No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 354 (เล่ม 39)

อีกนัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการเจริญเมตตาภาวนา
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อทรงแสดงความเป็นผู้ชำนาญ จึงตรัส ว่า ติฏฺฐํ จรํ
เป็นต้น. จริงอยู่ ผู้ชำนาญแล้ว ยังประสงค์จะตั้งสติในเมตตาฌานด้วย
อิริยาบถเพียงใด จะยืนหรือเดิน จะนั่งหรือนอนก็ย่อมได้. อีกนัยหนึ่ง
ผู้ชำนาญ จะยืนหรือเดิน จะนั่งหรือนอน เพราะเหตุนั้น การยืนเป็นต้น ย่อม
ไม่ทำอันตรายแก่ผู้นั้น. อนึ่งเล่า ผู้ชำนาญ ยังประสงค์จะตั้งสตินั้น ไว้ใน
เมตตาฌานนี้เพียงใด ก็ต้องเป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนจึงตั้งสติไว้ได้เพียงนั้น.
ความเนิ่นช้าในเมตตาฌานนั้น ของผู้นั้นย่อมไม่มี ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่าจะยืน
หรือเดิน นั่ง หรือนอน ยังเป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนเพียงใด ก็พึงตั้งสตินั้น
ไว้เพียงนั้น.
คาถานั้น มีอธิบาย ดังนี้ ผู้ชำนาญพึงเจริญเมตตา ที่ตรัสไว้ว่า
เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ มานสํ ภาวเย โดยประการที่ผู้ชำนาญ ไม่จำ
ต้องเอื้อด้วยอิริยาบถ บรรดาอิริยาบถมียืนเป็นต้น หรือถึงอิริยาบถมียืนเป็นต้น
ยังประสงค์จะตั้งสติในเมตตาฌานนั้นเพียงใด เป็นผู้ปราศจากความง่วงนอน
แล้วก็พึงตั้งสตินั้น ไว้เพียงนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงความเป็นผู้ชำนาญในเมตตาภาวนา
อย่างนี้ ทรงประกอบภิกษุไว้ในเมตตาวิหาร การอยู่ด้วยเมตตานั้นว่า เอตํ
สตึ อธิฏฺเฐยฺย พึงตั้งสตินั้นไว้ บัดนี้ เมื่อทรงชมเชยการอยู่นั้นจึงตรัสว่า
พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ.
คาถานั้น มีความว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ใด ทรงสรรเสริญตั้งต้นแต่
พระพุทธดำรัสว่า สุขิโน วา เขมิโน วา โหนฺตุ จงเป็นผู้มีสุข หรือ
มีความเกษม จนถึงพระพุทธดำรัสว่า เอตํ สตึ อธิฏฺเฐยฺย พึงตั้งสตินั้น

354
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 355 (เล่ม 39)

ไว้เพียงนั้น. ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวการอยู่นั้นว่าพรหมวิหาร การอยู่อย่าง
พรหม กล่าวการอยู่นั้นว่า เสฏฺฐวิหาร การอยู่อย่างประเสริฐสุด ในพระ-
ศาสนา คือในธรรมวินัยของพระอริยนี้ เพราะไม่มีโทษในการอยู่อย่างทิพย์
อยู่อย่างพรหม อยู่อย่างพระอริยะและอยู่โดยอิริยาบถวิหาร และการอยู่ด้วย
เมตตานั้นทำประโยชน์ทั้งแก่คนทั้งแก่ผู้อื่น. เพราะเหตุที่ความสงบติดต่อกัน
ไม่ถูกแทรกแซง ฉะนั้น ผู้เจริญเมตตา ยืนก็ดี เดินก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี
ยังไม่ง่วงนอนเพียงใด ก็พึงตั้งสตินั้นไว้เพียงนั้น.
การพรรณนาคาถาที่ ๑๐
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเมตตาภาวนาประการต่าง ๆ แก่
ภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะเหตุที่เมตตาใกล้ต่ออัตตทิฏฐิความเห็น
ว่าเป็นคน เพราะมีสัตว์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อทรงแสดงการบรรลุอริยภูมิ
ทำเมตตาฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาท แก่ภิกษุเหล่านั้น โดยยกการห้าม การ
ถือทิฏฐิขึ้นนำหน้า จึงทรงจบเทศนาด้วยคาถานี้ว่า ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม
เป็นต้น.
คาถานั้น มีความว่า การอยู่ด้วยเมตตาฌานนี้ใด ทรงสรรเสริญไว้
ว่า พรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวการอยู่นั้น ว่าพรหม-
วิหารในพระธรรมวินัยนี้ ผู้เจริญเมตตา ออกจากการอยู่ด้วยเมตตาฌานนั้น
แล้ว กำหนด [นาม] ธรรม มีวิตกวิจารเป็นต้น ในที่นั้น และรูปธรรมตาม
แนวการกำหนด [นาม] ธรรมเหล่านั้นเป็นต้น แล้วกำหนดอรูปธรรม และ
ด้วยการกำหนดนามรูป ก็ไม่ยึดทิฏฐิอย่างนี้ว่า นี้กองสังขารอันบริสุทธิ์บุคคล
ย่อมถือไม่ได้ว่าสัตว์ในสังขารนี้ดังนี้ เป็นผู้มีศีลโดยโลกุตรศีลตามลำดับ ถึง
พร้อมด้วยทัสสนะ ที่เข้าใจกัน ว่าสัมมาทิฏฐิในโสดาปัตติมรรค ซึ่งประกอบ

355
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 356 (เล่ม 39)

ด้วยโลกุตรศีล ต่อจากนั้น ก็นำออก ขจัดระงับความหมกมุ่นในกามทั้งหลาย
คือกิเลสกามที่ยังละไม่ได้ ด้วยการทำให้เบาบางด้วยสกทาคามิมรรคและอนา-
คามิมรรค และด้วยการละไม่ให้เหลือเลย ก็ย่อมไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์
มารดาอีก คือ ไม่ต้องนอนในครรภ์อีกอย่างแน่นอน ได้แก่ บังเกิดในหมู่
เทพชั้นสุทธาวาสทั้งหลาย บรรลุพระอรหัตแล้วปรินิพพานในชั้นสุทธาวาสนั้น
นั่งเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจบเทศนาอย่างนี้แล้วตรัสกะภิกษุเหล่า
นั้น ว่า ไปเถิดภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอยู่ในราวป่านั้นนั่นแหละ และจงเคาะ
ระฆังในวันธรรมสวนะ ๘ วัน ต่อเดือนแล้วจงสวดพระสูตรนี้ จงทำธรรมกถา
กล่าวธรรม สนทนาธรรม อนุโมทนากัน จงซ่องเสพ เจริญทำให้มาก ซึ่ง
กรรมฐานนั้นแหละ พวกอมนุษย์แม้เหล่านั้น จักไม่แสดงอารมณ์น่าสะพึงกลัว
นั้น จักเป็นผู้หวังดี หวังประโยชน์แก่พวกเธอแน่แท้ ภิกษุเหล่านั้น รับพระ-
พุทธดำรัสแล้ว ลุกจากอาสนะ. กราบถวายบังคมแล้ว ทำประทักษิณไปในราวป่า
นั้น แล้วทำตามที่ทรงสอนทุกประการ. เทวดาทั้งหลาย เกิดปีติโสมนัสว่า
พระคุณเจ้าทั้งหลาย ช่างหวังดีหวังประโยชน์แก่พวกเรา. ก็พากันเก็บกวาดเสนา-
สนะเอง จัดแจงน้ำร้อนนวดหลัง นวดเท้า จัดวางอารักขาไว้ ภิกษุแม้เหล่านั้น
ก็พากันเจริญเมตตา ทำเมตตานั้นให้เป็นบาท เริ่มวิปัสสนาก็บรรลุพระอรหัต
อันเป็นผลเลิศภายในไตรมาสนั้นนั่นเองหมดทุกรูป ปวารณาด้วยวิสุทธิปวารณา
ในวันมหาปวารณา ออกพรรษาแล.
พระตถาคตผู้เป็นเจ้าแห่งธรรม ผู้ทรงฉลาดใน
ประโยชน์ ตรัสกรณียเมตตสูตรอันมีประโยชน์ด้วย
ประการฉะนี้.

356
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 357 (เล่ม 39)

ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญาบริบูรณ์ ได้รับความ
สงบแห่งหฤทัยอย่างยิ่ง ก็บรรลุ สันตบท.
เพราะฉะนั้นแล วิญญูชนผู้ประสงค์จะบรรลุ
สันตบทอันเป็นอมตะ ที่น่าอัศจรรย์ อันพระอริยเจ้า
รักอยู่ ก็พึงทำกรณียะอันมีประโยชน์ ต่างโดยศีลสมาธิ
ปัญญาอันไร้มลทิน ต่อเนื่องไม่ขาดสาย เทอญ.
จบอรรถกถาเมตตสูตร
แห่ง
อรรถกถาขุททกปาฐะ ชื่อว่า ปรมัตถโชติกา

357
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 358 (เล่ม 39)

นิคมกถา
ด้วยกถามีประมาณเท่านี้ ข้าพเจ้ากล่าวคำใดไว้ว่า
ข้าพเจ้าไหว้พระรันตรัยอันสูงสุดแห่งวัตถุที่ควร
ไหว้แล้ว จักแต่งอรรถกถาแห่งขุททกปาฐะบางปาฐะ.
ในคำนั้น เป็นอันข้าพเจ้าแต่งอรรถกถาแห่งขุททกปาฐะ ๙ ประเภท
คือ ๑. สรณะ ๒. สิกขาบท ๓. ทวัตติงสาการ ๔. กุมารปัญหา ๕. มงคล-
สูตร ๖. รัตนสูตร ๗. ติโรกุฑฑสุตร ๘. นิธิกัณฑสูตร และ ๙. เมตตสูตร
ก่อน. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวคำนี้ว่า
ข้าพเจ้า ประสงค์จะให้พระสัทธรรมตั้งมั่น จึง
แต่งอรรถกถาแห่งขุททกปาฐะนี้ ประสบกุศลอันใด.
ขอชนนี้ จงพลันบรรลุความเจริญ งอกงาม
ไพบูลย์ในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว เพราะอานุ-
ภาพแต่งกุศลอันนั้น.
อรรถกถาแห่งขุททกปาฐะชื่อปรมัตถโชติกานี้ รจนาโดยพระเถระ ที่
ท่านครูทั้งหลายถวายนามว่า พุทธโฆสะ ผู้ประดับด้วยคุณคือความบริสุทธิ์
ความเชื่อ ความรู้และความเพียร อันคุณสมุทัย คือ ศีลอาจาระ อาชวะและ
ปัททวะเป็นต้นดลบันดาลแล้ว ผู้สามารถหยั่งลงสู่ชัฏ คือ ลัทธิตนและลัทธิอื่น
ประกอบด้วยความรู้ความฉลาด ผู้มีประภาพคืออำนาจแห่งญาณอันไม่มีอะไร
ขัดขวางในสัตถุศาสน์ อันต่างโดยพระไตรปิฎกปริยัตติธรรมพร้อมทั้งอรรถกถา
เป็นมหากวีประถอบด้วยความงามแห่งวจนะอันไพเราะโอฬารที่เปล่งได้สะดวก

358
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 359 (เล่ม 39)

ซึ่งสมบัติคือกรณ์ให้เกิดแล้วโดยมหาไวยากรณ์ ผู้มีวาทะถูกต้องแตกฉาน มี
วาทะอันประเสริฐ ผู้มีความบริสุทธิ์และความรู้อันไพบูลย์ เป็นอลังการแห่ง
วงศ์ของพระเถระทั้งหลาย ผู้อยู่ ณ มหาวิหาร ประทีปแห่งเถรวงศ์ [เถรวาทา]
ซึ่งมีความรู้มั่นคงดีแล้ว ในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ อันประดับด้วยคุณต่างโดย
อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาเป็นต้น.
ตาว ติฏฺฐตุ โลกสฺมึ โลกนิตฺถรเณสินํ
ทสฺเสนฺตี กุลปุตฺตานํ นยํ สีลาทิวิสุทฺธิยา.
ยาว พุทฺโธติ นามมฺปิ สุทฺธจิตฺตสฺส ตาทิโน
โลกมฺหิ โลกเชฏฐสฺส ปวตฺตติ มเหสิโน.
[คัมภีร์ปรมัตถโชติกา] อันแสดงนัยแห่งวิสุทธิมี
ศีลวิสุทธิเป็นต้น แก่กุลบุตรทั้งหลายผู้แสวงหาการออก
จากโลก จงดำรงอยู่ ตราบเท่าที่ แม้พระนามว่าพุทธะ
ของพระผู้มีจิตบริสุทธิ์ ผู้คงที่ ผู้เจริญที่สุดแห่งโลก
ผู้ทรงแสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่ ยังเป็นไปอยู่ในโลก
เทอญ.
จบอรรถกถาขุททกปาฐะ
แห่ง
อรรถกถาขุททกปาฐะ ชื่อว่า ปรมัตถโชติกา

359
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 1 (เล่ม 40)

พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๒
ตอนที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คาถาธรรมบท
ยมกวรรคที่ ๑
ว่าด้วยคู่แห่งความดีและความชั่ว
[๑๑๑] ๑. ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็น
ใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูด
อยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุ
นั้น ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่
ฉะนั้น.
๒. ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็น
ใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
๑. เลขในวงเล็บเป็นเลขข้อในพระบาลี เลขหลังวงเล็บ เป็นเลขลำดับคาถา ที่จัดไว้ตามลำดับ
เรื่องในอรรถกถา วรรคที่ ๑ มีอรรถกถา ๑๔ เรื่อง.

1
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 2 (เล่ม 40)

พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะ
เหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว ฉะนั้น.
๓. ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นว่า ผู้
โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้
โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว เวรของชนเหล่านั้น
ย่อมไม่ระงับได้ ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความ
โกรธนั้นไว้ว่า ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา ผู้โน้น
ได้ชนะเรา ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว เวรของ
ชนเหล่านั้นย่อมระงับ
๔. ในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อม
ไม่ระงับด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มี
เวร ธรรมนี้เป็นของเก่า.
๕. ก็ชนเหล่านั้นไม่รู้ตัวว่า พวกเราพากัน
ย่อยยับอยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้ ฝ่ายชนเหล่าใดใน
หมู่นั้นย่อมรู้ชัด ความหมายมั่นกันและกันย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของตนพวกนั้น.
๖. ผู้ตามเห็นอารมณ์ว่างาม ไม่สำรวมใน
อินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ เกียจคร้าน
มีความเพียรเลวทรามอยู่. ผู้นั้นแล มารย่อมรังควาน
ได้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกำลังไม่แข็งแรง ลม
รังควานได้ ฉะนั้น (ส่วน) ผู้ตามเห็นอารมณ์ว่า
ไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณใน

2
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 3 (เล่ม 40)

โภชนะ มีศรัทธาและปรารภความเพียรอยู่ ผู้นั้นแล
มารย่อมรังควานไม่ได้ เปรียบเหมือนภูเขาหิน มี
รู้ความไม่ได้ ฉะนั้น.
๗. ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศ-
จากทมะและสัจจะ จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ผู้นั้นย่อม
ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดพึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลายประกอบ
ด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ
๘. ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
ว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็น
สาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผู้เป็นโคจร ย่อม
ไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใดรู้สิ่งอันเป็น
สาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
โดยความไม่เห็นสาระ ชนเหล่านั้น ไม่ความดำริ
ชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ.
๙. ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด ราคะ
ย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น. ฝน
ย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด ราคะก็ย่อม
เสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.
๑๐. ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละไปแล้วย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง

3
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ – หน้าที่ 4 (เล่ม 40)

เขาเห็นกรรมเศร้าหมองของตนแล้ว ย่อมเศร้าโศก
เขาย่อมเดือดร้อน.
๑๑. ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละ
ไปแล้ว ก็ย่อมบันเทิง ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
เขาเห็นความหมดจดแห่งธรรมของตน ย่อมบันเทิง
เขาย่อมรื่นเริง.
๑๒. ผู้ปกติทำบาป ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
ละไปแล้วย่อมเดือดร้อน เขาย่อมเดือดร้อนในโลก
ทั้งสอง เขาย่อมเดือดร้อนว่า กรรมชั่วเราทำแล้ว
ไปสู่ทุคติย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้น.
๑๓. ผู้มีบุญอันตนทำไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลิน
ในโลกนี้ และไปแล้วย่อมเพลิดเพลินในโลกทั้งสอง
เขาย่อมเพลิดเพลินว่า เราทำบุญไว้แล้ว สู่สุคติ
ย่อมเพลิดเพลินยิ่งขึ้น.
๑๔. หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมี
ประโยชน์เกื้อกูลแม้มาก (แต่) เป็นผู้ประมาทแล้ว
ไม่ทำ (ตาม) พระพุทธพจน์นั้นไซร้ เขาย่อมไม่
เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล เหมือนคนเลี้ยงโคนับโค
ทั้งหลายของชนเหล่าอื่น ย่อมเป็นผู้ไม่มีส่วนแห่ง
ปัญจโครสฉะนั้น หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์
อันมีประโยชน์เกื้อกูลแม้น้อย (แต่) เป็นผู้มีปกติ
ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ เขาละราคะ

4