No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 214 (เล่ม 39)

ด้วยความเป็นผู้มีการงานอันไม่มีโทษ. งดเว้นการทำร้ายผู้อื่นด้วยการเว้นบาป
การทำร้ายตนเอง ด้วยการระวังในการดื่มกินของเมา, เพิ่มพูนฝ่ายกุศลด้วย
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย, ละเพศคฤหัสถ์ด้วยความเป็นผู้เพิ่มพูนกุศล
แม้คงอยู่ในภาวะบรรพชิต ก็ยังวัตรสัมปทาไห้สำเร็จด้วยความเคารพในพระ-
พุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าและอุปัชฌายาจารย์เป็นต้น และด้วยความ
ถ่อมตน, ละความละโมภในปัจจัยด้วยสันโดษ, ตั้งอยู่ในสัปปุริสภูมิด้วยความ
เป็นผู้กตัญญู, ละความเป็นผู้มีจิตหดหู่ด้วยการฟังธรรม, ครอบงำอันตรายทุก
อย่างด้วยขันติ, ทำคนให้มีที่พึ่ง ด้วยความเป็นผู้ว่าง่าย, ดูการประกอบข้อ
ปฏิบัติด้วยการเห็นสมณะ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความสงสัย ด้วยการสนทนาธรรม, ถึงศีลวิสุทธิ ด้วยตปะคืออินทรีย-
สังวร ถึงจิตตวิสุทธิ ด้วยพรหมจรรย์คือสมณธรรม และยังวิสุทธิ ๔ นอกนั้น
ให้ถึงพร้อม, ถึงญาณทัสสนวิสุทธิอันเป็นปริยายแห่งการเห็นอริยสัจด้วยปฏิปทา
นี้ กระทำให้แจ้งพระนิพพานที่นับได้ว่าอรหัตผล, ซึ่งครั้น กระทำให้แจ้งแล้ว
เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘ เหมือนสิเนรุบรรพต ไม่หวั่นไหวด้วย
ลมและฝน ย่อมเป็นผู้ไม่เศร้าโศก ปราศจากละอองกิเลส มีความเกษมปลอด
โปร่ง และความเกษมปลอดโปร่งย่อมเป็นผู้แม้แต่ศัตรูผู้หนึ่งให้พ่ายแพ้ไม่ได้
ในที่ทั้งปวง ทั้งจะถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
สัตว์ทั้งหลายกระทำมงคลเช่นที่กล่าวมานี้แล้ว
เป็นผู้อันมารให้พ่ายแพ้ไม่ได้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความ
สวัสดีในที่ทุกสถาน นั้นเป็นมงคลอุดมของสัตว์เหล่า
นั้น.
จบพรรณนามงคลสูตร
แห่ง
ปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกปาฐะ

214
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 215 (เล่ม 39)

รัตนสูตร
ว่าด้วยรัตนอันประณีต
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรัตนสูตรเป็นคาถาว่าดังนี้
[๗] หมู่ภูตเหล่าใด อยู่ภาคพื้นดิน หรือเหล่า
ใดอยู่ภาคพื้นอากาศ มาประชุมกันแล้วในที่นี้ ขอหมู่
ภูตทั้งหมด จงมีใจดี และจงฟังสุภาษิตโดยเคารพ
เพราะฉะนั้น ขอท่านฟังหมดจงตั้งใจฟัง จงแผ่เมตตา
ในหมู่ประชาที่เป็นมนุษย์ มนุษย์เหล่าใด ย่อมนำพลี
กรรมไปทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะฉะนั้น ท่าน
ทั้งหลาย จงไม่ประมาท ช่วยรักษามนุษย์เหล่านั้น.
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในในที่นี้
หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจและรัตนะนั้นที่เสมอด้วยพระตถา-
คตไม่มีเลย แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธ
เจ้า. ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี.
พระศากยมุนี พระหฤทัยตั้งมั่นทรงบรรลุธรรม
ใด เป็นที่สิ้นกิเลส ปราศจากราคะ เป็นอมตธรรม
ประณีต สิ่งไร ๆ ที่เสมอด้วยธรรมนั้นไม่มี แม้อันนี้
เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม. ด้วยคำสัตย์นี้ ขอ
ความสวัสดีจงมี.

215
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 216 (เล่ม 39)

พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทรงสรรเสริญสมาธิ
อันใดว่าเป็นธรรมอันสะอาด ปราชญ์ทั้งหลายกล่าว
สมาธิอันใดว่าให้ผลโดยลำดับ สมาธิอื่นที่เสมอด้วย
สมาธิอันนั้นไม่มี แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีต
ในพระธรรม. ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี.
บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้ง
หลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นสาวกของ
พระสุคต ควรแก่ทักษิณาทาน ทานทั้งหลาย ที่เขา
ถวายในบุคคลเหล่านั้นย่อมมีผลมาก แม้อันนี้ เป็น
รัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความ
สวัสดีจงมี.
พระอริยบุคคลเหล่าใด ในศาสนาของพระพุทธ-
โคดม ประกอบดีแล้ว มีใจมั่นคง ปราศจากความ
อาลัย พระอริยบุคคลเหล่านั้น ถึงพระอรหัตที่ควรถึง
หยั่งเข้าสู่พระนิพพาน ได้ความดับกิเลสเปล่า ๆ เสวย
ผลอยู่ แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์
ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี.
พระโสดาบันจำพวกใด ทำให้แจ้งอริยสัจ ที่
พระศาสดาผู้มีปัญญาลึกซึ้งทรงแสดงดีแล้ว ถึงแม้ว่า
พระใสดาบันจำพวกนั้น จะเป็นผู้ประมาทอย่างแรง
กล้า ท่านก็ไม่ถือเอาภพที่ ๘ แม้อันนี้ เป็นรัตนะอัน
ประณีตในพระสงฆ์ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี.

216
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 217 (เล่ม 39)

สักกาายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ สังโยชน์ธรรมเหล่านั้นย่อมเป็น
อันพระโสดาบันละได้แล้ว พร้อมกับทัสสนสัมปทา
[คือโสดาปัตติมรรค] ที่เดียว อนึ่ง พระโสดาบัน
เป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ ไม่อาจที่จะทำอภิฐาน ๖
[คืออนันตริยธรรม ๕ กับการเข้ารีต] แน่อันนี้เป็น
รัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความ
สวัสดี จงมี.
ถึงแม้ว่าพระโสดาบันนั้น ยังทำบาปกรรมทาง
กายวาจาหรือใจไปบ้าง [เพราะความประมาท] ท่าน
ไม่อาจจะปกปิดบาปกรรมนั้นได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ตรัสความที่พระโสดาบัน ผู้เห็นบทคือพระนิพพาน
แล้ว ไม่อาจปกปิดบาปกรรมนั้นไว้แล้ว แม้อันนี้ เป็น
รัตนะอัน ประณีตในพระสงฆ์ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความ
สวัสดี จงมี.
พุ่มไม้งามในป่า ยอดมีดอกบานสะพรั่งในต้น
เดือนคิมหะ แห่งฤดูคิมหันต์ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ อันให้ถึงพระนิพพาน
เพื่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ก็อุปมาฉันนั้น
แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า. ด้วยคำ
สัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมี.
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริญ ทรงรู้ธรรมอันประเสริฐ
ประทานธรรมอันประเสริญ ทรงนำมาซึ่งธรรมอัน

217
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 218 (เล่ม 39)

ประเสริฐ เป็นผู้ยอดเยี่ยม ได้ทรงแสดงธรรมอันประ-
เสริฐ. แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า.
ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมี.
กรรมเก่าของพระอริยบุคคลเหล่าใดสิ้นแล้วกรรม
สมภพใหม่ ย่อมไม่มี พระอริยบุคคลเหล่าใด มีจิต
อันหน่ายแล้วในภพต่อไป พระอริยบุคคลเหล่านั้น มี
พืชสิ้นไปแล้ว มีความพอใจงอกไม่ได้แล้ว เป็นผู้มี
ปัญญา ย่อมปรินิพพานดับสนิท เหมือนประทีปดวงนี้
ฉะนั้น. แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์
ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมี.
ท้าวสักกเทวราชตรัสเสริมเป็นคาถาว่าดังนี้
หมู่ภูตเหล่าใดอยู่ภาคพื้นดิน หรือเหล่าใดอยู่
ภาคพื้นอากาศมาประชุมกันในที่นี้ พวกเรานอบน้อม
พระตถาคตพุทธะ ผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอ
ความสวัสดี จงมี.
หมู่ภูตเหล่าใดอยู่ภาคพื้นดิน หรือเหล่าใดอยู่ภาค
พื้นอากาศมาประชุมกัน แล้วในที่นี้พวกเรานอบน้อม
พระตถาคตธรรม อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอ
ความสวัสดี จงมี.
หมู่ภูตเหล่าใด อยู่ภาคพื้นดิน หรือเหล่าใดอยู่
ภาคพื้นอากาศ มาประชุมกันแล้วในที่นี้ พวกเรานอบ
น้อมพระตถาคตสงฆ์ อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว
ขอความสวัสดี จงมี.
จบรัตนสูตร

218
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 219 (เล่ม 39)

พรรณนารัตนสูตร
ประโยชน์แห่งบทตั้ง
บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาความแห่งรัตนสูตรที่ยกขึ้นตั้งในลำดับต่อ
จากมงคลสูตรนั้น โดยนัยเป็นต้นว่า ยานีธ ภูตานิ. ข้าพเจ้าจักกล่าวประ-
โยชน์แห่งการตั้งรัตนสูตรนั้น ไว้ในที่นี้ ต่อจากนั้น เมื่อแสดงการหยั่งลงสู่
ความแห่งสูตรนี้ ทางนิทานวจนะอันบริสุทธิ์ดี เหมือนการลงสู่น้ำในแม่น้ำ
และหนองเป็นต้น ทางท่าน้ำที่หมดจดดี ประกาศนัยนี้ว่า สูตรนี้ผู้ใดกล่าว
กล่าวเมื่อใด กล่าวที่ไหน กล่าวเพราะเหตุใด แล้วจึงทำการพรรณนาความ
แห่งรัตนสูตรนี้.
ในสองสูตรนั้น เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการรักษา
ตัวเอง และการกำจัดอาสวะทั้งหลายที่มีการทำไม่ดี และการไม่ทำดีเป็นปัจจัย
ด้วยมงคลสูตร ส่วนสูตรนี้ ให้สำเร็จการรักษาผู้อื่น และการกำจัดอาสวะ
ทั้งหลายที่มีอมนุษย์เป็นต้นเป็นปัจจัย ฉะนั้น สูตรนี้จึงเป็นอันตั้งไว้ในลำดับ
ต่อจากมงคลสูตรนั้นแล.
ประโยชน์แห่งการตั้งรัตนสูตรนั้นไว้ในที่นี้เท่านี้ก่อน
เรื่องกรุงเวสาลี
บัดนี้ ในข้อว่า เยน วุตฺตํ ยทา ยติถ ยสฺมา เจตํ นี้ ผู้ทักท้วง
กล่าวว่า ก็สูตรนี้ผู้ใดกล่าว กล่าวเมื่อใด กล่าวที่ใด และกล่าวเพราะเหตุใด.
ขอชี้แจงดังนี้ ความจริง สูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียวตรัส พระสาวก
เป็นต้นหากล่าวไม่. ตรัสเมื่อใด. ตรัสเมื่อกรุงเวสาลีถูกอุปัทวะทั้งหลาย มีทุพภิกข-

219
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 220 (เล่ม 39)

ภัยเป็นต้นเข้าขัดขวาง พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพวกเจ้าลิจฉวีทูลร้องขอนำเสด็จ
มาแต่กรุงราชคฤห์ เมื่อนั้น รัตนสูตรนั้น พระองค์ก็ตรัสเพื่อบำบัด อุปัทวะ
เหล่านั้น ในกรุงเวสาลี. การวิสัชนาปัญหาเหล่านั้น โดยสังเขปมีเท่านี้. ส่วน
พิศดาร พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย พรรณนาไว้นับแต่เรื่องๆ กรุงเวสาลีเป็นต้น
ไป.
ดังได้สดับมา พระอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงพระครรภ์
พระนางทรงทราบแล้วก็ได้กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาก็พระ
ราชทานเครื่องบริหารพระครรภ์. พระนางได้รับบริหารพระครรภ์มาเป็นอย่างดี
ก็เสด็จเข้าสู่เรือนประสูติ ในเวลาพระครรภ์แก่. เหล่าท่านผู้มีบุญย่อมออกจาก
ครรภ์ในเวลาใกล้รุ่ง. ก็ในบรรดาท่านผู้มีบุญเหล่านั้น พระอัครมเหสีพระองค์
นั้น ก็เป็นผู้มีบุญพระองค์หนึ่ง ด้วยเหตุนั้น เวลาใกล้รุ่ง พระนางก็ประสูติ
ชิ้นเนื้อเสมือนดอกชะบามีพื้นกลีบสีแดงดังครั่ง ต่อจากนั้น พระเทวีพระองค์
อื่น ๆ ก็ประสูติพระโอรสเสมือนรูปทอง. พระอัครมเหสีประสูติชิ้นเนื้อ ดังนั้น
พระนางทรงดำริว่า "เสียงติเตียนจะพึงเกิดแก่เรา ต่อเบื้องพระพักตร์ของ
พระราชา" เพราะทรงกลัวการติเตียนนั้น จึงทรงสั่งให้ใส่ชิ้นเนื้อนั้นลงใน
ภาชนะใบหนึ่ง เอาภาชนะอีกใบหนึ่งครอบปิดไว้ ประทับตราพระราชลัญจกร
แล้ว ให้ลอยไปตามกระแสแม่น้ำคงคา พอเจ้าหน้าที่ทั้งหลายทิ้งลงไป เทวดา
ทั้งหลายก็จัดการอารักขา ทั้งเอายางมหาหิงคุ์จารึกแผ่นทองผูกติดไว้ที่ภาชนะ
นั้นว่า พระราชโอรสธิดาของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้ากรุงพาราณสี. ต่อนั้น
ภาชนะนั้น มิได้ถูกภัยคือคลื่นรบกวน ก็ลอยไปตามกระแสแน่น้ำคงคา.
สมัยนั้น ดาบสรูปหนึ่งอาศัยครอบครัวของคนเลี้ยงโค อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
คงคา. เช้าตรู่ ดาบสรูปนั้นก็ลงสู่แม่น้ำคงคา แลเห็นภาชนะนั้นลอยมา ก็
ถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา ด้วยเข้าใจว่าเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว. ต่อนั้น ก็แล

220
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 221 (เล่ม 39)

เห็นแผ่นจารึกอักษรและตราพระราชลัญจกร ก็แก้ออกเห็นชิ้นเนื้อนั้น ครั้น
เห็นแล้ว ดาบสรูปนั้นก็คิดว่า เห็นทีจะเป็นสัตว์เกิดในครรภ์ ดังนั้น จึงไม่
เน่าเหม็น ก็นำชิ้นเนื้อนั้น ไปยังอาศรม วางไว้ในที่สะอาด. ล่วงไปครึ่งเดือน
ชิ้นเนื้อก็แยกเป็น ๒ ชิ้น ดาบสเห็นแล้ว ก็วางไว้อย่างดี. ต่อจากนั้น ล่วง
ไปอีกครึ่งเดือน ชิ้นเนื้อแต่ละชิ้นก็เกิดปมชิ้นละ ๕ สาขา เพื่อเป็นมือ เท้า
และศีรษะ ดาบสก็บรรจงวางไว้เป็นอย่างดีอีก. ต่อนั้น อีกครึ่งเดือน ชิ้นเนื้อ
ชิ้นหนึ่งก็เป็นทารก เสมือนรูปทอง อีกชิ้นหนึ่งก็เป็นทาริกา ดาบสเกิดความ
รักดังบุตรในทารกทั้งสองนั้น. น้ำนมก็บังเกิดจากหัวนิ้วแน่มือของดาบสนั้น
ตั้งแต่นั้นมา ดาบสได้น้ำนมและอาหารมาก็บริโภคอาหาร หยอดน้ำนมในปาก
ของทารกทั้งสอง. สิ่งใด ๆ เข้าไปในท้องของทารกนั้น สิ่งนั้น ๆ ทั้งหมด
ก็จะแลเห็นเหมือนเข้าไปในภาชนะทำด้วยแก้วมณี. ทารกทั้งสอง ไม่มีผิวอย่าง
นี้. แต่อาจารย์พวกอื่น ๆ กล่าวว่า ผิวของทารกทั้งของนั้น ใสถึงกันและกัน
เหมือนถูกร้อยด้วยวางไว้. ทารกเหล่านั้น จึงปรากฏชื่อว่า ลิจฉวี เพราะไม่
มีผิว หรือเพราะมีผิวใส ด้วยประการฉะนี้.
ดาบสเลี้ยงทารก พอตะวันขึ้นก็เข้าบ้านแสวงหาอาหาร ตอนสาย ๆ ก็
กลับ. คนเลี้ยงโคทั้งหลาย รู้ถึงการขวนขวายนั้นของดาบสนั้น ก็กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า การเลี้ยงทารกเป็นกังวลห่วงใยของเหล่านักบวช ขอท่านโปรดให้
ทารกแก่พวกเราเถิด พวกเราจะช่วยกันเลี้ยง ขอท่านโปรดทำกิจกรรมของ
ท่านเถิด. ดาบสก็ยอมรับ. วันรุ่งขึ้น พวกคนเลี้ยงโคก็ช่วยกันทำหนทางให้
เรียบแล้วโรยทราย ยกธง มีดนตรีบรรเลงพากันมายังอาศรม. ดาบสกล่าวว่า
ทารกทั้งสองมีบุญมาก พวกท่านจงช่วยกันเลี้ยงให้เจริญวัย ด้วยความไม่ประ-
มาท ครั้นให้เจริญวัยแล้ว จงจัดการอาวาหวิวาหกันและกัน ให้พระราชา

221
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 222 (เล่ม 39)

ทรงยินดีด้วยปัญจโครส จงเลือกหาภูมิประเทศช่วยกันสร้างพระนครขึ้น จง
อภิเษกพระกุมารเสีย ณ ที่นั้น แล้วมอบทารกให้. พวกคนเลี้ยงโครับคำแล้ว
ก็นำทารกไปเลี้ยงดู.
ทารกทั้งสอง เจริญเติบโตก็เล่นการเล่น ใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ทุบ
ถีบพวกเด็กลูกของคนเลี้ยงโคอื่น ๆ ในที่ทะเลาะกัน เด็กลูกคนเลี้ยงโคเหล่านั้น
ก็ร้องไห้ ถูกมารดาบิดาถามว่าร้องไห้ทำไม ก็บอกว่า เจ้าเด็กไม่มีพ่อแม่ที่
ดาบสเลี้ยงเหล่านั้น ข่มเหงเรา. แต่นั้น มารดาบิดาของเด็กเหล่านั้น ก็กล่าวว่า
ทารกสองคนนี้ชอบข่มเหงให้เด็กอื่น ๆ. เดือดร้อน จะไม่สงเคราะห์มัน ละเว้น
มันเสีย. เขาว่าตั้งแต่นั้นมา ประเทศที่นั้น จึงถูกเรียกว่า วัชชี ขนาด ๓๐๐
โยชน์. ครั้งนั้น พวกคนเลี้ยงโคทำพระราชาให้ยินดีแล้ว เลือกเอาประเทศที่นั้น
สร้างพระนครลงในประเทศนั้น แล้วอภิเษกพระกุมาร ซึ่งพระชนม์ได้ ๑๖
พรรษา ตั้งเป็นพระราชา ได้ทำการวิวาหมงคลกับทาริกาของพระองค์ ได้วาง
กติกากฎเกณฑ์ไว้ว่า จะไม่นำทาริกามาจากภายนอก และไม่ให้ทาริกาจากที่นี้
แก่ใคร ๆ โดยการอยู่ร่วมกันครั้งแรกของพระกุมารกุมารีนั้น ก็เกิดทารกคู่
หนึ่ง เป็นธิดา ๑ โอรส ๑ โดยอาการอย่างนี้ ก็เกิดเป็นคู่ ๆ ถึง ๑๖ ครั้ง.
แต่นั้น เมื่อทารกเหล่านั้น เจริญวัยโดยลำดับ นครนั้นก็ไม่พอที่จะบรรจุอาราม
อุทยาน สถานที่อยู่ บริวารและสมบัติ จึงล้อมรอบด้วยประการ ๓ ชั้น ระหว่าง
คาวุต หนึ่งๆ เพราะนครนั้น ถูกขยายกว้างออกบ่อย ๆ จึงเกิดนามว่าเวสาลีนี้แล.
นี้เรื่องกรุงเวสาลี
การนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็กรุงเวสาลีนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติก็มั่นคงไพบูลย์
ด้วยว่า ในกรุงเวสาลีนั้นมีเจ้าอยู่ถึง ๗ ,๗๐๗ พระองค์. พระยุพราชเสนาบดี
และภัณฑาคาริกเป็นต้นก็เหมือนกัน เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า

222
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 223 (เล่ม 39)

สมัยนั้นแล กรุงเวสาลีมั่นคงเจริญ มีคนมาก
มีคนเกลื่อนกล่น มีอาหารหาได้ง่าย มีปราสาท ๗,๗๐๗
หลัง มีเรือนยอด ๗,๗๐๗ หลัง มีอาราม ๗,๗๐๗
อาราม มีสระโบกขรณี ๗,๗๐๗ สระ.
สมัยต่อมา กรุงเวสาลีนั้นเกิดทุพภิกขภัย ฝนแล้งข้าวกล้าตายนึ่ง.
คนยากคนจนตายก่อน เขาทิ้งคนเหล่านั้นไปนอกนคร. พวกอมนุษย์ได้กลิ่น
คนตายก็พากันเข้าพระนคร. แต่นั้น ผู้คนก็ตายเพิ่มมากขึ้น. เพราะความ
ปฏิกูลนั้น อหิวาตกโรคก็เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย. ชาวกรุงเวสาลีถูกภัย ๓ อย่าง
คือ ทุพภิกขภัย อมนุสสภัย และโรคภัยเบียดเบียน ก็เข้าไปเฝ้าพระราชา
กราบทูลว่า ขอเดชะ เกิดภัย ๓ อย่างในพระนครนี้แล้ว พระเจ้าข้า แต่
ก่อนนี้ นับได้ ๗ ชั่วราชสกุล ไม่เคยเกิดภัยเช่นนี้เลย ชรอยพระองค์ไม่ทรง
ตั้งอยู่ในธรรม บัดนี้ ภัยนั้นจึงเกิดขึ้น. พระราชาทรงประชุมเจ้าลิจฉวีทุก
พระองค์ในที่ว่าราชการตรัสว่า ขอได้โปรดพิจารณาทบทวนข้อที่เราไม่ตั้งอยู่
ในธรรมเถิด เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น พิจารณาทบทวนถึงประเพณีทุกอย่าง ก็ไม่
ทรงเห็นข้อบกพร่องไร ๆ แต่นั้น ก็ไม่เห็นโทษขององค์พระราชา จึงพากัน
คิดว่า ภัยนี้ของเรา จะระงับไปได้อย่างไร. ในที่ประชุมนั้น เจ้าลิจฉวีบาง
พวก อ้างถึงศาสดาทั้ง ๖ ว่า พอศาสดาเหล่านั้นย่างเท้าลงเท่านั้น ภัยก็จะระงับ
ไป บางพวกตรัสว่า ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก, พระผู้-
มีพระภาคเจ้านั้น ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ปวงสัตว์ ทรงมี
ฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พอพระองค์ย่างพระบาทลงเท่านั้น ภัยทุกอย่าง ก็
จะระงับไป ด้วยเหตุนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น จึงดีพระทัยตรัสว่า ก็พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น บัดนี้ ประทับอยู่ที่ไหนเล่า พวกเราส่งคนไปเชิญ

223