โทสะและโมหะแล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
หมดความยึดถือในโลกนี้หรือในโลกหน้า เขาย่อม
เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล.
จบยมกวรรคที่ ๑
โทสะและโมหะแล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
หมดความยึดถือในโลกนี้หรือในโลกหน้า เขาย่อม
เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล.
จบยมกวรรคที่ ๑
ธัมมปทัฏฐกถา
อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
คำนมัสการ
ข้าพเจ้า๑ อันพระกุมารกัสสปเถระ๒ ผู้ฝึกตน
เรียบร้อยแล้ว ประพฤติสม่ำเสมอโดยปกติ มีจิต
มั่นคง ใคร่ความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม หวังอยู่ว่า
" พระอรรถกถา อันพรรณนาอรรถแห่งพระธรรมบท
อันงาม ที่พระศาสดาผู้ฉลาดในสภาพที่เป็นธรรม
และมิใช่ธรรม มีบทคือพระสัทธรรมถึงพร้อมแล้ว มี
พระอัธยาศัยอันกำลังแห่งพระกรุณาให้อุตสาหะด้วย
ได้แล้ว ทรงอาศัยเหตุนั้น ๆ แสดงแล้ว เป็นเครื่อง
เจริญปีติปราโมทย์ ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นคำที่สุขุมละเอียด นำสืบ ๆ กันมา ตั้งอยู่แล้ว
ในตามพปัณณิทวีป๓ โดยภาษาของชาวเกาะ ยังไม่
ทำความถึงพร้อมแห่งประโยชน์ ให้สำเร็จแก่สัตว์
ทั้งหลายที่เหลือได้. ไฉนพระอรรถกถาแห่งพระ-
๑. พระพุทธโฆษาจารย์. ๒. เป็นนามพระสังฆเถระองค์หนึ่ง ในสมัยพระพุทธ
โฆษาจารย์ไม่ใช่พระกุมารกัสสป ในสมัยพุทธกาล. ๓. เกาะเป็นที่อยู่ของชาวชน
ที่มีฝ่ามือแดง คือ เกาะลังกา [Ceylon].
ธรรมบทนั้น จะทำประโยชน์ให้สำเร็จแก่โลกทั้งปวง
ได้" ดังนี้ อาราธนาโดยเคารพแล้ว จึงขอนมัสการ
พระบาทแห่งพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสิริ ทรงแลพึง
ที่สุดโลกได้ มีพระฤทธิ์รุ่งโรจน์ ทรงยังประทีป คือ
พระสัทธรรมให้รุ่งโรจน์ ในเนื้อโลกอันมืด คือโมหะ
ใหญ่ปกคลุมแล้ว, บูชาพระสัทธรรมแห่งพระสัม-
พุทธเจ้าพระองค์นั้นและทำอัญชลีแด่พระสงฆ์แห่ง
พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว จักกล่าวอรรถกถา
อันพรรณนาอรรถแห่งพระธรรมบทนั้น ด้วยภาษาอื่น
โดยอรรถไม่ให้เหลือเลย ละภาษานั้นและลำดับคำ
อันถึงพิสดารเกินเสีย ยกขึ้นสู่ภาษาอันเป็นแบบที่
ไพเรา๑ อธิบายบทพยัญชนะแห่งคาถาทั้งหลาย
ที่ท่านยังมิได้อธิบายไว้แล้วในอรรถกถานั้นให้สิ้นเชิง
นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งใจ อิงอาศัยอรรถและธรรม
แก่นักปราชญ์ทั้งหลาย.
๑. มโนรมํ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
๑. ยมกวรรควรรณนา
๑. เรื่องพระจักขุปาลเถระ [๑]
ข้อความเบื้องต้น
มีปุจฉาว่า " พระธรรมเทศนานี้ว่า
'ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี
ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพระเหตุนั้น ดุจ
ล้ออันหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำเอกไปอยู่ฉะนั้น,'
ดังนี้ พระศาสดาตรัสแล้ว ณ ที่ไหน ? "
วิสัชนาว่า "พระองค์ตรัสแล้ว ณ กรุงสาวัตถี"
มีปุจฉา (เป็นลำดับไป) ว่า " พระองค์ทรงปรารภใคร ?"
มีวิสัชนาว่า " พระองค์ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระ."
กุฎุมพีทำพิธีขอบุตร
ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุฎุมพีผู้หนึ่งชื่อมหาสุวรรณ เป็น
คนมั่งมี มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก (แต่) ไม่มีบุตร. วันหนึ่งเขา
ไปสู่ท่าอาบน้ำ อาบเสร็จแล้วกลับมา เห็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพร
ต้นหนึ่ง มีกิ่งสมบูรณ์ในระหว่างทาง คิดว่า " ต้นไม้นี้จักมีเทวดา ผู้มี
ศักดิ์ใหญ่สิงอยู่" ดังนี้แล้ว จึงให้ชำระส่วนภายใต้แห่งต้นไม้นั้นให้
สะอาดแล้ว ให้วงรั้ว เกลี่ยทราย ยกธงชัยและธงปฏากขึ้น แต่งต้นไม้
เจ้าไพรแล้ว ทำปรารถนา (คือบน) ว่า "ข้าพเจ้าได้บุตรหรือธิดา
แล้ว จักทำสักการะใหญ่ถวายท่าน " ดังนี้แล้ว หลีกไป.
กุฎุมพีได้บุตรสองคน
ในกาลเป็นลำดับมา ภรรยาของท่านเศรษฐีก็ตั้งครรภ์. ท่านก็ให้
พิธีครรภบริหาร๑ แก่นาง. ครั้นล่วง ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรคนหนึ่ง
ท่านเศรษฐีขนานนามแห่งบุตรนั้นว่า "ปาละ" เพราะเหตุทารกนั้นตน
อาศัยไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพรอันตนอภิบาลจึงได้แล้ว.
ในกาลเป็นส่วนอื่น ท่านเศรษฐีได้บุตรอีกคนหนึ่ง ขนานนาม
ว่า " จุลปาละ " ขนานนามบุตรคนแรกว่า "มหาปาละ." ครั้น
๒ กุมารนั้นเจริญวัย๒ มารดาบิดาก็คิดผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือการครอง
เคหสถาน.
ในกาลเป็นส่วนอื่น มารดาได้ทำกาลกิริยาล่วงไป. วงศ์ญาติ
ก็เปิดสมบัติทั้งหมดมอบให้แก่ ๒ เศรษฐีบุตร๓.
พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา
ในสมัยนั้น พระศาสดา ทรงประกาศพระบวรธรรมจักรให้เป็น
ไปแล้ว เสด็จไปโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ที่ท่าน
๑. เป็นพิธีอย่างหนึ่งในศาสนาพราหมณ์ทำกัน ๒ คราว คือทำเมื่อภรรยาตั้งครรภ์ได้ ๕ เดือน
ครั้งหนึ่งเรียก ปํจามฺฤตมฺ ทำเมื่อตั้งครรภ์ได้ ๗ เดือนครั้งหนึ่ง เรียกสปฺตามฺฤตมฺ.
๒. มารดาบิดา ผูกบุตรทั้งสองนั้นผู้เจริญวัยแล้ว ด้วยเครื่องผูกคือเรือน.
๓. พวกญาติก็แบ่งโภคะทั้งหมดจำเพาะแก่สองเศรษฐีบุตร.
อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี บริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิสร้างถวาย, ทรง
สั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และในทางนิพพาน.
แท้จริง พระตถาคตเสด็จอยู่จำพรรษา ๆ เดียวเท่านั้นในนิโครธ-
มหาวิหารที่พระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนนี ๘ หมื่นตระกูล, ฝ่ายพระชนก ๘
หมื่นตระกูล เข้ากันเป็นแสนหกหมื่นตระกูลสร้างถวาย, เสด็จอยู่
จำพรรษา ณ เชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙
พรรษา, เสด็จจำพรรษา ณ บุพพาราม ที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาบริจาค
ทรัพย์นับได้ ๒๗ โกฏิสร้างถวาย ๖ พรรษา. ทรงอาศัยที่ตระกูลทั้งสอง
เป็นผู้ใหญ่โดยคุณธรรม เสด็จอยู่จำพรรษาอาศัยกรุงสาวัตถี (เป็น
โคจรคาม) ถึง ๒๕ พรรษา ด้วยประการฉะนี้.
ผู้บำรุงภิกษุสามเณร
ทั้งท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ทั้งวิสาขามหาอุบาสิกา ย่อมไปสู่ที่
อุปัฏฐากพระตถาคตเจ้าวันละ ๒ ครั้งเป็นประจำ. และเมื่อไปไม่เคยมีมือ
เปล่าไป ด้วยคิดเกรงว่า " ภิกษุหนุ่มและสามเณร จักแลดูมือตน."
เมื่อไปก่อนเวลาฉันอาหาร ย่อมใช้ให้คนถือของขบเคี้ยวเป็นต้นไป; เมื่อ
ไปภายหลังแต่เวลาฉันอาหาร ใช้ให้คนถือปัญจเภสัช๒ และอัฐบาน๓
ไป. และในเคหสถานแห่งท่านทั้งสองนั้น เขาแต่งอาสนะไว้เพื่อภิกษุ
๑. กุล ตระกูล สกุล ครอบครัว (Family) . ๒. เภสัช ๕ คือ เนยใส ๑ เนยข้น
๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑. ๓. ปานะ ๘ คือ น้ำมะม่วง ๑ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า ๑
น้ำกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำมะซาง ๑ น้ำลูกจันทร์ หรือองุ่น ๑ น้ำเหง้า
อุบล ๑ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑.
แห่งละ ๒ พันรูปเป็นนิตยกาล. พระภิกษุรูปใด ปรารถนาของสิ่งใด
จะเป็นข้าวน่าหรือเภสัช ของนั้นก็สำเร็จแก่พระภิกษุรูปนั้นสมปรารถนา.
เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา
ในท่านทั้งสองนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เคยทูลถาม
ปัญหาต่อพระศาสดา จนวันเดียว. ได้ยินว่า ท่านคิดว่า " พระ-
ตถาคตเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อน
เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า ' คฤหบดีมีอุปการะ
แก่เรามาก ดังนี้ จะทรงลำบาก " แล้วไม่ทูลถามปัญหาด้วยความรัก
ในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่านเศรษฐีนั่งแล้ว
ทรงพระพุทธดำริว่า " เศรษฐีผู้นี้ รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, เหตุว่า
เราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควักดวงตาของเราออกแล้ว
ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมียผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของ
เราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับแสดงกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อ
แสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา," (ครั้น
ทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัสพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ.
ชาวสาวัตถีไปฟังธรรม
ครั้งนั้น ในกรุงสาวัตถี มีคนอยู่ ๗ โกฏิ๑. ในคนหมู่นั้น คน
ได้ฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว เกิดเป็นอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ
๑. ในกรุงสาวัตถีไม่ปรากฏว่าใหญ่โตถึงกับจุคนได้ตั้ง ๗๐ ล้าน เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นอเนก-
สังขยากระมัง ?
ยังเป็นปุถุชนอยู่ประมาณ ๒ โกฏิ. ในคนเหล่านั้น กิจของพระอริยสาวก
มีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือในกาลก่อนแต่เวลาฉันอาหาร ท่านถวายทาน
ในกาลภายหลังแต่ฉันอาหารแล้ว ท่านมีมือถือเครื่องสักการบูชามีของ
หอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ใช้คนให้ถือไทยธรรมมีผ้าเภสัชและน้ำ
ปานะเป็นต้น ไปเพื่อต้องการฟังธรรม.
มหาปาละตามไปฟังธรรม
ภายหลังวันหนึ่ง กุฎุมพีมหาปาละเห็นหมู่อริยสาวก มีมือถือ
เครื่องสักการบูชา มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไปสู่วิหาริ๑
จึงถามว่า "มหาชนหมู่นี้ไปไหนกัน ?" ครั้นได้ยินว่า " ไปฟังธรรม"
ก็คิดว่า "เราก็จักไปบ้าง" ครั้นไปถึง ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
นั่งอยู่ข้างท้ายประชุมชน.
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะทรงแสดงธรรม ทอด
พระเนตรอุปนิสัยแห่งคุณ มีสรณะ ศีล และบรรพชาเป็นต้น (ก่อน)
แล้วจึงทรงแสดงธรรมตามอำนาจอัธยาศัย.
อนุปุพพีกถา ๕
เหตุนั้น วันนั้น พระศาสดา ทอดพระเนตรอุปนิสัยของกุฎุมพี-
มหาปาละแล้ว เมื่อทรงแสดงธรรม ได้ตรัสอนุปุพพีกถา คือทรงประกาศ
ทานกถา (พรรณนาทาน) สีลกถา (พรรณนาศีล) สัคคกถา
(พรรณนาสวรรค์ ) โทษ ความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกาม
ทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะ (คือความออกไปจากกามทั้งหลาย).
๑. วิหาร สำนักสงฆ์ วัด.
มหาปาละขอบวช
กุฎุมพีมหาปาละได้สดับธรรมนั้นแล้ว คิดว่า "บุตรและธิดาก็ดี
โภคสมบัติก็ดี ย่อมไปตามผู้ไปสู่ปรโลกหาได้ไม่ แม้สรีระก็ไปกับตัว
ไม่ได้ ประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช พอเทศนา
จบ เขาก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอบวช. ขณะนั้น พระศาสดาตรัสถาม
เขาว่า "ญาติไหน ๆ ของท่านที่ควรจะต้องอำลาไม่มีบ้างหรือ ?"
เขาทูลว่า "พระเจ้าข้า น้องชายของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่."
พระศาสดารับสั่งว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านจงอำลาเขาเสีย [ก่อน]."
มหาปาละมอบสมบัติให้น้องชาย
เขาทูลรับว่า "ดีแล้ว" ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปถึงเรือน
แล้ว ให้เรียกน้องชายมา มอบทรัพย์สมบัติให้ว่า "แน่ะพ่อ สวิญญาณก-
ทรัพย์ก็ดี อวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อันใดอันหนึ่ง บรรดามีในตระกูลนี้
ทรัพย์นั้นจงตกเป็นภาระของเจ้าทั้งหมด เจ้าจงดูแลทรัพย์นั้นเถิด."
น้องชายถามว่า "นาย ก็ท่านเล่า ?"
พี่ชายตอบว่า "ข้าจักบวชในสำนักของพระศาสดา."
น. พี่พูดอะไร เมื่อมารดาของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ท่านเป็น
เหมือนมารดา เมื่อบิดาตายแล้ว ได้ท่านเป็นเหมือนบิดา. สมบัติเป็นอัน
มากมีอยู่ในเรือนของท่าน, ท่านอยู่ครองเรือนเท่านั้นอาจทำบุญได้, ขอ
ท่านอย่าได้ทำอย่างนั้นเลย.
พ. พ่อ ข้าได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา, เพราะ (เหตุที่)
พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีคุณไพเราะ (ทั้ง) ในเบื้องต้น ท่ามกลาง
และที่สุด ยกขึ้นสู่ไตรลักษณะ๑ อันละเอียดสุขุม ธรรมนั้น อันใคร ๆ
ไม่สามารถจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ในท่ามกลางเรือนได้; ข้าจักบวชละ พ่อ.
น. พี่ เออ ก็ท่านยังหนุ่มอยู่โดยแท้, เอาไว้บวชในเมื่อท่าน
แก่เถิด.
พ. พ่อ ก็แม้มือและเท้าของคนแก่ (แต่) ของตัว ก็ยังว่าไม่ฟัง
ไม่เป็นไปในอำนาจ, ก็จักกล่าวไปทำไมถึงญาติทั้งหลาย, ข้านั้นจะไม่ทำ
(ตาม) ถ้อยคำของเจ้า. ข้าจักบำเพ็ญสมณปฏิบัติให้บริบูรณ์.
มือและเท้าของผู้ใด ทรุดโทรมไปเพราะชรา
ว่าไม่ฟัง ผู้นั้น มีเรี่ยวแรงอันชรากำจัดเสียแล้ว
จักประพฤติธรรมอย่างไรได้.
ข้าจักบวชแน่ล่ะ พ่อ.
มหาปาละบรรพชาอุปสมบท
เมื่อน้องชายกำลังร้องไห้อยู่เที่ยว, เขาไปสู่สำนักพระศาสดาแล้ว
ทูลขอบวช ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว อยู่ในสำนักแห่งพระอาจารย์และ
อุปัชฌาย์ครบ ๕ พรรษาแล้ว๒ ออกพรรษา ปวารณาแล้วเข้าไปเฝ้า
พระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลถามว่า "พระเจ้าข้า ในพระศาสนานี้
มีธุระกี่อย่าง ?"
๑. ไตรลักษณะ คือ อนิจจลักษณะ ๑. ทุกขลักษณะ ๑. อนัตตลักษณะ ๑
๒. ถ้าฟังตามนี้ พระมหาปาละบรรพชาอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา หาใช่เอหิภิกขุ
อุปสัมปทาไม่.