No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 45 (เล่ม 40)

ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "ท่านจะทำคู่ล้อให้แก่ข้าพเจ้าโตเท่าไร ?" เมื่อ
พราหมณ์นั้นกล่าวว่า "ท่านจะต้อการโตเท่าไรเล่า ? จึงบอกว่า
"ข้าพเจ้าต้องการด้วยพระจันทร์ และพระ-
อาทิตย์ทั้งสองดวง ท่านอันข้าพเจ้าขอแล้ว
โปรดให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองนั้น
แก่ข้าพเจ้าเถิด."
มาณพนั้นกล่าวซ้ำแก่เขา
"พระจันทร์และพระอาทิตย์ ส่องแสงเป็น
คู่กัน ในวิถีทั้งสอง รถของข้าพเจ้าทำด้วย
ทองคำ ย่อมงามสมกับคู่ล้ออันนั้น."
ลำดับนั้น พราหมณ์พูดกับเขาว่า
"พ่อมาณพ ท่านผู้ปรารถนาของที่ไม่ควร
ปรารถนา เป็นคนเขลาแท้ ๆ, ข้าพเจ้าเข้าใจ
ว่า ท่านจักตายเสียเปล่า จักไม่ได้พระจันทร์
และพระอาทิตย์ทั้งสองเลย."
ลำดับนั้น มาณพจึงพูดกะพราหมณ์นั้นว่า "ก็บุคคลผู้ร้องไห้
เพื่อต้องการสิ่งซึ่งปรากฏอยู่ เป็นคนเขลา หรือว่าบุคคลผู้ร้องไห้เพื่อ
ต้องการสิ่งซึ่งไม่ปรากฏอยู่ เป็นคนเขลาเล่า ?" ดังนี้แล้ว จึงกล่าว
เป็นคาถา
"แม้ความไปและความมา ของพระจันทร์
และพระอาทิตย์ก็ปรากฏอยู่ ธาตุคือวรรณะแห่ง

45
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 46 (เล่ม 40)

พระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็ปรากฏอยู่ในวิถี
ทั้งสอง (ส่วน) ชนที่ทำกาละ ละไปแล้ว
ใครก็ไม่แลเห็น, บรรดาเราทั้งสอง ผู้คร่ำครวญ
อยู่ในที่นี้ ใครจะเป็นคนเขลากว่ากัน."
พราหมณ์ย่อมจำนนแล้วชมเชยเทพบุตร
พราหมณ์สดับคำนั้นแล้ว กำหนดได้ว่า "มาณพนี้พูดถูก" จึง
กล่าวว่า
"พ่อมาณพ ท่านพูดจริงทีเดียว, บรรดา
เราทั้งสอง ผู้คร่ำครวญอยู่ (ในที่นี้) ข้าพเจ้า
เองเป็นคนเขลากว่า, ข้าพเจ้าอยากได้บุตรที่ทำ
กาละแล้วคืนมา เป็นเหมือนทารกร้องไห้อยาก
ได้พระจันทร์"
ดังนี้แล้ว เป็นผู้หายโศก เพราะถ้อยคำของมาณพนั้น, เมื่อ
จะทำความชมเชยมาณพ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
"ท่านมาดาข้าพเจ้าซึ่งเป็น๑ผู้ร้อนหนักหนา
เหมือนบุคคลดับไฟที่ติดน้ำมันด้วยน้ำ, ข้าพเจ้า
ย่อมยังความกระวนกระวายทั้งปวง ให้ดับได้
๑. สนฺตํ ในคาถาเท่ากับสมานํ.

46
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 47 (เล่ม 40)

ท่านผู้บรรเทาความโศกถึงบุตรของข้าพเจ้า อัน
ความโศกครอบงำแล้ว ได้ถอนลูกศรคือความโศก
อันเสียดหฤทัยข้าพเจ้าออกได้หนอ ข้าพเจ้านั้น
เป็นผู้มีลูกศรอันท่านถอนเสียแล้ว เป็นผู้เย็นสงบ
แล้ว, พ่อมาณพ ข้าพเจ้าหายเศร้าโศก หาย
ร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำของท่าน."
พราหมณ์ซักถามเทพบุตร
ขณะนั้น พราหมณ์ เมื่อจะถามเขาว่า "ท่านชื่ออะไร ?" จึง
กล่าวว่า
"ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือว่าเป็น
ท้าวปุรินททสักกเทวราช, ท่านชื่อไร ? หรือ
เป็นบุตรของใคร ? อย่างไร ข้าพเจ้าจะรู้จัก
ท่านได้ ?"
ลำดับนั้น มาณพบอกแก่เขาว่า
"ท่านเผาบุตรคนใด ในป่าช้าเองแล้ว ย่อม
คร่ำครวญและร้องไห้ถึงบุตรคนใด บุตรคนนั้น
คือข้าพเจ้า ทำกุศลธรรมแล้ว ถึงความเป็นเพื่อน
ของเหล่าไตรทศ (เทพดา)."
พราหมณ์ได้กล่าวว่า

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 48 (เล่ม 40)

"เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมาก ในเรือนของ
ตน หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้นอยู่ ข้าพเจ้า
ไม่เห็น, ท่านไปเทวโลกได้เพราะกรรมอะไร ?"
มาณพได้กล่าวว่า
"ข้าพเจ้ามีโรค เจ็บลำบาก มีการระส่ำ
ระสายอยู่ในเรือนของตน, ได้เห็นพระพุทธเจ้า
ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ข้ามความสงสัยเสียได้
เสด็จไปดี มีพระปัญญาไม่ทราม, ข้าพเจ้านั้น
มีใจเบิกบานแล้ว มีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้ถวาย
อัญชลีแด่พระตถาคตเจ้า. ข้าพเจ้าได้ทำกุศล-
กรรมนั้นแล้ว จึงได้ถึงความเป็นเพื่อนของเหล่า
ไตรทศ (เทพดา)."
พราหมณ์ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
เมื่อมาณพนั้น กำลังพูดพร่ำอยู่นั่นเทียว, สรีระทั้งสิ้นของ
พราหมณ์ก็เต็มแล้วด้วยปีติ. เขาเมื่อจะประกาศปีตินั้น จึงกล่าวว่า
"น่าอัศจรรย์หนอ น่าประหลาดหนอ วิบาก
ของการทำอัญชลีนี้ เป็นไปได้เช่นนี้ แม้
ข้าพเจ้า มีใจเบิกบานแล้ว มีจิตเลื่อมใสแล้ว
ถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะในวันนี้แล."

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 49 (เล่ม 40)

เทพบุตรโอวาทพราหมณ์แล้วก็หายตัวไป
ลำดับนั้น มาณพได้กล่าวตอบว่า
"ท่านจงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว ถึงพระ-
พุทธเจ้า ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ ว่าเป็น
สรณะในวันนี้แล ท่านจงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
อย่างนั้นนั่นแล สมาทานสิกขาบท ๕ อย่า
ให้ขาดทำลาย, จงรีบเว้นจากปาณาติบาต (การ
ฆ่าสัตว์) จงเว้นของที่เจ้าของยังไม่ให้ในโลก,
จงอย่าดื่มน้ำเมา, จงอย่าพูดปด, และจงเป็น
ผู้เต็มใจด้วยภรรยาของตน."
เขารับว่า "ดีแล้ว" ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า
"ดูก่อนยักษ์๑ ท่านเป็นผู้ใคร่ประโยชน์
แก่ข้าพเจ้า, ดูก่อนเทพดา ท่านเป็นผู้ใคร่สิ่งที่
เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะทำ (ตาม)
ถ้อยคำของท่าน, ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า,
ข้าพเจ้าเข้าถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะด้วย,
ข้าพเจ้าเข้าถึงแม้พระธรรม ซึ่งไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า
ว่าเป็นสรณะด้วย, ข้าพเจ้าเข้าถึงพระสงฆ์ของ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ (พิเศษ) ดุจเทพดา
ว่าเป็นสรณะด้วย, ข้าพเจ้าจะรีบเว้นจาก
๑. คำนี้ในที่อื่นหมายถึงผู้ดุร้าย แต่ในที่นี้หมายถึงผู้อันบุคคลควรบูชา.

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 50 (เล่ม 40)

ปาณาติบาต, เว้นของที่เจ้าของยังไม่ให้ในโลก,
ไม่ดื่มน้ำเมา, ไม่พูดปด, และเป็นผู้เต็มใจ
ด้วยภรรยาของตน."
ลำดับนั้น เทพบุตรกล่าวกะเขาว่า "พราหมณ์ ทรัพย์ในเรือน
ของท่านมีมาก, ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายทาน, จงฟังธรรม,
จงถามปัญหา " ดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นแล.
พราหมณ์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
ฝ่ายพราหมณ์ ไปเรือนแล้วเรียกนางพราหมณีมา พูดว่า "นาง
ผู้เจริญ ฉันจักนิมนต์พระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหา, หล่อนจงทำ
สักการะ" ดังนี้แล้ว ไปสู่วิหาร ไม่ถวายบังคมพระศาสดาเลย ไม่ทำ
ปฏิสันถาร ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลว่า " พระโคดมผู้เจริญ
ของพระองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารแห่งข้าพระองค์
เพื่อเสวยในวันนี้ ."
พระศาสดาทรงรับแล้ว. เขาได้ทราบว่า พระศาสดาทรงรับแล้ว
จึงมาโดยเร็ว ใช้คนให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารไว้ในเรือนของตน.
พระศาสดาอันหมู่ภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปสู่เรือนแห่งพราหมณ์นั้น
ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งไว้. พราหมณ์อังคาสแล้ว (เลี้ยงแล้ว)
โดยเคารพ.
มหาชนประชุมกัน. ได้ยินว่า เมื่อพระตถาคตอันพราหมณ์ผู้
มิจฉาทิฏฐินิมนต์แล้ว, หมู่ชน ๒ พวกมาประชุมกัน คือพวกชนผู้เป็น

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 51 (เล่ม 40)

มิจฉาทิฏฐิประชุมกัน ด้วยตั้งใจว่า "วันนี้ พวกเราจักคอยดูพระ-
สมณโคดมที่ถูกพราหมณ์เบียดเบียนอยู่ ด้วยการถามปัญหา," พวกชนผู้
เป็นสัมมาทิฏฐิก็ประชุมกัน ด้วยตั้งใจว่า "วันนี้ พวกเราจักคอยดู
พุทธวิสัย พุทธลีลา."
ลำดับนั้น พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว
นั่งบนอาสนะต่ำ ได้ทูลถามปัญหาว่า " พระโคดมผู้เจริญ มีหรือ
ขึ้นชื่อว่า เหล่าชนที่ไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่
ได้ฟังธรรม ไม่ได้รักษาอุโบสถเลย ได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยมาตรว่า
ใจเลื่อมใสอย่างเดียวเท่านั้น ?"
ศ. พราหมณ์ เหตุใดท่านมาถามเรา, ความที่ตนทำใจให้เลื่อมใส
ในเราแล้วเกิดในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลีผู้บุตรของท่านบอกแก่ท่านมิใช่
หรือ ?
พ. เมื่อไร ? พระโคดมผู้เจริญ.
ศ. วันนี้ท่านไปป่าช้าคร่ำครวญอยู่. เห็นมาณพคนหนึ่ง กอด
แขนคร่ำครวญอยู่ในที่ไม่ไกลแล้ว ถามว่า
"ท่านตกแต่งแล้วเหมือนมัฏฐกุณฑลี มีภาระ
คือระเบียบดอกไม้ มีตัวฟุ้งด้วยจันทน์เหลือง"
ดังนี้เป็นต้น มิใช่หรือ ? เมื่อจะทรงประกาศถ้อยคำที่ชนทั้งสองกล่าวกัน
แล้วได้ตรัสเรื่องมัฏฐกุณฑลีทั้งหมด. เพราะฉะนั้นแลเรื่องมัฏฐกุณฑลีนั้น
จึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธภาษิต. ก็แล ครั้นพระศาสดาตรัสเล่าเรื่องมัฏฐกุณฑลี
นั้นแล้ว จึงตรัสว่า "พราหมณ์ ใช่ว่าจะมีแต่ร้อยเดียวและสองร้อย,

51
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 52 (เล่ม 40)

โดยที่แท้ การที่จะนับเหล่าสัตว์ซึ่งทำใจให้เลื่อมใสในเราแล้วเกิดในสวรรค์
ย่อมไม่มี." มหาชนได้เป็นผู้เกิดความสงสัยแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบความที่มหาชนนั้นไม่สิ้นความ
สงสัย ได้ทรงอธิษฐานว่า " ขอมัฏฐกุณฑลีเทวบุตร จงมาพร้อมด้วย
วิมานทีเดียว." เธอมีอัตภาพอันประดับแล้วด้วยเครื่องอาภรณ์ทิพย์ สูง
ประมาณ ๓ คาวุตมาแล้ว ลงมาจากวิมาน ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ได้ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะตรัสถามเธอว่า "ท่านทำกรรมสิ่งไร
จึงได้สมบัตินี้" ได้ตรัสพระคาถาว่า
"เทพดา ท่านมีกายงามยิ่งนัก ยืนทำทิศ
ทั้งสิ้นให้สว่าง เหมือนดาวประจำรุ่ง, เทพ
ผู้มีอานุภาพมาก เราขอถามท่าน (เมื่อ) ท่าน
เป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้."
เทพบุตรกราบทูลว่า "พระองค์ผู้เจริญ สมบัตินี้ข้าพระองค์ได้
แล้ว เพราะทำให้ให้เลื่อมใสในพระองค์."
ศ. สมบัตินี้ ท่านได้แล้ว เพราะทำใจให้เลื่อมใสในเราหรือ ?
ท. พระเจ้าข้า.
มหาชนแลดูเทพบุตรแล้ว ได้ประกาศความยินดีว่า "แน่ะพ่อ !
พุทธคุณน่าอัศจรรย์จริงหนอ บุตรของพราหมณ์ ชื่อว่า อทินนปุพพกะ
ไม่ได้ทำบุญอะไร ๆ อย่างอื่น ยังใจให้เลื่อมใสพระศาสดาแล้ว ได้
สมบัติเห็นปานนี้."

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 53 (เล่ม 40)

ใจเป็นใหญ่ในกรรมทุกอย่าง
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พวกชนเหล่านั้นว่า "ในการทำ
กรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นใหญ่, เพราะว่า
กรรมที่ทำด้วยใจอันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ละบุคคลผู้ไปสู่เทวโลกมนุษยโลก
ดุจเงาฉะนั้น" ครั้นตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นธรรมราชา ได้ตรัส
พระคาถานี้สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว
ด้วยพระราชลัญจกรว่า:-
๒. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนส ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี.
" ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็น
ใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส
แล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไป
ตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว
ฉะนั้น.
แก้อรรถ
จิตที่เป็นไปใน ๔๑ ภูมิ แม้ทั้งหมด เรียกว่าใจ ในพระคาถานั้น
ก็จริง โดยไม่แปลกกัน, ถึงอย่างนั้น เมื่อนิยม กะ กำหนดลง ในบทนี้
ย่อมได้แก่จิตเป็นกามาพจรกุศล ๘ ดวง; ก็เมื่อกล่าวด้วยสามารถวัตถุ
๑. ภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ ๑ รูปาวจรภูมิ ๑ อรูปาวจรภูมิ ๑ โลกุตรภูมิ ๑.

53
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 54 (เล่ม 40)

ย่อมได้แก่จิตประกอบด้วยญาณ เป็นไปกับด้วยโสมนัสแม้จากกามาพจร
กุศลจิต ๔ ดวงเท่านั้น.
บทว่า ปุพฺพงฺคมา ความว่า ประกอบกับใจซึ่งเป็นผู้ไปก่อนนั้น.
ขันธ์ ๓ มีเวทนาเป็นต้น ชื่อว่าธรรม. แท้จริง ใจเป็นหัวหน้าของ
อรูปขันธ์ทั้ง ๓ มีเวทนาขันธ์เป็นต้นนั้น โดยอรรถคือเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้เกิดขึ้น เหตุนั้นขันธ์ทั้ง ๓ ประการนั่น จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า.
เหมือนอย่างว่า เมื่อทายกเป็นอันมาก กำลังทำบุญ มีถวายบาตรและ
จีวรเป็นต้น แก่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ดี มีบูชาอันยิ่ง และฟังธรรม และ
ตามประทีป และทำสักการะด้วยระเบียบดอกไม้เป็นต้นก็ดี ด้วยกัน
เมื่อมีผู้กล่าวว่า "ใครเป็นหัวหน้าของทายกเหล่านั้น," ทายกผู้ใดเป็น
ปัจจัยของพวกเขา, คือพวกเขาอาศัยทายกผู้ใดจึงทำบุญเหล่านั้นได้,
ทายกผู้นั้น ชื่อติสสะก็ตาม ชื่อปุสสะก็ตาม ประชุมชนย่อมเรียกว่า
"เป็นหัวหน้าของพวกเขา" ฉันใด, คำอุปไมยซึ่งเป็นเครื่องให้เกิด
เนื้อความถึงพร้อมนี้ บัณฑิตพึงทราบฉันนั้น. ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้าของ
ธรรมเหล่านี้ ด้วยอรรถว่าเป็นปัจจัยเครื่องให้เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
เหตุนั้น ธรรมเหล่านี้ จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า. แท้จริง ธรรมเหล่านั้น
เมื่อใจไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้, ส่วนใจ เมื่อเจตสิก
บางเหล่าถึงยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นได้แท้. และใจชื่อว่าเป็นใหญ่กว่าธรรม
เหล่านี้ ด้วยอำนาจเป็นอธิบดี เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านี้ จึงชื่อว่า
มีใจเป็นใหญ่. อนึ่ง สิ่งของทั้งหลายนั้น ๆ เสร็จแล้วด้วยวัตถุมีทองคำ
เป็นต้น ก็ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยทองคำเป็นต้น ฉันใด, ถึงธรรมทั้งหลาย
นั่นก็ได้ชื่อว่า สำเร็จแล้วด้วยใจ เพราะเป็นของเสร็จมาแต่ใจ ฉันนั้น.

54