No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 75 (เล่ม 40)

นางยักษิณีรู้ฝนมากฝนน้อย
พระศาสดา ได้ตรัสกะหญิงนั้นว่า "เจ้าจงให้บุตรของเจ้าแก่นาง
ยักษิณีเถิด."
ญ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว.
ศ. เจ้าอย่ากลัวเลย, อันตรายย่อมไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนาง
ยักษิณีนี้.
นางได้ให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้น
จูบกอดแล้ว คืนให้แก่มารดาอีก ก็เริ่มร้องไห้.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสถามนางยักษิณีนั้นว่า "อะไรนั่น ?"
นางยักษิณีนั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน
ข้าพระองค์ แม้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยไม่เลือกทาง ยังไม่ได้อาหารพอ
เต็มท้อง, บัดนี้ ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร."
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า "เจ้าอย่า
วิตกเลย" ดังนี้แล้ว ตรัสกะหญิงนั้นว่า "เจ้าจงนำนางยักษิณีไปให้
อยู่ในเรือนของตนแล้ว จงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี." หญิง
นั้นนำนางยักษิณีไปแล้ว ให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้ม
และข้าวสวยอย่างดีแล้ว. ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแก่นาง
ยักษิณีนั้นดุจต่อยศีรษะ. เขาจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้ว พูดว่า
" ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด" แม้
อันหญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในที่เหล่านี้ คือในโรงสาก ข้างตุ่มน้ำ ริม
เตาไฟ ริมชายคา ริมกลงหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน, (นาง) ก็กล่าวว่า
" ในโรงสากนี้ สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่, ที่ข้างตุ่มน้ำนี้ พวก

75
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 76 (เล่ม 40)

เด็กย่อมราดน้ำเป็นเดนลงไป, ที่ริมเตาไฟนี้ ฝูงสุนัขย่อมมานอน, ที่
ริมชายคานี้ พวกเด็กย่อมทำสกปรก, ที่ริมกองหยากเยื่อนี้ ชนทั้งหลาย
ย่อมเทหยากเยื่อ, ที่ริมประตูบ้านนี้ เด็กพวกชาวบ้าน ย่อมเล่นการพนัน
กันด้วยคะแนน" ดังนี้แล้ว ได้ห้ามที่ทั้งปวงนั้นเสีย.
ครั้งนั้น หญิงสหาย จึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในที่อันสงัดภายนอก
บ้านแล้ว นำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปเพื่อนาง
ยักษิณีนั้น แล้วปฏิบัติในที่นั้น. นางยักษิณีนั้น คิดอย่างนี้ว่า "เดี๋ยวนี้
หญิงสหายของเรานี้ มีอุปการะแก่เรามาก, เอาเถอะเราจักทำความ
แทนคุณสักอย่างหนึ่ง" ดังนี้แล้ว ได้บอกแก่หญิงสหายว่า "ในปีนี้
จักมีฝนดี, ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ดอนเถิด, ในปีนี้ฝนจักแล้ง ท่านจง
ทำข้าวกล้าในที่ลุ่มเถิด. ข้าวกล้าอันพวกชนที่เหลือทำแล้ว ย่อมเสียหาย
ด้วยน้ำมากเกินไปบ้าง ด้วยน้ำน้อยบ้าง. ส่วนข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้น
ย่อมสมบูรณ์เหลือเกิน.
นางยักษิณีเริ่มตั้งสลากภัต
ครั้งนั้น พวกชนที่เหลือเหล่านั้น พากันถามนางว่า "แม่ ข้าว
กล้าที่หล่อนทำแล้ว ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ำมากเกินไป ย่อมไม่เสียหายด้วย
น้ำน้อยไป, หล่อนรู้ความที่ฝนดีและฝนแล้งแล้วจึงทำการงานหรือ ? ข้อนี้
เป็นอย่างไรหนอแล ?" นางบอกว่า "นางยักษิณี ผู้เป็นหญิงสหาย
ของฉันบอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน, ฉันทำข้าวกล้าทั้งหลายในที่
ดอนและที่ลุ่ม ตามคำของยักษิณีนั้น, เหตุนั้น ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดี,
พวกท่านไม่เห็นโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ที่ฉันนำไปจากเรือน

76
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 77 (เล่ม 40)

เนืองนิตย์หรือ ? สิ่งของเหล่านั้น ฉันนำไปให้นางยักษิณีนั้น. แม้พวก
ท่านก็จงนำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดี ไปให้นางยักษิณี
บ้างซิ, นางยักษิณีก็จักแลดูการงานของพวกท่านบ้าง."
ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองทั้งสิ้น พากันทำสักการะแก่นางยักษิณี
นั้นแล้ว. จำเดิมแต่นั้นมา นางยักษิณีแม้นั้น แลดูการงานทั้งหลายของ
ชนทั้งปวงอยู่ ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศ [และ] มีบริวารมากแล้ว.
ในกาลต่อมา นางยักษิณีนั้นเริ่มตั้งสลากภัต ๘ ที่แล้ว. สลากภัต
นั้น ชนทั้งหลายยังถวายอยู่จนกาลทุกวันนี้แล.
เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี จบ.

77
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 78 (เล่ม 40)

๕. เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี [๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกภิกษุ
ชาวเมืองโกสัมพี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปเร จ น วิชานนฺติ"
เป็นต้น.
พระวินัยธรกับพระธรรมกถึกเถียงกันเรื่องวินัย
ความพิสดารว่า ภิกษุ ๒ รูป คือ พระวินัยธรรูป ๑ พระธรรม-
กถึกรูป ๑ มีบริวารรูปละ ๕๐๐ ได้อยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี.
วันหนึ่ง ในภิกษุ ๒ รูปนั้น พระธรรมกถึก ไปถามแล้ว เว้นน้ำชำระ
ที่เหลือไว้ในภาชนะ ที่ซุ้มน้ำแล้ว ก็ออกมา. ภายหลัง พระวินัยธร
เข้าไปที่ซุ้มน้ำนั้น เห็นน้ำนั้น ออกมาถามพระธรรมกถึกนอกนี้ว่า
"ผู้มีอายุ ท่านเหลือน้ำไว้หรือ ?"
ธ. ขอรับ ผู้มีอายุ.
ว. ท่านก็ไม่รู้ว่าอาบัติ ในเพราะการเหลือน้ำไว้นี้หรือ ?
ธ. ขอรับ ผมไม่ทราบ
ว. ไม่รู้ก็ช่างเถิด ผู้มีอายุ เป็นอาบัติในข้อนี้.
ธ. ถ้าอย่างนั้น ผมจักทำคืนอาบัตินั้นเสีย.
ว. ผู้มีอายุ ก็ถ้าว่าข้อนั้นท่านไม่แกล้งทำ เพราะความไม่มีสติ,
อาบัติไม่มี.

78
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 79 (เล่ม 40)

พระธรรมกถึกนั้น ได้เป็นผู้มีความเห็นอาบัตินั้นว่ามิใช่อาบัติ.
ฝ่ายพระวินัยธร ได้บอกแก่พวกนิสิตของตนว่า "พระธรรมกถึก
รูปนี้ แต่ต้องอาบัติก็ไม่รู้." พวกนิสิตพระวินัยธรนั้น เห็นพวกนิสิต
ของพระธรรมกถึกนั้นแล้ว ได้กล่าวว่า "พระอุปัชฌาย์ของพวกท่าน
แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ." พวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้น
ไปแจ้งแก่พระอุปัชฌาย์ของตนแล้ว. พระธรรมกถึกนั้น พูดอย่างนี้ว่า
"พระวินัยธรรูปนี้ เมื่อก่อนพูดว่า 'ไม่เป็นอาบัติ,' เดี๋ยวนี้พูดว่า
' เป็นอาบัติ,' พระวินัยธรนั้น พูดมุสา;" พวกนิสิตของพระธรรมกถึก
นั้นไปกล่าวว่า "พระอุปัชฌาย์ของพวกท่าน พูดมุสา." พวกนิสิตของ
พระวินัยธรและพระธรรมกถึกนั้น ทำความทะเลาะกันและกันให้เจริญ
แล้ว ด้วยประการอย่างนี้.
ภายหลัง พระวินัยธรได้โอกาสแล้ว จึงได้ทำอุกเขปนียกรรมแก่๑
พระธรรมกถึก เพราะโทษที่ไม่เห็นอาบัติ. จำเดิมแต่กาลนั้น แม้พวก
อุปัฏฐากผู้ถวายปัจจัยของภิกษุ ๒ รูปนั้น ก็ได้เป็น ๒ ฝ่าย. พวก
ภิกษุณีผู้รับโอวาทก็ดี พวกอารักขเทวดาก็ดี๒ ของภิกษุ ๒ รูปนั้น พวก
อากาสัฏฐเทวดา๓ ผู้เพื่อนเห็น เพื่อนคบ ของพวกอารักขเทวดาเหล่านั้น
ก็ดี พวกปุถุชนทั้งปวงก็ดี ได้เป็น ๒ ฝ่าย ตลอดจนพรหมโลกก็โกลาหล
กึกก้องเป็นเสียงเดียว ได้ขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพ.
พระศาสดาตรัสสอนให้สามัคคีกัน
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า กราบทูลการ
๑. กรรมที่สงฆ์จะพึงทำแก่ภิกษุที่สงฆ์สมควรจะยกเสีย. ๒. เทวดาผู้คุ้มครองรักษา ๓. เทวดา
ผู้สถิตอยู่ในอากาศ.

79
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 80 (เล่ม 40)

ที่พวกภิกษุผู้ยกวัตรถือว่า๑ "พระธรรมถึกรูปนี้ สงฆ์ยกเสียแล้วด้วยกรรม
ที่ประกอบด้วยธรรมแท้," และการที่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามพระธรรม-
กถึกผู้ที่สงฆ์ยกเสียแล้วถือว่า "พระอุปัชฌาย์ของพวกเรา สงฆ์ยกเสียแล้ว
ด้วยกรรมซึ่งมิได้ประกอบด้วยธรรม," และการที่พวกภิกษุผู้ประพฤติตาม
พระธรรมกถึก ผู้ที่สงฆ์ยกวัตรเหล่านั้น แม้อันพวกภิกษุผู้ยกวัตรห้ามอยู่
ก็ยังขืนเที่ยวตามห้อมล้อมพระธรรมกถึกนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
ส่งโอวาทไปว่า "นัยว่า ภิกษุทั้งหลายจงพร้อมเพรียงกัน" ถึง ๒ ครั้ง
ทรงสดับว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะเป็นผู้
พร้อมเพรียงกัน," ครั้นหนที่ ๓ ทรงสดับว่า "ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว
ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว" ดังนี้ จึงเสด็จไปสู่สำนักของเธอทั้งหลายแล้ว
ตรัสโทษในการยกวัตรของพวกภิกษุผู้ยกวัตร และโทษในการไม่เห็น
อาบัติของพวกภิกษุนอกนี้แล้ว ทรงอนุญาตสังฆกรรมทั้งหลายมีอุโบสถ
เป็นต้น ในสีมาเดียวกันที่โฆสิตารามนั่นเอง แก่เธอทั้งหลายอีกแล้ว
ทรงบัญญัติวัตรในโรงฉันว่า "ภิกษุทั้งหลาย พึงนั่งในแถวมีอาสนะหนึ่ง ๆ
ในระหว่าง๒ ๆ" ดังนี้เป็นต้น แก่เธอทั้งหลาย ผู้เกิดการแตกร้าวใน
สถานที่ทั้งหลาย มีโรงฉันเป็นต้น แล้วทรงสดับว่า "ถึงเดี๋ยว นี้ ภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ยังเกิดการแตกร้าวกันอยู่" จึงเสด็จไปที่โฆสิตารามนั้นแล้ว
ตรัสห้ามว่า "อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านอย่าได้ทำการแตกร้าวกัน"
ดังนี้เป็นต้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการแตกร้าว การ
ทะเลาะ การแก่งแย่งและการวิวาทนั่น ทำความฉิบทายให้. แท้จริง
๑. ลทฺธึ. ๒. ได้แก่นั่งเป็นแถว เว้นช่องว่างไว้ให้ภิกษุอื่นเข้าแทรกนั่งได้รูปหนึ่ง ๆใน
ระหว่าง.

80
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 81 (เล่ม 40)

แม้นางนกลฏุกิกา๑ อาศัยการทะเลาะกัน ยังอาจทำพระยาช้างให้ถึงความ
สิ้นชีวิต" ดังนี้แล้ว ตรัสลฏุกิกชาดก๒แล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ขอพวกท่านจงพร้อมเพรียงกันเถิด อย่าวิวาทกันเลย, เพราะว่า แม้นก
กระจาบดังหลายพัน อาศัยความวิวาทกัน ได้ถึงความสิ้นชีวิต" ดังนี้แล้ว
ตรัสวัฏฏกชาดก.๓
ตรัสสอนเท่าไรก็ไม่เชื่อ
แม้อย่างนี้ พวกภิกษุนั้นก็ไม่เธอถือถ้อยคำ, เมื่อภิกษุผู้เป็น
ธรรมวาทีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่พอใจให้พระตถาคตเจ้าทรงลำบาก กราบ
ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจ้าของแห่งธรรม
ทรงรอก่อน, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีความ
ขวนขวายน้อย หมั่นประกอบธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมอยู่เถิด;
พวกข้าพระองค์จักปรากฏ เพราะการแตกร้าว การทะเลาะ การแก่งแย่ง
และการวิวาทนั่นเอง; พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าถึงความที่พระเจ้าทีฆีติ-
โกศลราช ถูกพระเจ้าพรหมทัต ชิงเอาราชสมบัติ ปลอมเพศไม่ให้ใคร
รู้จัก เสด็จอยู่ (ในเมืองพาราณสี) ถูกจับปลงพระชนม์เสีย และความ
ที่พระเจ้าพรหมทัต และทีฆาวุกุมารเหล่านั้นพร้อมเพรียงกัน จำเดิมแต่
เมื่อทีฆาวุกุมารยกพระชนม์ของพระองค์ถวายว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้
ได้เคยมีแล้ว ในเมืองพาราณสี ได้มีพระเจ้ากรุงกาสี (พระองค์หนึ่ง)
ทรงพระนามว่าพระเจ้าพรหมทัต" ดังนี้เป็นต้น แม้ตรัสสอนว่า "ภิกษุ
๑. นกไส้. ๒. ขุ. ชา. ปัญจก. ๒๗/๑๗๐. อรรถกถา. ๔/๔๔๖. ๓. ขุ ชา. เอก. ๒๗/๓๘.
อรรถกถา. ๒/๒๙๗.

81
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 82 (เล่ม 40)

ทั้งหลาย ความอดกลั้นและความสงบเสงี่ยม. เห็นปานนั้น๑ ยังได้มีแล้ว
แก่พระราชาเหล่านั้น ผู้มีไม้อันถือไว้แล้ว ผู้มีศัสตราอันถือไว้แล้ว;
ข้อที่ท่านทั้งหลายผู้บวชแล้วในธรรมวินัยที่กล่าวชอบแล้วอย่างนี้ ควรเป็น
ผู้อดกลั้นเป็นผู้สงบเสงี่ยม, จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แล ภิกษุทั้งหลาย"
ดังนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจะทำเธอทั้งหลาย ให้พร้อมเพรียงกันได้เลย.
พระศาสดาทรงระอาจึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ป่ารักขิตวัน
พระองค์ทรงระอาพระทัย เพราะความอยู่อาเกียรณนั้น ทรงพระ-
ดำริว่า "เดี๋ยวนี้เราอยู่อาเกียรณเป็นทุกข์. และภิกษุเหล่านั้นไม่ทำ (ตาม)
คำของเรา ถ้าอย่างไร เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว" ดังนี้
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ ทรงถือ
บาตรจีวรของพระองค์ เสด็จไปพาลกโลณการาม แต่พระองค์เดียว
ตรัสเอกจาริกวัตร๒ แก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้นแล้ว ตรัส
อานิสงส์แห่งสามัคคีรสเก่กุลบุตร ๓ คน ในมิคทายวัน๓ ชื่อปาจีนวังสะ
แล้ว เสด็จไปทางบ้านปาริเลยยกะ. ดังได้สดับมา ครั้งนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงอาศัยบ้านปาริเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ควงไม้สาละใหญ่
ในราวป่ารักขิตวัน อันช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากอยู่เป็นผาสุก.
พวกอุบาสกทรมานพระภิกษุ
ฝ่ายพวกอุบาสก ผู้อยู่ในเมืองโกสัมพีแล ไปสู่วิหาร ไม่เห็น
พระศาสดา จึงถามว่า "พระศาสดาเสด็จอยู่ที่ไหน ? ขอรับ." ภิกษุ
๑. ภวิสฺสติ เป็นกิริยาอาขยาต บอกอนาคตกาล แต่ในประโยคนี้มี หิ นาม จึงแปล
ภวิสฺสติ เป็นอดีตกาล. ๒. ได้แก่ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้อยู่แต่ผู้อยู่แต่ผู้เดียว. ๓. ป่าซึ่งประทาน
ให้หมู่เนื้ออาศัย ป่าชนิดนี้ใครจะทำอันตรายแก่หมู่สัตว์ไม่ได้.

82
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 83 (เล่ม 40)

เหล่านั้นกล่าวว่า. "พระองค์เสด็จไปสู่ราวป่าปาริเลยยกะเสียแล้ว."
อุ. เพราะเหตุอะไร ? ขอรับ.
ภ. พระองค์ทรงพยายามจะทำพวกเราให้พร้อมเพรียงกัน . แต่
พวกเราหาได้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันไม่.
อุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายบวชในสำนักของพระศาสดา
แล้ว, ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำสามัคคี, ไม่ได้เป็นผู้สามัคคีกันแล้วหรือ ?
ภ. อย่างนั้นแล ผู้มีอายุ.
พวกมนุษย์คิดกันว่า "ภิกษุพวกนี้ บวชในสำนักของพระศาสดา
แล้ว, ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำสามัคคีอยู่, ก็ไม่สามัคคีกันแล้ว; พวก
เราไม่ได้เห็นพระศาสดา เพราะอาศัยภิกษุพวกนี้; พวกเราจักไม่ถวาย
อาสนะ จักไม่ทำสามีจิกรรมมีการไหว้เป็นต้นแก่ภิกษุพวกนี้:" จำเดิม
แต่นั้นมา ก็ไม่ทำสามีจิกรรมแก่ภิกษุพวกนั้น. เธอทั้งหลาย
ซูบซีดเพราะมีอาหารน้อย, โดยสองสามวันเท่านั้นก็เป็นคนตรง แสดง
โทษที่ล่วงเกินแก่กันและกัน ต่างรูปต่างขอขมากันแล้ว กล่าวว่า
"อุบาสกทั้งหลาย พวกเราพร้อมเพรียงกันแล้ว . ฝ่ายพวกท่าน ขอให้
เป็นพวกเราเหมือนอย่างก่อน."
อุ. พวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้วหรือ ? ขอรับ.
ภ. ยังไม่ได้ทูลขอขมา ผู้มีอายุ.
อุ. ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาเสีย, ฝ่ายพวก
ข้าพเจ้าจักเป็นพวกท่านเหมือนอย่างก่อน ในกาลเมื่อพวกท่านทูลขอขมา
พระศาสดาแล้ว.
เธอทั้งหลายไม่สามารถจะไปสู่สำนักของพระศาสดา เพราะเป็น

83
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 84 (เล่ม 40)

ภายในพรรษา ยังภายในพรรษานั้น ให้ล่วงไปด้วยความลำบาก.
ช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากพระศาสดา
ฝ่ายพระศาสดา อันช้างนั้นอุปัฏฐากอยู่ ประทับอยู่สำราญแล้ว.
ฝ่ายช้างนั้น ละฝูงเข้าไปสู่ราวป่านั้น เพื่อต้องการความอยู่ผาสุก.
พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้อย่างไร ? พระธรรมสังคาหกาจารย์
กล่าวไว้ว่า (ครั้งนั้น ความตริได้มีแก่พระยาช้างนั้นว่า) " เราอยู่
อาเกียรณด้วยพวกช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้นและลูกช้าง เคี้ยวกิน
หญ้าที่เขาเด็ดปลายเสียแล้ว, และเขาคอยเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่เราหักลง ๆ และ
เราดื่มน้ำที่ขุ่น, เมื่อเราลงและขึ้นสู่ท่าแล้ว พวกช้างพังก็เดินเสียดสีกาย
ไป; ถ้าอย่างไร เราจะหลีกออกจากหมู่อยู่ตัวเดียว." ครั้งนั้นแล
พระยาช้างนั้น หลีกออกจากโขลง เข้าไป ณ บ้านปาริเลยยกะ ราวป่า
รักขิตวัน ควงไม้สาละใหญ่ (และ) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่แล้ว;
ก็แลครั้นเข้าไปแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แลดูอยู่ไม่เห็นวัตถุ
อะไร ๆ อื่น จึงกระทืบควงไม้สาละใหญ่ด้วยเท้า ถาก (ให้เรียบ)
ถือกิ่งไม้ด้วยงวงกวาด. ตั้งแต่นั้นมา พระยาช้างนั้นจับหม้อด้วยงวง
ตักน้ำฉันน้ำใช้มาตั้งไว้, เมื่อทรงพระประสงค์ด้วยน้ำร้อน, ก็จัดน้ำร้อน
ถวาย. พระยาช้างนั้นจัดน้ำร้อนได้อย่างไร ? พระยาช้างนั้นสีไม้แห้ง
ด้วยงวงให้ไฟเกิด, ใส่ฟืนให้ไฟลุกขึ้น เผาศิลาในกองไฟนั้นแล้ว
กลิ้งก้อนศิลาเหล่านั้นไปด้วยท่อนไม้ ทิ้งลงในสะพังน้อยที่ตัวกำหนดหมาย
ไว้, ลำดับนั้น หย่อนงวงลงไป รู้ว่าน้ำร้อนแล้ว, จึงไปถวายบังคม
พระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า "ปาริเลยยกะ น้ำเจ้าต้มแล้วหรือ ?"

84