No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 344 (เล่ม 39)

แก่กว่า ห้ามอาสนะแก่ภิกษุใหม่ในเรือนไฟ ก็เหมือนกัน . ก็ในเรือนไฟนั้น
ภิกษุไม่ขอโอกาสภิกษุผู้แก่กว่า ทำการติดไฟเป็นต้น . ส่วนในท่าอาบน้ำ ท่าน
กล่าวคำนี้ใดว่า ไม่ต้องถือว่า หนุ่มแก่ พึงอาบน้ำได้ ตามลำดับของผู้มาถึง
ภิกษุไม่ยึดคำนั้น มาทีหลัง ก็ลงน้ำ กีดกันภิกษุผู้แก่ และภิกษุใหม่. ส่วน
ในทางบิณฑบาต ภิกษุไปข้างหน้า ๆ เอาแขนกระทบแขนภิกษุผู้แก่ เพื่อ
ประสงค์อาสนะอันเลิศน้ำอันเลิศและอาหารอันเลิศ. ในการเข้าไปสู่ละแวกบ้าน
ก็มีเป็นต้นอย่างนี้ว่า ภิกษุเข้าไปก่อนภิกษุผู้แก่ ทำการเล่นทางกายกับภิกษุ
หนุ่ม.
การเปล่งวาจาไม่สมควร ในสงฆ์ คณะ บุคคลและละแวกบ้าน ชื่อว่า
คะนองทางวาจา ๔ ฐาน คือ เป็นต้นอย่างนี้ว่า ภิกษุบางรูปในพระศาสนานี้
ไม่ขอโอกาสในท่ามกลางสงฆ์กล่าวธรรม. ในคณะ. ในบุคคลผู้แก่กว่า ดังที่.
กล่าวมาก่อนแล้วก็เหมือนกัน. ณ ที่นั้น ภิกษุ ถูกมนุษย์ทั้งหลายถามปัญหา
ไม่ขอโอกาสภิกษุผู้แก่กว่า ก็ตอบปัญหาส่วนในละแวกบ้าน ภิกษุกล่าวเป็นต้น
อย่างนี้ว่า มีอะไร ในบ้านโน้น ข้าวต้มหรือของเคี้ยวหรือของกิน ท่านจัก
ให้อะไรแก่เรา วันนี้เราจักเคี้ยว จักกินอะไร จักดื่มอะไร.
แม้ไม่ถึงความละเมิดทางกายวาจา ในฐานะนั้น ๆ แต่ก็มีวิตกอันไม่
สมควรประการต่าง ๆ มีกามวิตกเป็นต้นทางใจ ชื่อว่า การคะนองทางใจ มี
มากฐาน.
บทว่า กุเลสุ อนนุคิทฺโธ ความว่า ภิกษุเข้าไปหาตระกูลเหล่านั้น
ใด ไม่ติดด้วยความอยากได้ปัจจัย หรือด้วยการคลุกคลีที่ไม่สมควรในตระกูล
เหล่านั้น ท่านอธิบายว่า ไม่โศกเศร้าร่วมด้วย ไม่ร่าเริงร่วมด้วย ไม่สุขด้วย
เมื่อตระกูลเหล่านั้นประสบสุข ไม่ทุกข์ด้วย เมื่อตระกูลเหล่านั้นประสบทุกข์

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 345 (เล่ม 39)

หรือเมื่อกรณียกิจทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ไม่เข้าประกอบด้วยตนเอง. ก็คำใดว่า อสฺส
ที่ตรัสไว้ในคำนี้ว่า สุวโจ อสฺส แห่งคาถานี้ คำนั้น พึงประกอบเข้ากับ
บททุกบทอย่างนี้ว่า สนฺตุสฺสโก จ อสฺส สุภโร จ อสฺส.
พรรณนาคาถาที่ ๓
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสบอกกรณียะ แม้ยิ่งไปกว่านั้น โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง แก่ภิกษุผู้อยู่ป่า ซึ่งประสงค์จะบรรลุสันตบทแล้วอยู่ หรือ
ประสงค์จะปฏิบัติเพื่อบรรลุสันตบทนั้น อย่างนี้แล้วบัดนี้ มีพระพุทธปุระสงค์
จะตรัสบอกอกรณียะ จึงตรัสกึ่งคาถาว่า น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ เยน
วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ.
กึ่งคาถานั้น มีความดังนี้ ภิกษุเมื่อทำกรณียะนี้อย่างนี้ ก็ไม่พึง
ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริตและมโนทุจริต ที่เรียกว่า ขุททะ คือลามก เมื่อ
ไม่ประพฤติ มิใช่ไม่ประพฤติแต่กรรมหยาบอย่างเดียว แม้กรรมเล็กน้อยไร ๆ
ก็ไม่ประพฤติ ท่านอธิบายว่า ไม่ประพฤติลามกกรรมทั้งจำนวนน้อย ทั้งขนาด
เล็ก.
แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงโทษที่เห็นได้เอง ในการ
ประพฤติลามกกรรมนั้นว่า เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ. ก็ในคำนี้ เพราะ
เหตุที่ผู้มิใช่วิญญูชนเหล่าอื่น ไม่ถือเป็นประมาณ. เพราะอวิญญูชนเหล่านั้น
ยังทำกรรมไม่มีโทษหรือมีโทษ มีโทษน้อยหรือมีโทษมาก. ส่วนวิญญูชนทั้ง
หลายเท่านั้น ถือเป็นประมาณได้ เพราะว่าวิญญูชนเหล่านั้น ใคร่ครวญทบ
ทวนแล้ว ย่อมติเตียนผู้ที่ควรติเตียน สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ. ฉะนั้น จึง
ตรัสว่า วิญฺญู ปเร.

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 346 (เล่ม 39)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอุปจารแห่งกรรมฐาน ต่างโดยกรณียะ
และอกรณียะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ภิกษุผู้อยู่ป่า ซึ่งประสงค์จะบรรลุสันตบท
แล้วอยู่หรือประสงค์ปฏิบัติ เพื่อบรรลุสันตบทนั้น และแก่พวกภิกษุผู้ประสงค์จะ
รับกรรมฐาน อยู่แม้ทุกรูป โดยยกภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นสำคัญ ด้วยสองคาถาครึ่ง
นี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงทรงเริ่มตรัสเมตตากถา โดยนัยว่า สุขิโน ว่า เข-
มิโน โหนฺตุ เป็นต้น เพื่อเป็นปริตรกำจัดภัยแต่เทวดานั้น และเพื่อเป็น
กรรมฐาน โดยฌานเป็นบาทแห่งวิปัสสนา แก่ภิกษุเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขิโน ได้แก่ ผู้พรั่งพร้อมด้วยสุข.
บทว่า เขมิโน แปลว่า ผู้มีความเกษม. ท่านอธิบายว่าผู้ไม่มีภัย ไม่มีปัทวะ
บทว่า สพฺเพ ได้แก่ ไม่เหลือเลย. บทว่า สตฺตา ได้แก่ สัตว์มีชีวิต
บทว่า สุขิตตฺตา ได้แก่ ผู้มีจิตถึงสุข. ก็ในคำนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าผู้มี
สุข โดยสุขทางกาย. ชื่อว่ามีจิตถึงสุข โดยสุขทางใจ, ชื่อว่ามีความเกษม
แม้โดยสุขทั้งสองนั้น หรือโดยไปปราศจากภัยและอุปัทวะทั้งปวง. ก็เหตุไร
จึงตรัสอย่างนี้. ก็เพื่อแสดงอาการแห่งเมตตาภาวนา. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงควร
เจริญเมตตาว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมีสุข ดังนี้บ้าง ว่า จงมีความเกษม
ดังนี้บ้าง จงเป็นผู้มีตนถึงสุข ดังนี้บ้าง.
พรรณนาคาถาที่ ๔
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเมตตาภาวนา โดยสังเขป ตั้งแต่
อุปจารจนถึงอัปปนาเป็นที่สุดอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงเมตตาภาวนา
นั้น แม้โดยพิศดาร จึงตรัสสองคาถาว่า เยเกจิ เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง
เพราะเหตุที่จิตถูกสะสมอยู่ในอารมณ์มาก ๆ ย่อมไม่หยุดอยู่ในอารมณ์เดียว
โดยเบื้องต้นเท่านั้น แต่จะแล่นติดตามประเภทอารมณ์โดยลำดับ ฉะนั้น จึง
ตรัสสองคาถาว่า เยเกจิ เป็นต้น เพื่อจิตที่แล่นติดตามไปแล้วหยุดอยู่ ใน

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 347 (เล่ม 39)

อารมณ์อันเป็นประเภทแห่งทุกะหมวดสองแห่งสัตว์และติกะหมวดสามแห่งสัตว์
มีตสถาวรทุกะเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่อารมณ์ใด ของผู้ใดเป็น
อารมณ์ที่ปรากฏชัดแล้ว จิตของผู้นั้น ย่อมตั้งอยู่เป็นสุขในอารมณ์นั้น ฉะนั้น
อารมณ์ใดของภิกษุรูปใดในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ปรากฏชัดแล้ว พระผู้มีพระภาค
เจ้ามีพระพุทธประสงค์จะให้จิตของภิกษุรูปนั้น ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น จึงตรัสสอง
คาถาว่า เยเกจิ เป็นต้น อันแสดงความต่างแห่งอารมณ์เป็นทุกะและติกะ
มีตสถาวรทุกะ เป็นต้น.
ความจริง ในสองคาถานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงทุกะ หมวด
สองแห่งสัตว์ ๔ ทุกะ คือ ตสถาวรทุกะ หมวดสองแห่งสัตว์ ผู้สะดุ้งและ
ผู้มั่นคง. (ไม่สะดุ้ง) ทิฏฐาทิฏฐทุกะ หมวดสองแห่งสัตว์ ผู้ที่ตนเห็นแล้ว
และผู้ที่ตนยังไม่เห็น ทูรสันติกทุกะ หมวดสองแห่งสัตว์ ผู้ที่อยู่ไกลและ
ผู้ที่อยู่ใกล้ ภูตสัมภเวสีทุกะ หมวดสองแห่งสัตว์ ผู้ที่เกิดแล้วและผู้ที่แสวง
หาที่เกิด. และทรงแสดงติกะ หมวดสามแห่งสัตว์ ๓ ติกะ. คือ ทีฆรัสสมัช-
ฌิมติกะ หมวดสามแห่งสัตว์ ผู้มีอัตภาพยาวต่ำและปานกลาง มหันตาณุก-
มัชฌิมติกะ หมวดสามแห่งสัตว์ ผู้มีอัตภาพใหญ่เล็กและปานกลาง ถูลา-
ณุกมัชณมติกะ หมวดสามแห่งสัตว์ ผู้มีอัตภาพอ้วน ผอมและปานกลาง
โดยมัชฌิมบทเป็นที่เกิดประโยชน์ใน ๓ ติกะ และอณุกถูลบทเป็นที่เกิด
ประโยชน์ใน ๒ ติกะ ด้วยบท ๖ บท มีทีฆบทเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า เยเกจิ เป็นคำแสดงว่าไม่มีส่วนเหลือเลย. หมู่สัตว์ที่เกิดแล้วคือ
ปาณะ ชื่อว่า ปาณภูตะ. อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายย่อมหายใจ เหตุนั้น
จึงชื่อว่า ปาณะ. ทรงถือเอาปัญจโวการสัตว์ ที่เนื่องด้วยอัสสาสปัสสาสะ
ลมหายใจเข้าออก ด้วยบทนี้. สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิด เหตุนั้น จึงชื่อว่า
ภูต. ทรงถือเอาเอกโวการ. สัตว์และจตุโวการสัตว์ด้วยบทนี้. บทว่า อตฺถิ
แปลว่า มี มีพร้อม.

347
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 348 (เล่ม 39)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงสัตว์ทั้งปวง ที่ทรงสงเคราะห์ด้วย
ทุกะและติกะรวมกัน ด้วยคำว่า เยเกจิ ปาณภูตตฺถิ นี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้
ทรงสงเคราะห์สัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด แสดงด้วยทุกะนี้ว่า ตสา วา ถาวรา
วา อนวเสสา.
ในทุกะนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมสะดุ้ง เหตุนั้น จึงชื่อว่า ตสา คำนี้เป็น
ชื่อของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีตัณหาและมีภัย. สัตว์ทั้งหลาย ย่อมมั่นคง เหตุนั้น
จึงชื่อว่า ถาวรา คำนี้เป็นชื่อของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ละตัณหาและภัยได้
แล้ว. ส่วนเหลือของสัตว์เหล่านั้นไม่มี เหตุนั้น จึงชื่อว่า อนวเสสา ท่าน
อธิบายว่า แม้ทุกตัวสัตว์. ก็คำใด ตรัสไว้ท้ายแห่งคาถาที่ ๒ คำนั้น พึงเชื่อม
กับทุกทุกะและติกะ. บทว่า เยเกจิ ปาณภูตตฺถิ ความว่า สัตว์ทั้งหลายที่สะดุ้ง
กลัวก็ดี ที่มั่นคงก็ดี ไม่เหลือเลย สัตว์แม้เหล่านั้นทั้งหมด จงเป็นผู้มีตนถึงสุข
หมู่สัตว์ที่เกิดแล้วก็ดี แสวงหาที่เกิดก็ดี เพียงใด สัตว์ทั้งหมดแม้เหล่านี้เพียง
นั้น จงเป็นผู้มีตนถึงสุขเถิด ด้วยประการฉะนี้.
บัดนี้ บรรดาบททั้ง ๖ มี ทีฆา วา เป็นต้น ที่แสดงติกะ ๓ หมวด
มี ทีฆรัสสมัชฌิมติกะ เป็นต้น. บทว่า ทีฆา ได้แก่ สัตว์ที่มีอัตภาพยาว
มีนาค, ปลา, เหี้ยเป็นต้น จริงอยู่ อัตภาพของนาคทั้งหลายในมหาสมุทร
แม้มีขนาดหลายร้อยวา. อัตภาพของปลาและเหี้ยเป็นต้น ก็มีขนาดหลายโยชน์
บทว่า มหนฺตา ได้แก่ สัตว์มีอัตภาพใหญ่ ในน้ำก็มีปลาและเต่า บนบก
ก็มีพระยาช้างเป็นต้น ในจำพวกอมนุษย์ ก็มีทานพเป็นต้น และตรัสว่า ราหู
เป็นยอดของสัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลาย. จริงอยู่ อัตภาพของราหูนั้น สูง
๔,๘๐๐โยชน์ แขน ๑,๒๐๐ โยชน์ ระหว่างคิ้ว ๕๐ โยชน์ ระหว่างนิ้วก็
เหมือนกัน ฝ่ามือ ๒๐๐ โยชน์แล. บทว่า มชฺฌิมา ได้แก่ อัตภาพของม้า
โคกระบือสุกรเป็นต้น. บทว่า รสฺสกา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย มีขนาดต่ำ
ตรงกลางยาว ตรงกลางอ้วน มีคนแคระเป็นต้น ในชาตินั้น ๆ บทว่า อณุกา

348
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 349 (เล่ม 39)

ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายที่อัตภาพรละเอียด หรือเล็กเป็นต้น ที่บังเกิดในน้ำเป็น
ต้น ไม่เป็นอารมณ์ของมังสจักษุ เป็นวิสัยของทิพยจักษุ. อนึ่ง สัตว์เหล่าใด
มีขนาดต่ำ ตรงกลางใหญ่ และตรงกลางอ้วนในชาตินั้น. ๆ สัตว์เหล่านั้น พึง
ทราบว่า เล็ก. บทว่า ถูลา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย ที่มีอัตภาพกลม มีปลา
เต่า หอยกาบ หอยโข่ง เป็นต้น.
พรรณนาคาถาที่ ๕
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงสัตว์ทั้งหลายไม่เหลือด้วยติกะ ๓ ติกะ
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ทรงสงเคราะห์แสดงด้วยทุกะ ๓ ทุกะ ว่า ทิฏฺฐา วา เย
จ อทิฏฺฐา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐา ได้แก่ สัตว์เหล่าใด เคยเห็น
โดยมาปรากฏแก่ตาของตน บทว่า อทิฏฺฐา ไก้แก่ สัตว์เหล่าใด ตั้งอยู่ใน
สมุทรอื่นภูเขาอื่นและจักรวาลอื่นเป็นต้น. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัตว์
ที่อยู่ไกลและไม่ไกลอัตภาพของตนด้วยทุกะนี้ว่า เย จ ทูเร วสนฺติ
อวิทูเร. สัตว์เหล่านั้น พึงทราบโดยเป็นสัตว์ไม่มีเท้าและสัตว์ ๒ เท้า. ก็เหล่า
สัตว์ที่อยู่ในกายของตน เรียกว่า อวิทูเร อยู่ไม่ไกล เหล่าสัตว์
ที่อยู่นอกกาย เรียกว่า ทูเร อยู่ไกล. อนึ่ง เหล่าสัตว์ที่อยู่ภายใน
อุปจาร เรียกว่า อยู่ไม่ไกล. ที่อยู่ภายนอกอุปจาร เรียกว่า อยู่ไกล. ที่อยู่
ในพระวิหาร ตามชนบท ทวีป จักรวาล เรียกว่า อยู่ไม่ไกล ที่อยู่ใน
จักรวาลอื่น เรียกว่า อยู่ไกล.
บทว่า ภูตา ได้แก่ เกิดแล้ว บังเกิดแล้ว. พระขีณาสพเหล่าใด
เป็นแล้วนั่นแล ไม่นับว่าจักเป็นอีก คำนั้นเป็นชื่อของพระขีณาสพเหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใด แสวงหาที่เกิด. เหตุนั้นสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี. คำนี้
เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ที่กำลังแสวงหาที่เกิด แม้ในอนาคต

349
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 350 (เล่ม 39)

เพราะภวสังโยชน์ยังไม่สิ้น. อีกอย่างหนึ่ง บรรดากำเนิด ๔ เหล่า สัตว์ที่เป็น
อัณฑชะเกิดในไข่และชลาพุชะเกิดในครรภ์ ยังไม่ทำลายเปลือกฟองไข่และรก
ออกมาตราบใด ตราบนั้น ก็ชื่อว่า สัมภเวสี. ที่ทำลายเปลือกฟองไข่ และ
รกแล้วออกมาข้างนอก ชื่อว่า ภูต. เหล่าสัตว์ที่เป็นสังเสทชะ และ โอปปาติกะ
ชื่อว่า สัมภเวสี ในขณะปฐมจิต ตั้งแต่ขณะทุติยจิตไปชื่อว่า ภตะ. หรือสตว์
ทั้งหลายเกิดโดยอิริยาบถใด ยังไม่เปลี่ยนอิริยาบถเป็นอื่นไปจากอิริยาบถนั้น
ตราบใด ตราบนั้น ยิ่งชื่อว่า สัมภเวสี นอกจากนั้น ไปชื่อว่า ภูตะ.
พรรณนาคาถาที่ ๖
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเมตตาภาวนาในสัตว์ทั้งหลาย โดย
ปรารถนาแต่จะให้เข้าถึงประโยชน์สุขของภิกษุเหล่านั้น โดยประการต่าง ๆ ด้วย
๒ คาถาครึ่งว่า สุขิโน วา เป็นต้น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมือทรงแสดง
ภาวนานั้น แม้โดยปรารถนาให้ออกไปจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และทุกข์จึง
ตรัสว่า น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ. นี้เป็นปาฐะเก่า แต่ปัจจุบันสวดกันว่า
ปรํ ปิ ดังนี้ก็มี ปาฐะนี้ไม่งาม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโร ได้แก่ ชนอื่น. บทว่า น
กุพฺเพถ ได้แก่ ไม่หลอกลวง. บทว่า นาติมญฺเญถ ได้แก่ ไม่สำคัญเกิน
ไป [ไม่ดูหมิ่น]. บทว่า กตฺถจิ ได้แก่ในโอกาสไหน ๆ คือในหมู่บ้านหรือ
ในเขตหมู่บ้าน ท่านกลางญาติหรือท่ามกลางบุคคล ดังนี้เป็นต้น. บทว่า นํ
แปลว่า นั่น. บทว่า กิญฺจิ ได้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง คือกษัตริย์หรือพราหมณ์
คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ที่ถึงสุข หรือที่ถึงทุกข์ ดังนี้เป็นต้น. บทว่า พฺยา-
โรสนา ปฏีฆสญฺญา ได้แก่ เพราะความกริ้วโกรธด้วยกายวิการและวจีวิการ
และเพราะคุมแค้นด้วยมโนวิการ. เพราะเมื่อควรจะตรัสว่า พฺยาโรสนาย
ปฏีฑสญฺญาย แต่ก็ตรัสเสียว่า พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา เหมือนเมื่อ

350
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 351 (เล่ม 39)

ควรจะตรัสว่า สมฺมทญฺญาย วิมุตฺตา แต่ก็ตรัสเสียว่า สมฺมทญฺญา
วิมุตฺตา และเหมือนเมื่อควรจะตรัสว่า อนุปุพฺพสิกฺขาย อนุปุพฺพกิริยาย
อนุปุพฺพปฏิปทาย แต่ก็ตรัสเสียว่า อนุปุพฺพสิกฺขา อนุปุพฺพกิริยา
อนุปุพฺพปฏิปทา อญฺญาราธนา ฉะนั้น. บทว่า นาญฺญมญฺญสฺส
ทุกฺขมิจฺเฉยฺย ความว่า ไม่พึงปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน. ท่านอธิบายไว้
อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่ามิใช่เจริญเมตตา โดยมนสิการเป็นต้นว่า ขอสัตว์
ทั้งหลายจงมีสุข มีความเกษมเถิดดังนี้อย่างเดียว ที่แท้พึงมนสิการอย่างนี้ว่า
โอหนอ บุคคลอื่นไม่ว่าใคร ๆ ไม่พึงข่มเหงบุคคลอื่นไม่ว่าใคร ๆ ด้วย
กิริยาคตโกงมีล่อลวงเป็นต้น ไม่พึงดูหมิ่นบุคคลอื่นไม่ว่าใคร ๆ ไม่ว่าในประเทศ
ไหน ๆ ด้วยวัตถุแห่งมานะ ๙ อย่าง มีชาติเป็นต้น และไม่พึงปรารถนาทุกข์
แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธหรือเพราะความคุมแค้น ดังนี้อีกด้วย.
พรรณนาคาถาที่ ๗
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเมตตาภาวนา โดยอรรถด้วย
ปรารถนาให้เขาออกไปจากสิ่งไม่เป็นประโยชน์และทุกข์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อ
ทรงแสดงเมตตาภาวนานั้นนั่นแลด้วยอุปมา จึงตรัสว่า มาตา ยถา นิยํ
ปุตฺตํ เป็นต้น.
คาถานั้นมีความว่า มารดาพึงอนุรักษ์บุตรในตน คือบุตรที่เกิดใน
ตน เกิดแต่อก พึงทะนุถนอมบุตรนั้นซึ่งมีคนเดียวเท่านั้นด้วยชีวิต คือยอม
สละแม้ชีวิตของตนถนอมบุตรนั้น เพื่อห้ามกันทุกข์มาถึงบุตรนั้น ฉันใดภิกษุ
พึงทำมนัสที่ประกอบด้วยเมตตานี้ให้เจริญ คือให้เกิดบ่อย ๆ ให้ขยายไปและยัง
เมตตาภาวนานั้นให้เจริญไม่มีประมาณ โดยถือสัตว์ไม่มีประมาณเป็นอารมณ์
หรือโดยแผ่ไปไม่เหลือเลย แม้แต่ในสัตว์ผู้หนึ่ง.

351
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 352 (เล่ม 39)

พรรณนาคาถาที่ ๘
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งทรงแสดงเมตตาภาวนาโดยอาการทั้งปวง
อย่างนี้ บัดนี้ เมื่อทรงแสดงการเจริญเมตตาภาวนานั้นนั่นแล จึงตรัสว่า
เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ เป็นต้น.
ในคาถานั้น ชื่อว่า มิตร เพราะรักและรักษา อธิบายว่า ห่วงใย
เพราะมีอัธยาศัยมุ่งประโยชน์เกื้อกูล และรักษาให้พ้นจากการมาถึงของสิ่งไม่
เป็นประโยชน์. ความเป็นแห่งมิตร ชื่อว่าเมตตา. บทว่า พสฺพโลกสฺมึ
ได้แก่ ในสัตว์โลกไม่เหลือเลย. มีในใจ เหตุนั้น จึงชื่อว่า มานสะ. ก็คำว่า
มานสํ นั้น ท่านกล่าวอย่างนี้ก็เพราะประกอบกับจิต บทว่า ภาวเย แปลว่า
ให้เจริญ. ประมาณของมานสะนั้น ไม่มีเหตุนั้นจึงชื่อว่า อปริมาณ. ท่านกล่าว
อย่างนี้ ก็เพราะเมตตามีสัตว์ไม่มีประมาณเป็นอารมณ์. บทว่า อุทฺธํ แปลว่า
เบื้องบน. ทรงถือเอาอรูปภพด้วยบทนั้น. บทว่า อโธ แปลว่า เบื้องล่าง ทรง
ถือเอากามภพด้วยบทนั้น. บทว่า ติริยํ ได้แก่เบื้องขวาง ทรงถือเอารูปภพ
ด้วยบทนั้น. บทว่า อสมฺพาธํ ได้แก่ เว้นจากความคับแคบ. ท่านอธิบายว่า
มีขอบเขตอันแตกแล้ว [ไม่มีขอบเขต]. ข้าศึกท่านเรียกชื่อว่า ขอบเขต อธิบาย
ว่า เป็นไปในที่ไม่มีขอบเขตนั้น. บทว่า อเวรํ ได้แก่ เว้นจากเวร อธิบายว่า
เว้นจากความปรากฏแห่งเจตนาก่อเวรแม้ในระหว่าง ๆ บทว่า อสปตฺตํ ได้แก่
ปราศจากข้าศึก. จริงอยู่บุคคลผู้อยู่ ด้วยเมตตา ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์เป็น
ที่รักของพวกอมนุษย์. ข้าศึกไร ๆ ของเขาย่อมไม่มี. ด้วยเหตุนั้น มานัสสิ่งที่มี
ในใจของเขานั้น ท่านจึงเรียกว่า อสปัตตะ เพราะปราศจากข้าศึก. ก็คำที่ว่า
ข้าศึก ศัตรู. เป็นคำโดยปริยาย. การพรรณนาความตามบทมีเท่านี้ ส่วนการ
แสดงความที่ประสงค์ในที่นี้ มีดังนี้.

352
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 353 (เล่ม 39)

พึงเจริญขยายเมตตาที่ตรัสไว้ว่า เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสํ
ภาวเย อปริมาณํ ดังนี้ แผ่เมตตาที่มีอยู่ในใจไม่มีประมาณ ให้บรรลุถึงความ
เจริญงอกงามไพบูลย์ในโลกทั้งปวง. ทำอย่างไร คือแผ่เมตตานั้น ไปไม่เหลือ
ทั้งเบื้องบน เบื้องล่างเบื้องขวางคือ เบื้องบนก็ตั้งแต่ภวัคคพรหมลงมา เบื้องล่าง
ก็ตั้งแต่อเวจีนรกขึ้นไป เบื้องขวางก็ตั้งแต่ทิศที่เหลือ หรือเบื้องบนก็ได้แก่
อรูปธาตุ เบื้องล่างก็ได้แก่กามธาตุ เบื้องขวางก็ได้แก่รูปธาตุ ก็แลเมื่อเจริญ
เมตตาอยู่อย่างนี้ การทำไม่ให้มีความคับแคบเวรและข้าศึก พึงเจริญ เมตตานั้น
โดยประการที่ไม่มีความคับแคบ ไม่มีเวรและไม่มีข้าศึก. หรือว่าเมตตานั้น
ถึงภาวนาสัมปทา เป็นคุณชื่อว่าไม่คับแคบ เพราะเป็นโอกาสโลกทั้งปวง (คือ
๓๑ ภูมิ) เป็นคุณชื่อว่าไม่มีเวร เพราะกำจัดความอาฆาตของตนในสัตว์อื่นเสีย
เป็นคุณชื่อว่าไม่มีข้าศึก เพราะกำจัดความอาฆาตของสัตว์อื่นในตนเสียก็พึงเจริญ
ขยายเมตตาอันมีในใจนั้น ที่ไม่คับแคบ ที่ไม่มีเวร ที่ไม่มีข้าศึก ไม่มีประมาณไป
ในโลกทั้งปวง โดยกำหนดทิศทั้งสาม คือ เบื้องบน เบื้องล่างและเบื้องขวาง.
พรรณนาคาถาที่ ๙
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น ทรงแสดงการเจริญเมตตาภาวนาอย่างนี้แล้ว
เมื่อทรงแสดงความไม่มีอิริยาบถแน่นอนของผู้ประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งการเจริญ
เมตตานั้นอยู่ จึงตรัสว่า ติฏฺฐํ จรํ ฯ เป ฯ อธิฏฺเฐยฺย ดังนี้.
คาถานั้นมีความว่า ผู้เจริญเมตตาเมื่อเจริญเมตตามีในใจนี้อย่างนี้ ไม่
ต้องจำกัดอิริยาบถ เหมือนอย่างในบาลีว่า นั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง เมื่อทำการ
บรรเทาความปวดเมื่อยด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามสบาย จะยืนหรือ
เดิน นั่งหรือนอน ยังเป็นผู้ปราศจากความง่วงนอน เพียงใด ก็พึงตั้งสติ
ในเมตตาฌานนั้นไว้เพียงนั้น.

353