No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 339 (เล่ม 38)

สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ๑ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ทั้งที่กำลังจุติ กำลัง
อุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ฯ ลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมูสัตว์ผู้เป็นไป
ตามกรรมด้วยประการฉะนี้ ๑ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการนี้แล
อันภิกษุเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชา ๓ ประการนี้ให้บริบูรณ์.
จบโพชฌงคสูตรที่ ๒
อรรถกถาโพชฌงคสูตรที่ ๒
โพชณงคสูตรที่ ๒ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาโพชฌงคสูตรที่ ๒
๓. มิจฉัตตสูตร
ภิกษุอาศัยมิจฉัตตะ ๑๐ จึงพลาดจากสวรรค์และมรรคผล
[๑๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ จึงมีการ
พลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล เพราะ
อาศัยมิจฉัตตะอย่างไร จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการ
บรรลุสวรรค์และมรรคผล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นผิด
ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อม
มีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด

339
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 340 (เล่ม 38)

ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มี
ความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด
ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัย
มิจฉัตตะอย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุ
สวรรค์และมรรคผล
จบมิจฉัตตสูตรที่ ๓
อรรถกถามิจฉัตตสูตรที่ ๓
มิจฉัตตสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิราธนา โหติ ความว่า พลาดจากสวรรค์และมรรค ย่อมมี.
บทว่า โน อาราธนา ความว่า ความสำเร็จผลก็ไม่มี ความทำให้
บริบูรณ์ ก็ไม่มี. บทว่า ปโหติ แปลว่า ย่อมเป็นไป.
จบอรรถกถามิจฉัตตสูตรที่ ๓
๔. สัมมัตตสูตร
ว่าด้วยภิกษุอาศัยสัมมัตตะ ๑๐ จึงบรรลุสวรรค์และมรรคผล/H4
>
[๑๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัย สัมมัตตะ จึงมีการ
บรรลุสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล เพราะ
อาศัยสัมมัตตะอย่างไร จึงมีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการพลาด
จากสวรรค์และมรรคผล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นชอบ
ย่อมมีการงานชอบ ผู้มีการงานชอบ ย่อมมีการเลี้ยงชีพชอบ ผู้มีการ

340
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 341 (เล่ม 38)

เลี้ยงชีพชอบ ย่อมมีความพยายามชอบ ผู้มีความพยายามชอบ ย่อมมีความ
ระลึกชอบ ผู้มีความระลึกชอบ ย่อมมีความตั้งใจชอบ ผู้มีความตั้งใจชอบ
ย่อมมีความรู้ชอบ ผู้มีความรู้ชอบ ย่อมมีความหลุดพ้นชอบ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยสัมมัตตะ จึงมีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ไม่มี
การพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ด้วยประการอย่างนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความเห็นผิด มีความดำริผิด
มีวาจาผิด มีการงานผิด มีการเลี้ยงชีพผิด มีความพยายามผิด มีความ
ระลึกผิด มีความตั้งใจผิด มีความรู้ผิด มีความหลุดพ้นผิด สมาทาน
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไรแล้ว
เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
ไม่เกื้อกูล เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเป็นทิฏฐิอันชั่วช้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพืชสะเดา พืชบวบขม หรือพืช
น้ำเต้าชม อันบุคคลเพาะแล้วในแผ่นดินที่ชุ่มชื้น ย่อมเข้าไปจับรสดิน
และรสน้ำอันใด รสดินและรสน้ำทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น
รสขม เป็นรสเผ็ดร้อน เป็นรสไม่น่ายินดี ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะ
พืชเป็นของไม่ดี แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความ
เห็นผิด มีความดำริผิด มีวาจาผิด มีการงานผิด มีการเลี้ยงชีพผิด
มีความพยายามผิด มีความระลึกผิด มีความตั้งใจผิด มีความรู้ผิด มีความ
หลุดพ้นผิด สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตาม
ความเห็นอย่างไรแล้ว เจตนา ความปรารถนา ตามตั้งใจ และสังขาร
เหล่าใด ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา

341
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 342 (เล่ม 38)

ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ไม่เกื้อกูล เป็นทุกข์ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
เพราะเป็นทิฏฐิที่ชั่วช้า ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ
มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความพยายามชอบ
มีความระลึกชอบ มีความตั้งใจชอบ มีความรู้ชอบ มีความหลุดพ้นชอบ
สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไร
แล้ว เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรม
เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
ความเกื้อกูลเป็นสุข ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะเป็นทิฏฐิที่เจริญ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพืชอ้อย พืชข้าวสาลี หรือพืช
องุ่น อันบุคคลเพาะลงแล้วในแผ่นดินที่ชุ่มชื้น ย่อมเข้าไปจับรสดิน
และรสน้ำอันใด รสดินและรสน้ำทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความ
เป็นรสที่น่ายินดี เป็นรสหวาน เป็นรสอันน่าชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะพืชเป็นของดี แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความ
เห็นชอบ มีความดำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ
มีความพยายามชอบ มีความระลึกชอบ มีความตั้งใจชอบ มีความรู้ชอบ
มีความหลุดพ้นชอบ สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์
ตามความเห็นอย่างไรแล้ว เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และ
สังขารเหล่าใด ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลอันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เกื้อกูล เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิ
เป็นของเจริญ ฉันนั้นเหมือนกันแล.
จบสัมมัตตสูตรที่ ๔

342
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 343 (เล่ม 38)

อรรถกถาสัมมัตตสูตรที่ ๔
สัมมัตตสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ยถาทิฏฺฐิสมตฺตํ สมาทินฺนํ ได้แก่ สมาทานให้สมบูรณ์
การยึดไว้หมด ตามสมควรแก่ทิฏฐิ บทว่า เจตนา ได้แก่ เจตนาที่
บังเกิดในทวารทั้ง ๓ ยึดมั่นแล้ว. บทว่า ปฏฺฐนา ได้แก่ ความปรารถนา
ที่ปรารถนาไว้อย่างนี้ว่า ขอเราพึงเป็นเห็นปานนี้. บทว่า ปณิธิ ได้แก่
การตั้งจิตว่า เราจักเป็นเทวะ หรือเทพองค์หนึ่ง. บทว่า สงฺขารา ได้
แก่ สังขารที่ประกอบพร้อมแล้ว.
จบอรรถกถาสัมมัตตสูตรที่ ๔
๕. อวิชชาวิชชาสูตร
ว่าด้วยอวิชชาและวิชชา
[๑๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นประธานแห่งการเข้าถึง
อกุศลธรรมทั้งหลาย ความไม่ละอายบาป ความไม่กลัวบาป เป็นของ
มีมาตามอวิชชานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีอวิชชาไม่เห็นแจ้ง
ย่อมมีความเห็นผิด ผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด
ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการ
เลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด
ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้ง
ใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชชา เป็นประธานแห่งการเข้าถึงกุศลธรรม
ทั้งหลาย หิริและโอตตัปปะเป็นของมีมาตามวิชชานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้มีวิชชาเห็นแจ้ง ย่อมมีความเห็นชอบ ผู้มีความเห็นชอบ ย่อม

343
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 344 (เล่ม 38)

มีความดำริชอบ ผู้มีความดำริชอบ ย่อมมีวาจาชอบ ผู้มีวาจาชอบ ย่อม
มีการงานชอบ ผู้มีการงานชอบ ย่อมมีการเลี้ยงชีพชอบ ผู้มีการเลี้ยงชีพ
ชอบ ย่อมมีความพยายามชอบ ผู้มีความพยายามชอบ ย่อมมีความระลึก
ชอบ ผู้มีความระลึกชอบ ย่อมมีความตั้งใจชอบ ผู้มีความตั้งใจชอบ
ย่อมมีความรู้ชอบ ผู้มีความรู้ชอบ ย่อมมีความหลุดพ้นชอบ.
อวิชชาวิชชาสูตรที่ ๕
อรรถกถาอวิชชาวิชชาสูตรที่ ๕
อวิชชาวิชชาสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อวิชชา ชื่อว่าเป็นหัวหน้า เพราะอรรถว่า ดำเนินไปก่อน. บทว่า
อนฺวเทว ได้แก่ ติดตามไป.
จบอรรถกถาอวิชชาวิชชาสูตรที่ ๕
๖. นิชชรวัตถุสูตร
ว่าด้วยเหตุแห่งการเสื่อมไป ๑๐ ประการ
[๑๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งการเสื่อมไปมี ๑๐ ประการนี้
๑๐ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นชอบ ย่อม
มีความเห็นผิดเสื่อมไป มีอกุศลบาปกรรมเป็นอันมากที่เกิดขึ้นเพราะความ
เห็นผิดเป็นปัจจัยเสื่อมไป และกุศลธรรมเป็นอันมาก ย่อมถึงความเจริญ
บริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความดำริชอบ ย่อมมีความดำริผิด
เสื่อมไป มีอกุศลบาปธรรมเป็นอันมากที่เกิดขึ้นเพราะความดำริผิดเป็น
ปัจจัยเสื่อมไป และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ
ความดำริชอบเป็นปัจจัย.

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 345 (เล่ม 38)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีวาจาชอบ ย่อมมีวาจาผิดเสื่อมไป...
และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะวาจาชอบเป็น
ปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการงานชอบ ย่อมมีการงานเสื่อม
ไป... และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะการงาน
ชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการเลี้ยงชีพชอบ ย่อมมีการเลี้ยง
ชีพผิดเสื่อมไป... และกุศลธรรมเป็นอันมาก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เพราะการเลี้ยงชีพชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความพยายามชอบ ย่อมมีความ
พยายามผิดเสื่อมไป.. และกุศลธรรมเห็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เพราะความพยายามชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความระลึกชอบ ย่อมมีความระลึกผิด
เสื่อมไป... และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ
ความระลึกชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความตั้งใจชอบ ย่อมมีความตั้งใจผิด
เสื่อมไป... และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ
ความตั้งใจชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความรู้ชอบ ย่อมมีความรู้ผิดเสื่อมไป
มีอกุศบาปธรรมเป็นอันมากที่เกิดขึ้นเพราะความรู้ผิดเป็นปัจจัยเสื่อมไป
และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความรู้ชอบ
เป็นปัจจัย.

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 346 (เล่ม 38)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความหลุดพ้นชอบ ย่อมมีความ
หลุดพ้นผิดเสื่อมไป มีอกุศลบาปธรรมเป็นอันมากที่เกิดขึ้นเพราะความ
หลุดพ้นผิดเป็นปัจจัยเสื่อมไป และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึงความ
เจริญบริบูรณ์ เพราะความหลุดพ้นชอบเป็นปัจจัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เหตุแห่งการเสื่อมไปมี ๑๐ ประการนี้แล.
จบนิชชรวัตถุสูตรที่ ๖
อรรถกถานิชชรวัตถุสูตรที่ ๖
นิชชรวัตถุสูตรที่ ๖ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า นิชฺชรวตฺถูนิ ได้แก่ เหตุแห่งการเสื่อมไป. บทว่า มิจฺฉา-
ทิฏฺฐิ นิชฺชิณฺณา โหติ ความว่า มิจฉาทิฏฐิที่ถึงความเสื่อมไป แม้
เพราะวิปัสสนาอย่างต่ำ อันท่านละได้แล้วอย่างนี้. ถามว่า เพราะเหตุไร
ท่านจึงถือเอาอีก. ตอบว่า เพราะมิจฉาทิฏฐินั้น ท่านยังถอนไม่ขาด.
ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิ แม้ยังถอนได้ไม่ขาดด้วยวิปัสสนาก็จริง ถึงอย่างนั้น
มรรคเกิดขึ้น ก็ถอนมิจฉาทิฏฐิได้ขาด คือ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น
ท่านจึงถือเอาอีก. ในบททุกบทก็พึงทราบตามนัยอย่างนี้.
อนึ่ง ในสูตรนี้ ธรรม ๖๔ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ
สัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย คือ ธรรม ๖๔ ได้แก่ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคจิต
สัทธินทรีย์ย่อมบริบูรณ์ เพราะอรรถว่า น้อมใจไป วิริยินทรีย์บริบูรณ์
เพราะอรรถว่าประคองใจ สตินทรีย์บริบูรณ์ เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้ง
ไว้ สมาธินทรีย์บริบูรณ์ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์บริบูรณ์
เพราะอรรถว่า เห็น มนินทรีย์บริบูรณ์ เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง โสมนัส-

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 347 (เล่ม 38)

สินทรีย์บริบูรณ์ เพราะอรรถว่า ไหลอาบไป ชีวิตินทรีย์บริบูรณ์ เพราะ
อรรถว่า มีสันตติที่สืบต่อเป็นไปเป็นใหญ่ ฯลฯ ในขณะแห่งอรหัตผลจิต
สัทธินทรีย์บริบูรณ์ เพราะอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ฯลฯ ชีวิตินทรีย์บริบูรณ์
เพราะอรรถว่า มีสันตติสืบต่อที่เป็นไปเป็นใหญ่ ธรรม ๖๔ คือ มรรค ๔
ผล ๔ อย่างละ ๘ ๆ ย่อมถึงความบริบูรณ์ ด้วยประการดังกล่าวมาฉะนี้.
จบอรรถกถานิชชรวัตถุสูตรที่ ๖
๗. โธวนสูตร
ว่าด้วยการล้างของพระอริยะ
[๑๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทักษิณาชนบท มีธรรมเนียมการ
ล้างกระดูกแห่งญาติผู้ตาย ในธรรมเนียมการล้างกระดูกนั้น มีข้าวบ้าง
น้ำบ้าง ของขบเคี้ยวบ้าง ของบริโภคบ้าง เครื่องลิ้มบ้าง เครื่องดื่มบ้าง
การฟ้อนบ้าง เพลงขับบ้าง การประโคมบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม-
เนียมการล้างนั้นมีอยู่ เรามิได้กล่าวว่า ไม่มี แต่ว่าการล้างนั้นแลเป็นของ
เลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่เป็นของพระอริยะ ไม่ประกอบ
ด้วยประโยชน์ ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราจักแสดงการล้างอันเป็นของพระอริยะ ซึ่งเป็น
ไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความ
สงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ที่สัตว์ทั้ง-
หลายมีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด ผู้มีความ
แก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความแก่ ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อม

347
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 348 (เล่ม 38)

พ้นจากความตาย ผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส
และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความโศก ความร่ำไร
ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่
ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระ-
ผู้พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การล้างที่เป็นของพระอริยะ
ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ
เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ที่สัตว์
ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด . . .
จากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความดับแค้นใจ
ได้นั้น เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นชอบ ย่อมล้าง
ความเห็นผิด ล้างอกุศลบาปธรรมเป็นอันมาก ที่เกิดขึ้นเพราะความเห็นผิด
เป็นปัจจัย และกุศลธรรมเป็นอันมาก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ
ความเห็นชอบเป็นปัจจัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความดำริชอบ ย่อมล้างความดำริ
ผิด . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีวาจาชอบ ย่อมล้างวาจาผิด. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการงานชอบ ย่อมล้างการงานผิด. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการเลี้ยงชีพชอบ ย่อมล้างการเลี้ยง
ชีพผิด...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความพยายามชอบ ย่อมล้างความ
พยายามผิด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความพยายามชอบ ย่อมล้างความ
ผิด. . .

348