หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 284 (เล่ม 39)

พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักอุทิศทานแก่เปรตพวกนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รับ. พระราชาเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ จัดแจงมหาทาน แล้วให้กราบทูลเวลา
ภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าภายในพระราช-
นิเวศน์ ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
เปรตพวกนั้น พากันไปยืนที่นอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยหวังว่า วันนี้
พวกเราคงได้อะไรกันบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำโดยอาการที่เปรตพวก
นั้น จะปรากฏแก่พระราชาหมดทุกตน.
พระราชาถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวก
ญาติของเรา. ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่เปรต
พวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็อาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น ระงับความกระวน
กระวายความลำบากและหิวกระหายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง.
ลำดับนั้น พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินเป็นต้น
แล้วทรงอุทิศ. ในทันใดนั้นเอง ข้าวยาคูของเคี้ยวและของกินอันเป็นทิพย์ ก็
บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. เปรตพวกนั้น ก็พากินบริโภคของทิพย์เหล่านั้น มี
อินทรีย์เอิบอิ่ม.
ลำดับนั้น พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะเป็นต้น ทรงอุทิศให้
เครื่องอลังการต่าง ๆ มีผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอน
เป็นต้น ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. สมบัติแม้นั้นของเปรตพวกนั้น ปรากฏ
ทุกอย่างโดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงอธิษฐาน (ให้พระราชา
ทรงเห็น) โดยประการนั้น. พระราชาทรงดีพระทัยยิ่ง. แต่นั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เสวยเสร็จแล้ว ทรงห้ามภัตตาหารแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ เป็นต้น เพื่อทรงอนุโมทนาแก่พระเจ้ามคธรัฐ.

284
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 285 (เล่ม 39)

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ มาติกาหัวข้อนี้ว่า เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา
ติโรกฑฺฑํ ปกาสิตํ ปกาสยิตฺวา ตํ สพฺพํ ก็เป็นอันจำแนกแล้วทั้งโดย
สังเขปทั้งโดยพิศดาร.
บัดนี้ จักกล่าวพรรณนาความแห่งติโรกุฑฑสูตรนี้ตามลำดับไป คือ
พรรณนาคาถาที่ ๑
จะพรรณนาความในคาถาแรกก่อน. ส่วนภายนอกแห่งฝาทั้งหลาย
เรียกกันว่า ติโรกุฑฑะ. คำว่า ติฏฺฐนฺติ เป็นคำกล่าวถึงอิริยาบถยืน
เพราะห้ามอิริยาบถนั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงพวก
เปรตที่ยืนอยู่ที่ส่วนอื่นของฝาเรือนไว้แม้ในที่นี้ว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ
ยืนกันอยู่ที่นอกฝาเรือน เหมือนที่ท่านกล่าวถึงท่านผู้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งไป
ณ ส่วนอื่นแห่งกำแพง และส่วนอื่นแห่งภูเขาว่า ไปนอกกำแพงนอกภูเขา
ไม่ติดขัด ฉะนั้น. ในคำว่า สนฺธิสึฆาฏเกสุ จ นั้น ทาง ๔ แพร่ง หรือ
แม้ที่ต่อเรือนที่ต่อฝาและกรอบหน้าต่าง ท่านเรียกว่าสนธิ ทาง ๓ แพร่ง ท่าน
เรียกว่า สิงฆาฏกะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำคำนั้นไว้แห่งเดียวกัน เชื่อม
กับคำต้น จึงตรัสว่า สนฺธิสึฆาฏเกสุ จ. บทว่า ทฺวารพาหาสุ ติฏฺฐนฺติ
ได้แก่ ยืนพิงบานประตูพระนครและประตูเรือน. เรือนญาติแต่ก่อนก็ดี เรือน
ของตนที่เคยครอบครองเป็นเจ้าของก็ดี ชื่อว่า เรือนของตน ในคำว่า
อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรํ นี้. เพราะเหตุที่เปรตพวกนั้น พากันมาโดยสกสัญญา
เข้าใจว่าเป็นเรือนของตน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสถึงเรือนทั้งสอง
นั้นว่า อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรํ มายังเรือนของตน.

285
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 286 (เล่ม 39)

พรรณนาคาถาที่
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงแก่พระราชาถึงเปรตเป็นอันมาก
ที่พากันมายังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร อันเป็นเรือนญาติแต่ก่อน
แม้ตนไม่เคยครอบครองมาแต่ก่อน ด้วยสำคัญว่าเรือนของตน ยืนกัน อยู่นอก
ฝาที่ทาง ๔ แพร่งและทาง ๓ แพร่ง และบานประตู เสวยผลแห่งความริษยา
และความตระหนี่ บางพวกมีหนวดและผมยาวหน้า มีอวัยวะใหญ่น้อยผูก
หย่อนและยาน ผอมหยาบดำ เสมือนต้นตาลถูกไฟป่าไหม้ ยืนต้นอยู่ในที่นั้น ๆ
บางพวกมีเรือนร่างถูกเปลวไฟที่ตั้งขึ้นจากท้องแลบออกจากปาก เพราะความสี
กันแห่งไม้สีไฟ คือความระหาย แผดเผาอยู่ บางพวกไม่ได้รสอื่นนอกจาก
รสคือความหิวระหาย เพราะถึงได้ข้าวน้ำก็ไม่สามารถบริโภคได้ตามต้องการ
เพราะมีหลอดคอมีขนาดเล็กเท่ารูเข็ม และเพราะมีท้องใหญ่ดังภูเขา บางพวก
มีเรือนร่างไม่น่าดู แปลกประหลาดและน่าสะพึงกลัวเหลือเกิน ได้น้ำเลือดน้ำ
หนอง ไขข้อเป็นต้นที่ไหลออกจากแผลหัวฝีที่แตก ของกันและกันหรือของ
สัตว์เหล่าอื่น ลิ้มเลียเหมือนน้ำอมฤต จึงตรัสว่า
ฝูงเปรตพากันมายังเชื่อนี้ตน ยืนอยู่ที่นอกฝา
เรือนก็มี ยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่งสามแพร่งก็มี ยืนใกล้
บานประตูก็มี.
เมื่อทรงแสดงความที่กรรมอันเปรตเหล่านั้น ทำมาแล้วเป็นกรรมทารุณ จึงตรัส
คาถาที่ ๒ ว่า ปหูเต อนฺนปานมฺหิ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูเต ได้แก่ ไม่น้อย. ท่านอธิบายว่า
มาก จนพอต้องการ. เอา พ เป็น ป ได้ในประโยคเป็นต้นว่า ปหุ สนฺโต
น ภรติ ผู้มีมากก็ไม่เลี้ยงดู. แต่อาจารย์บางพวกสวดว่า ปหูเต ก็มี พหูเก

286
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 287 (เล่ม 39)

ก็มี. ปาฐะเหล่านั้น เป็นปาฐะที่เขียนด้วยความพลั้งเผลอ. ข้าวด้วย น้ำด้วย
ชื่อว่าข้าวและน้ำ ของเคี้ยวด้วย ของกินด้วย ชื่อว่าของเคี้ยวและของกิน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงอาหาร ๘ อย่าง คือของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว
และของลิ้ม ด้วยบทนี้. บทว่า อุปฏฺฐิเต ได้แก่ เข้าไปตั้งไว้. ท่านอธิบายว่า
จัดแจง ตบแต่ง รวบรวม. บทว่า น โกจิ เตสํ สรติ สตฺตานํ ความ
ว่า เมื่อสัตว์เหล่านั้นเกิดในปิตติวิสัย ใคร ๆ ไม่ว่ามารดาหรือบุตร ก็ไม่
ระลึกถึง. เพราะเหตุไร. เพราะกรรมเป็นปัจจัย คือเพราะกรรมคือความตระ-
หนี่ที่ตนทำ ต่างโดยปฏิเสธการรับและการให้เป็นต้นเป็นปัจจัย เพราะว่ากรรม
ของสัตว์เหล่านั้น ไม่ให้ญาติระลึกถึง.
พรรณนาคาถาที่ ๓
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงว่าไม่มีญาติไร ๆ ที่พอจะระลึกถึง
เพราะกรรมที่มีวิบากเป็นทุกข์เผ็ดร้อน ที่สัตว์เหล่านั้นทำไว้เป็นปัจจัย แก่
สัตว์ที่เป็นเปรตเหล่านั้น ซึ่งเที่ยวมุ่งหวังต่อญาติทั้งหลายว่า เมื่อข้าวน้ำเป็นต้น
แม้ไม่ใช่น้อย ที่ญาติเข้าไปตั้งไว้ [ในสงฆ์] น่าที่ญาติทั้งหลาย จะพึงให้
อะไร ๆ อุทิศพวกเรากันบ้างอย่างนี้ จึงตรัสว่า
เมื่อข้าวน้ำ ของเคี้ยว ของกิน อัน เขาเข้าไปตั้ง
ไว้เป็นอันมา [ในสงฆ์] ญาติไร ๆ ของสัตว์เหล่านั้น
ก็ระลึกไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์ทั้งหลายเป็นปัจจัย.
เมื่อทรงสรรเสริญทานที่พระราชาถวายอุทิศพวกพระประยูรญาติของพระราชา ที่
เกิดในปิตติวิสัย [เกิดเป็นเปรต] อีก จึงตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า เอวํ ททนฺติ
ญาตีนํ เป็นต้น.

287
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 288 (เล่ม 39)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เป็นคำอุปมา. คำว่า เอวํ นั้น
สัมพันธ์ความเป็น ๒ นัย คือ
๑. ชนเหล่าใดเป็นผู้เอ็นดู. ชนเหล่านั้น ย่อมให้ข้าวน้ำเป็นต้น เพื่อ
ญาติทั้งหลาย เมื่อญาติไร ๆ แม้ระลึกไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้น
เป็นปัจจัยอย่างนี้.
๒. ถวายพระพรชนเหล่าใด เป็นผู้เอ็นดู ชนเหล่านั้น ย่อม
ให้ข้าวน้ำอันสะอาด ประณีต เป็นกัปปิยะของควรตามกาล เพื่อญาติทั้งหลาย
เหมือนอย่างมหาบพิตรถวายทานฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ททนฺติ ได้แก่ ให้ อุทิศ มอบให้. บทว่า
ญาตีนํ ได้แก่ คนที่เกี่ยวเนื่องข้างมารดาและข้างบิดา. บทว่า เย ได้แก่
พวกใดพวกหนึ่งไม่ว่า บุตร ธิดา หรือพี่น้อง. บทว่า โหนฺติ แปลว่า ย่อมมี
บทว่า อนุกมฺปกา ได้แก่ผู้ประสงค์ประโยชน์ผู้แสวงประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า
สุจึ ได้แก่ ไร้มลทิน ควรชม ชื่นใจ เป็นธรรม ได้มาโดยธรรม. บทว่า
ปณีตํ ได้แก่สูงสุด ประเสริฐสุด. บทว่า กาเลน ได้แก่ ตามกาลที่พวก
เปรตผู้เป็นยาติมายืนอยู่ภายนอกฝาเรือน เป็นต้น. บทว่า กปฺปิยํ ได้แก่
ควร เหมาะ สมควรบริโภคของพระอริยะทั้งหลาย. บทว่า ปานโภชนํ
ได้แก่ น้ำด้วย ข้าวด้วย ชื่อว่า น้ำและข้าว. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาไทย-
ธรรมทุกอย่าง โดยยกน้ำและข้าวขึ้นนำหน้า.
การพรรณนาคาถาที่ ๔ สัมพันธ์กับคาถาที่ ๓
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสรรเสริญน้ำและข้าวที่พระเจ้ามคธรัฐทรง
ถวาย เพื่ออนุเคราะห์หมู่พระประยูรญาติที่เป็นเปรต อย่างนี้ จึงตรัสว่า

288
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 289 (เล่ม 39)

ชนเหล่าใดเป็นผู้เอ็นดู ชนเหล่านั้นย่อมให้น้ำ
และข้าวอันสะอาดประณีตเป็นของควรตามกาลอย่างนี้.
เมื่อทรงแสดงประการที่ทานซึ่งให้แล้ว เป็นอันให้เพื่อญาติเหล่านั้นอีก จึง
ตรัสกิ่งต้นแห่งคาถาที่ ๔ ว่า อทํ โว ญาตีนํ โหตุ เป็นต้น . พึงสัมพันธ์
ความกับกึ่งต้นของคาถาที่ ๓ ว่า
ชนเหล่าใด เป็นผู้เอ็นดู ชนเหล่านั้นย่อมให้น้ำ
และข้าวอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แล จงมีแก่ญาติทั้งหลาย
ขอญาติทั้งหลาย จงประสบสุขเกิด.
ด้วยเหตุนั้น ตัวอย่างอาการที่พึงให้เป็นอันทรงทำแล้ว ด้วย เอวํ ศัพท์ ที่มี
อรรถว่าอาการในคำนี้ว่า ชนเหล่านั้น ย่อมให้โดยอาการอย่างนี้ว่า ขอทานนี้
แลจงมีแก่ญาติทั้งหลาย ไม่ใช่โดยอาการอย่างอื่น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ. เป็นบทแสดงตัวอย่างไทยธรรม.
บทว่า โว เป็นเพียงนิบาตอย่างเดียว ไม่ใช่ฉัฏฐีวิภัตติ เหมือนในประโยค
เป็นต้นอย่างนี้ว่า กจฺจิ ปน โว อนุรุทฺธา สมคฺคา สมฺโมทมานา.
และว่า เยหิ โว อริยา. บทว่า ญาตีนํ โหตุ ความว่า จงมีแก่ญาติ
ทั้งหลายที่เกิดขึ้นปิตติวิสัย. บทว่า สุขิตา โหนฺติ ญาตโย ความว่า ขอ
พวกญาติที่เข้าถึงปิตติวิสัยเหล่านั้น จงเป็นผู้เสวยผลทานนี้ มีความสุขเถิด.
พรรณนาตอนปลายของคาถาที่ ๔
สัมพันธ์กับตอนต้นของคาถาที่ ๕
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงประการที่ทานอันญาติ พึงให้แก่
ญาติทั้งหลายที่เข้าถึงปิตติวิสัยจึงตรัสว่า ขอทานนี้แลจงมีแก่ญาติทั้งหลาย ขอ
ญาติทั้งหลายจงประสบสุขดังนี้ เพราะเหตุที่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ขอ

289
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 290 (เล่ม 39)

ทานนี้แล จงมีแก่ญาติทั้งหลาย กรรมที่คนหนึ่งทำแล้วย่อมไม่ให้ผลแก่อีกคน
หนึ่ง แต่วัตถุนั้นที่ญาติให้อุทิศอย่างนั้นอย่างเดียว ย่อมเป็นปัจจัยแก่กุศล
กรรมของญาติทั้งหลาย ฉะนั้นเมื่อทรงแสดงประการที่กุศลกรรม อันให้เกิดผล
ในทันที่ เพราะวัตถุนั้นนั่นแลอีก จึงตรัสกึ่งหลังแห่งคาถาที่ ๔ ว่า เต จ
ตตฺถ และกิ่งต้นแห่งคาถาที่ ๕ ว่า ปหูเต อนฺนปานมฺหิ.
กึ่งต้นและกึ่งหลังแห่งคาถาเหล่านั้น มีความว่า ท่านอธิบายไว้ว่าเปรต
ที่เป็นญาติเหล่านั้น มาโดยรอบ มาร่วมกัน ประชุมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในที่ ๆ
ญาติให้ทานนั้น. ท่านอธิบายไว้ว่า เปรตเหล่านั้นมาโดยชอบ มาร่วมกัน
มาพร้อมกันเพื่อความต้องการอย่างนี้ว่า ญาติทั้งหลายของเราจักอุทิศทานนี้
เพื่อประโยชน์แก่เราทั้งหลาย. บทว่า ปหูเต อนฺนปานมฺหิ ความว่า ใน
ข้าวน้ำที่ญาติให้อุทิศเพื่อตนมีมากนั้น. บทว่า สกฺกจฺจํ อนุโมทเร ความว่า
เปรตเหล่านั้นเชื่อมั่น ผลกรรมไม่ละความยำเกรง มีจิตไม่กวัดแกว่ง ย่อมยินดี
อนุโมทนา เกิดปีติปราโมชว่า ทานนี้จงมีผลเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
แก่เราทั้งหลาย.
พรรณนาตอนปลายของคาถาที่ ๕
สัมพันธ์กับตอนต้นของคาถาที่ ๖
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงประการที่กุศลกรรม ให้ผลเกิดใน
ทันที่ แก่ญาติทั้งหลายที่เข้าถึงปิตติวิสัย อย่างนี้จึงตรัสว่า
พวกเปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นพากันมาในที่นั้น
ประชุมพร้อมแล้ว ต่างก็อนุโมทนาโดยเคารพในข้าว
น้ำเป็นอันมาก.

290
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 291 (เล่ม 39)

เมื่อทรงแสดงอาการชมเชยปรารภญาติทั้งหลายของเปรตเหล่านั้น ที่เสวยผล
แห่งกุศลกรรม อันบังเกิดเพราะอาศัยพวกญาติอีก จึงตรัสกึ่งหลังแห่งคาถา
ที่ ๕ ว่า จิรํ ชีวนฺตุ และกึ่งต้นแห่งคาถาที่ ๖ ว่า อมฺหากญฺจ กตา
ปูตา.
กึ่งหลังและกึ่งต้นแห่งคาถาเหล่านั้นมีความว่า บทว่า จิรํ ชีวนฺตุ
ได้แก่มีชีวิตอยู่นาน ๆ มีอายุยืน. บทว่า โน ญาตี แปลว่า ญาติทั้งหลาย
ของพวกเรา. บทว่า เยสํ เหตุ ได้แก่ เพราะอาศัยญาติเหล่าใด เพราะ
เหตุแห่งญาติเหล่าใด. บทว่า ลภามฺหเส แปลว่า ได้. หมู่เปรตกล่าวอ้าง
สมบัติที่ตนได้ในขณะนั้น.
จริงอยู่ ทักษิณา ย่อมสำเร็จผล คือ ให้เกิดผลในขณะนั้นได้ ก็
ด้วยองค์ ๓ คือ ด้วยการอนุโมทนาด้วยตนเองของเปรตทั้งหลาย ๑ ด้วย
การอุทิศของทายกทั้งหลาย ๑ ด้วยการถึงพร้อมแห่งทักขิไณยบุคคล ๑.
บรรดาองค์ทั้ง ๓ นั้น ทายกทั้งหลายเป็นเหตุพิเศษ ด้วยเหตุนั้น
เปรต. ทั้งหลายจึงกล่าวว่า เยสํ เหตุ ลภามฺหเส ย่อมได้เพราะเหตุแห่งญาติ
[ที่เป็นทายก] เหล่าใด. บทว่า อมฺหากญฺจ กตา ปูชา ความว่า และ
ญาติทั้งหลายที่อุทิศทานนี้อย่างนี้ว่า อทานนี้จงมีแก่ญาติทั้งหลายของเรา ดังนี้
ชื่อว่า ทำการบูชาพวกเราแล้ว. ทายกา จ อนิปฺผลา ความว่า กรรมที่
สำเร็จมาแต่การบริจาค อันทายกทำแล้วในสันดานใด ทายกทั้งหลาย ชื่อว่า
ไม่ไร้ผล ก็เพราะกรรมนั้น ให้ผลในสันดานนั้นเท่านั้น. ในข้อนี้ผู้ทักท้วงกล่าว
ว่า ญาติทั้งหลายที่เข้าถึงปิตติวิสัยได้เท่านั้นหรือ หรือว่า แม้คนอื่น ๆ ก็ได้.
ขอชี้แจงดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพราหมณ์ ชื่อ ชาณุสโสณิ ทูลถาม
แล้ว ก็ทรงพยากรณ์ข้อนี้ไว้ดังนี้ว่า ในข้อนี้ เราจะพึงกล่าวคำอะไร. สมจริง
ดังที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้๑ดังนี้ว่า
๑. อัง.ทสก. ๒๔/ข้อ ๑๖๖ ชาณุสโสณีสูตร.

291
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 292 (เล่ม 39)

ชาณุสโสณิพราหมณ์ทูลถามว่า
ข้าแต่ท่านพระโคดม พวกข้าพเจ้าชื่อว่าพราหมณ์
ย่อมไห้ทาน ย่อมทำความเชื่อว่า ทานนี้จะสำเร็จผลแก่
เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติสาโลหิต เปรตทั้งหลายที่เป็น
ญาติสาโลหิต จะบริโภคทานนี้. ข้าแต่ท่านพระโคดม
ทานนั้น จะสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติสา-
โลหิตบ้างไหม เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติสาโลหิต จะ
บริโภคทานนั้น ได้บ้างไหม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนพราหมณ์จะสำเร็จผลในที่เป็นฐานะ ไม่
สำเร็จผลในที่เป็นอัฏฐานะ.
ชาณุสโสณิพราหมณ์ทูลถามว่า
ข้าแต่ท่านพระโคดม ที่อย่างไรเป็นฐานะ ที่
อย่างไรเป็นอัฏฐานะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนพราหมณ์ คนบางตนในโลกนี้ทำปาณา-
ติบาต ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
กายแตกไป เขาย่อมเข้าถึงนรก อาหารอันใดของ
เหล่าสัตว์นรก เขาย่อมยังชีพให้เป็นไปในนรกนั้น ด้วย
อาหารอันนั้น เขาดำรงอยู่ได้ในนรกนั้น ด้วยอาหาร
อันนั้น.
ดูก่อนพราหมณ์ ทานนั้นย่อมไม่สำเร็จผลแก่
สัตว์ผู้ตั้งอยู่ในนรกใด นรกนั้นแล ชื่อว่า อัฏฐานะ.

292
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 293 (เล่ม 39)

ดูก่อนพราหมณ์ คนบางตนในโลกนี้ทำปาณา-
ติบาต ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
กายแตกไป เขาเข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน. อาหาร
อันใดของเหล่าสัตว์ที่เกิดในกำเนิดสัตว์ เดียรัจฉาน เขา
ย่อมยังชีพให้เป็นไปในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานนั้นด้วย
อาหารอันนั้น ย่อมดำรงอยู่ได้ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
นั้น ด้วยอาหารอันนั้น.
ดูก่อนพราหมณ์ ทานนั้น ย่อมไม่สำเร็จผลแก่
สัตว์ผู้ตั้งอยู่ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานใด กำเนิดสัตว์
เดียรัจฉานนั้นแล ชื่อว่า อัฏฐานะ.
ดูก่อนพราหมณ์ คนบางคนในโลกนี้ เว้นขาด
จากปาณาติบาต ฯลฯ เป็นสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่
ตายเพราะกายแตกไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
ของหมู่เทวดา อาหารอัน ใดของหมู่เทวดา เขายังชีพ
ให้เป็นไปในเทวโลกนั้นด้วยอาหารอันนั้น เขาดำรง
อยู่ได้ในเทวโลกนั้นด้วยอาหารอันนั้น.
ดูก่อนพราหมณ์ ทานนั้น ย่อมไม่สำเร็จผลแก่
สัตว์ผู้ตั้งอยู่ในเทวโลกใด เทวโลกนี้แล ก็ชื่อว่าอัฏฐานะ
ดูก่อนพราหมณ์ คนบางคนในโลกนี้ ทำปาณา
ติบาต ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
กายแตกไป เขาย่อมเข้าถึงปิตติวิสัย อาหารอันใดของ
หมู่สัตว์ที่เข้าถึงปิตติวิสัย เขาย่อมยังชีพให้เป็นไปใน

293