่วงโอวาทนั้น ภายหลังได้ครอง
ราชสมบัติใน ๒ แว่นแคว้น" ดังนี้แล้ว ตรัสทีฆาวุกุมารชาดก๑ อีกเหมือน
กันแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทีฆาวุกุมาร ถึงเมื่อพระชนนีและ
พระชนกถูกปลงชีวิตอยู่อย่างนั้น, ก็ไม่ก้าวล่วงโอวาทของพระชนนีและ
พระชนกเหล่านั้นแล้ว ภายหลังได้ธิดาของพระเจ้าพรหมทัตครองราช-
สมบัติในแว่นแคว้นกาสีและแว่นแคว้นโกศลทั้งสองแล้ว, ส่วนพวกเธอ
ทั้งหลายไม่ทำ (ตาม ) คำของเรา ทำกรรมหนัก" ดังนี้ แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า
๕. ปเร จ น วิชานนฺติ มยเมตฺถ ยมามฺหเส
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ตโต สมฺมนฺติ เมธคา.
"ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้ตัวว่า 'พวกเราพากันย่อยยับ
อยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้' ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้น
ย่อมรู้ชัด, ความหมายมั่นกันและกัน ย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกนั้น ."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเร เป็นต้น ความว่า เหล่าชนผู้ทำ
ความแตกร้าว ยกบัณฑิตทั้งหลายเสีย คือพวกอื่นจากบัณฑิตนั้น ชื่อว่า
ชนพวกอื่น, ชนพวกอื่นนั้น ทำความวุ่นวายอยู่ในทำมกลางสงฆ์นั้น
ย่อมไม่รู้สึกตัวว่า "เราทั้งหลาย ย่อมย่อยับ คือบ่นปี้ ฉิบหาย ได้แก่
ไปสู่ที่ใกล้ คือสำนักมฤตยูเป็นนิตย์."
๑. ขุ. ปัญจก. ๒๗/๑๘๒. อรรถกถา. ๔/๔๙๕.

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 93 (เล่ม 40)

บาทพระคาถาว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ความว่า ชนเหล่าใด
ผู้เป็นบัณฑิตในหมู่นั้น ย่อมรู้สึกตัวว่า "เราทั้งหลายไปสู่ที่ใกล้มฤตยู."
บาทพระคาถาว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ความว่า ชนเหล่านั้น
รู้อยู่อย่างนี้แล ยังการทำความในใจโดยอุบายที่ชอบให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
ปฏิบัติเพื่อสงบความหมายมั่น คือความทะเลาะกัน, เมื่อเป็นเช่นนั้น
ความหมายมั่นเหล่านั้นย่อมสงบ เพราะความปฏิบัตินั้นของบัณฑิตเหล่านั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอธิบายในพระคาถานี้ อย่างนี้ว่า "คำว่า
ปเร จ เป็นต้น ความว่า ชนทั้งหลาย แม้อันเรา (ตถาคต) กล่าว
สอนอยู่ว่า 'ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย อย่าได้ทำความแตกร้าวกัน'
ดังนี้เป็นต้น ในกาลก่อน ก็ไม่นับถือ เพราะไม่รับโอวาทของเรา ชื่อว่า
ชนพวกอื่น. ชนพวกอื่นนั้น ย่อมไม่รู้สึกตัวว่า 'เราทั้งหลายถือผิด
ด้วยอำนาจอคติมีฉันทะเป็นต้น ย่อมย่อยยับ ได้แก่พยายามเพื่อความเจริญ
แห่งเหตุอันทำความพินาศ มีแตกร้าวกันเป็นต้น ในท่ามกลางสงฆ์นี้.'
แต่บัดนี้ บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเหล่าใด ในระหว่างแห่งเธอทั้งหลายนั้น
พิจารณาอยู่รู้ชัดว่า ' เมื่อก่อนเราทั้งหลายพยายามอยู่ ด้วยอำนาจอคติมี
ฉันทะเป็นต้น ปฏิบัติโดยไม่ชอบแล้ว' ความหมายมั่น ที่นับว่าความ
ทะเลาะกันในบัดนี้เหล่านี้ ย่อมสงบจากสำนักบัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้น ๆ
คือเพราะอาศัยบุรุษผู้เป็นบัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้."
ในกาลจบคาถา ภิกษุผู้ประชุมกัน ได้ดำรงอยู่ในอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี จบ.

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 94 (เล่ม 40)

๖. เรื่องจุลกาลและมหากาล [๖]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยเสตัพยนคร ประทับอยู่ในป่าไม้
ประดู่ลาย ทรงปรารภจุลกาลและมหากาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
"สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ" เป็นต้น.
พี่น้อง ๓ คนทำการค้าขาย
ความพิสดารว่า กุฎุม๑ พีชาวเสตัพยนคร ๓ พี่น้อง คือ จุลกาล ๑
มัชฌิมกาล ๑ มหากาล ๑. บรรดาพี่น้อง ๓ คนนั้นพี่ชายใหญ่และน้อง
ชายน้อยเที่ยวไปในทิศทั้งหลาย นำสิ่งของมาด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม.
มัชฌิมกาล ขายสิ่งของที่พี่และน้องทั้งสองนำมา.
ต่อมาสมัยหนึ่ง พี่น้องทั้งสองนั้น บรรทุกสิ่งของต่าง ๆ ด้วย
เกวียน ๕๐๐ เล่มไปสู่กรุงสาวัตถี ปลดเกวียนทั้งหลายในระหว่างกรุง
สาวัตถีและพระเชตวัน (ต่อกัน).
มหากาลฟังธรรมแล้วลาน้องชายไปบวช
ในพี่น้อง ๒ คนนั้น มหากาลเห็นอริยสาวกทั้งหลายชาวกรุง
สาวัตถี มีมือถือระเบียบดอกไม้และของหอมเป็นต้น ไปเพื่อฟังธรรม
ในเวลาเย็น จึงถามว่า "ชนเหล่านี้ไปไหนกัน ?" ได้ฟังความนั้นแล้ว
คิดว่า "แม้เราก็จักไป" เรียกน้องชายมาแล้วบอกว่า " พ่อ ! เจ้าจง
๑. กุฏุมพี คือ คนมั่งมี คนมีทรัพย์สมบัติมาก, ผู้ครองเรือน, พ่อเรือน, ผู้ดูแลการงาน.

94