หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 704 (เล่ม 3)

ธรรมดาว่า กิจที่บุตรจะพึงกระทำแก่บิดา เป็นภาระของบุตรคนโต;
เพราะฉะนั้น กิจใดที่เราจะพึงกระทำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจนั้น
ทั้งหมด พระอานนท์กระทำอยู่, เราอาศัยพระอานนท์จึงได้เพื่อเป็นผู้มี
ความขวนขวายน้อยอยู่. คำทั้งหมดว่า แม้พระเถระนั้น ได้จีวรที่ชอบใจ
แล้ว ก็ถวายพระอานนทเถระเหมือนกัน เป็นต้น เป็นเช่นกับด้วยคำ
ก่อนนั่นแล. พระอานนทเถระนับถือด้วยความนับถือคุณมากอย่างนี้
บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นผู้มีความประสงค์จะถวายจีวรนั้น แม้ที่เกิด
ขึ้นในครั้งนั้นแก่ท่านพระสารีบุตร.
ก็ในคำว่า นวมํ วา ภควา ทิวสํ ทสมํ วา นี้ หากใคร ๆ จะพึง
มีความสงสัยว่า พระเถระทราบได้อย่างไร ?
ตอบว่า พระเถระทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่าง.
[เหตุที่พระอานนท์ทราบการมาของพระสารีบุตรได้]
ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะหลีกจาริกไปในชนบท มัก
บอกลาพระอานนทเถระก่อนแล้วจึงหลีกไปว่า ผมจักมาโดยกาลชื่อว่า
ประมาณเท่านี้ ในระหว่างนี้ ท่านอย่าละเลยพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
ถ้าแม้นว่า ท่านไม่บอกลาในที่ต่อหน้า, ก็ต้องส่งภิกษุไปบอกลาก่อนจึง
ไป. ถ้าว่า ท่านอยู่จำพรรษาในอาวาสอื่น, และภิกษุเหล่าใดมาก่อน
ท่านก็ส่งภิกษุเหล่านั้นไปอย่างนี้ว่า พวกท่านจงถวายบังคม พระบาทยุคล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเรา, และจงเรียนถาม
ถึงความไม่มีโรคของพระอานนท์แล้วบอกว่า เราจักมาในวันชื่อโน้น,
และพระเถระย่อมมาในวันตามที่ท่านกำหนดไว้แล้วนั่นแลเสมอ ๆ.

704
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 705 (เล่ม 3)

อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ ย่อมทราบได้ด้วยการอนุมานบ้าง
ย่อมทราบได้โดยนัยนี้บ้างว่า ท่านพระสารีบุตร เมื่อทนอดกลั้นความวิโยค
(พลัดพราก) จากพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่สิ้นวันมีประมาณเท่านี้, บัดนี้
นับแต่นี้ไป จักไม่เลยวันชื่อโน้น, ท่านจักมาแน่นอน, จริงอยู่ ชน
ทั้งหลายผู้ซึ่งมีปัญญามาก ย่อมมีความรักและความเคารพในพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ามาก ดังนี้. พระเถระย่อมทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่างด้วยประการ
อย่างนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกราบทูลว่า จักมาในวัน ที่ ๙ หรือวันที่
๑๐ พระพุทธเจ้าข้า ! ดังนี้ เมื่อพระอานนทเถระกราบทูลอย่างนี้แล้ว
เพราะสิกขาบทนี้มีโทษทางพระบัญญัติ มิใช่มีโทษทางโลก; เพราะเหตุ
นั้น ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำวันที่ท่านพระอานนท์
กราบทูลนั่นแลให้เป็นกำหนด จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ! เราอนุญาตให้ทรงอดิเรกจีวรไว้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
ถ้าหากว่า พระเถระนี้ จะพึงทูลแสดงขึ้นกึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่ง, แม้
กึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จะพึงทรงอนุญาต.
[แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยการเดาะกฐิน]
บทว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ ได้แก่ เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว โดยการสำเร็จ
อย่างใดอย่างหนึ่ง. ก็เพราะจีวรนี้ ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้ว ด้วยการ
กระทำบ้าง ด้วยเหตุมีการเสียหายเป็นต้นบ้าง; ฉะนั้น เพื่อทรงแสดง
เพียงแต่อรรถเท่านั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ นั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า ภิกฺขุนา จีวรํ กตํ วา โหติ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตํ คือ อันภิกษุกระทำแล้วด้วยกรรม
มีสูจิกรรมเป็นที่สุด. ที่ชื่อว่า กรรมมีสูจิกรรมเป็นที่สุด ได้แก่การทำ

705
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 706 (เล่ม 3)

กรรมที่ควรทำด้วยเข็มอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการติดรังดุมและลูกดุมเป็นที่สุด
แล้วก็เก็บเข็มไว้ (ในกล่องเข็ม).
บทว่า นฏฺฐํ คือ ถูกพวกโจรเป็นต้นลักเอาไป. จริงอยู่ แม้
จีวรนั่น ท่านเรียกว่า สำเร็จแล้ว ก็เพราะความกังวล ด้วยการกระทำ
นั่นเอง สำเร็จลงแล้ว
บทว่า วินฏฺฐํ คือ ถูกพวกสัตว์มีปลวกเป็นต้นกัดแล้ว.
บทว่า ทฑฺฒํ คือ ถูกไฟไหม้.
สองบทว่า จีวราสา วา อุปจฺฉินฺนา มีความว่า หมดความหวังใน
จีวรซึ่งบังเกิดขึ้นว่า เราจักได้จีวรในตระกูลชื่อโน้นก็ดี. อันที่จริง ควร
ทราบความที่จีวรแม้เหล่านี้สำเร็จแล้ว เพราะความกังวลด้วยการกระทำ
นั่นแล สำเร็จลงแล้ว.
สองบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน คือ (เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว) และเมื่อ
กฐินเดาะเสียแล้ว. ด้วย บทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงความไม่มีแห่งปลิโพธที่ ๒ ก็กฐินนั้น อันภิกษุทั้งหลายย่อม
เดาะด้วยมาติกาอย่างหนึ่งในบรรดามาติกา ๘ หรือด้วยการเดาะในระหว่าง
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อฏฺฐนฺนํ มาติกานํ เป็นต้น
ในนิเทศแห่งบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นั้น
บรรดามาติกาและการเดาะในระหว่างนั้น มาติกา๑ ๘ มาแล้วใน
กฐินขันธกะอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! มาติกาแห่งการเดาะกฐิน ๘
เหล่านี้ คือ ปักกมนันติกา นิฏฐานันติกา สันนิฏฐานันติกา นาสนันติกา
สวนันติกา อาสาวัจเฉทิกา สีมาติกกันติกา สหุพภารา.
แม้การเดาะกฐินในระหว่าง ก็มาในภิกขุนีวิภังค์๒ อย่างนี้ว่า
๑ . วิ. มหา. ๑/๑๓๙. ๒. วิ. ภิกฺขุนีวิ. ๑/๑๔๕.

706
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 707 (เล่ม 3)

สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ สงฺโฆ กฐินํ อุธเรยฺย
เอสา ญตฺต, สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ กฐินํ อุทฺธรติ ยสฺสายสฺมโต ขมติ
กฐินสฺส อุพฺภาโร โส ตุณฺหสฺส ยสฺส นกฺขมติ โส ภาเสยฺย, อุพฺภติ
สงฺเฆน กฐินํ ขมติ สงฺฆสฺส ตสฺมา ตุณฺหี เอวเมตํ ธารยามิ แปลว่า
ท่านเจ้าข้า ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์ถึงที่แล้ว,
สงฆ์พึงเดาะกฐิน, นี้คำเสนอ, ท่านเจ้าข้า ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า, สงฆ์
ย่อมเดาะกฐิน, การเดาะกฐินควรแก่ท่านผู้มีอายุใด ท่านผู้มีอายุนั้นพึง
นิ่งอยู่, ถ้าไม่ควรแก่ท่านผู้มีอายุใด ท่านผู้มีอายุนั้น พึงพูดขึ้น, กฐิน
อันสงฆ์เดาะแล้วย่อมควรแก่สงฆ์; เพราะฉะนั้น สงฆ์พึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้า
จะทรงไว้ซึ่งความเป็นผู้นิ่งอยู่แห่งสงฆ์อย่างนั้นแล.
ข้าพเจ้าจักพรรณนาคำที่ควรกล่าวในมาติกา เละอันตรุพภารานั้น
ทั้งหมด ในอาคตสถานนั้นแล, แต่เมื่อจะกล่าวเสียในที่นี้ บาลีที่ควรจะ
นำมาก็ดี เนื้อความที่ควรจะกล่าวก็ดี แม้จะเป็นอันกล่าวแล้ว, แต่ก็เป็น
เรื่องที่รู้ได้ไม่ง่าย เพราะกล่าวไว้ในฐานะอันไม่ควร.
บทว่า ทสาหปรมํ มีวิเคราะห์ว่า ๑๐ วัน เป็นกำหนดอย่างยิ่ง
แห่งกาลนั้น; เพราะเหตุนั้น กาลนั้นจึงชื่อว่ามี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง
อธิบายว่า จีวรนั้น อันภิกษุพึงทรงไว้ ตลอดกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง.
แต่เพื่อจะทรงแสดงแต่อรรถเท่านั้น ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า พึงทรงไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ มีคำอธิบายว่า
ความเป็นกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ที่ตรัสไว้ในบทว่า ทสาหปรมํ นี้
ภาวะแห่งกาละมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งนั้น มีใจความดังนี้ว่า พึงทรงไว้
ได้ชั่วกาลประมาณเท่านี้ที่ยังไม่ล่วงเลยไป จีวรที่ชื่อว่า อติเรก เพราะ

707
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 708 (เล่ม 3)

ไม่นับเข้าในจำพวกจีวรที่อธิษฐานและวิกัปไว้; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
อดิเรกจีวร. ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า อติเรกจีวร นั้น จึง
ตรัสว่า จีวรที่ไม่ได้อธิษฐาน และไม่ได้วิกัปไว้.
[อธิบายกำเนิดจีวร ๖ ชนิด]
ข้อว่า ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ มีความว่า บรรดาจีวร ๖ ชนิด
เหล่านี้ คือ จีวรผ้าเปลือกไม้ ๑ จีวรผ้าฝ้าย ๑ จีวรผ้าไหม ๑ จีวรผ้า
กัมพล ๑ จีวรผ้าป่าน ๑ จีวรหาผสมกัน* ๑ จีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกำเนิดแห่งจีวร ด้วยคำว่า ฉนฺนํ
เป็นต้นนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงขนาด (แห่งจีวรนั้น) จึงตรัสว่า จีวร
อย่างต่ำควรจะวิกัปได้ ดังนี้. ขนาดแห่งจีวรนั้น ด้านยาว ๒ คืบ ด้าน
กว้าง คืบหนึ่ง ในขนาดแห่งจีวรนั้น มีพระบาลีดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ! เราอนุญาตให้วิกัปจีวรอย่างต่ำ ด้านยาว ๙ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว
โดยนิ้วพระสุคต๒.
ข้อว่า ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ มีความว่า เมื่อภิกษุ
ยังจีวรมีกำเนิดและประมาณตามที่กล่าวแล้วนั้น ให้ล่วงกาลมี ๑๐ วันเป็น
อย่างยิ่ง คือ เมื่อไม่ทำโดยวิธีที่จะไม่เป็นอติเรกจีวรเสียในระหว่างกาลมี
๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่งนี้ เป็นนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์. อธิบายว่า จีวรนั้น เป็น
นิสสัคคีย์ด้วย เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุนั้นด้วย อีกอย่างหนึ่ง การ
เสียสละ ชื่อว่า นิสสัคคีย์. คำว่า นิสสัคคีย์ นั่นเป็นชื่อของวินัยกรรม
อันภิกษุพึงกระทำในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น, การเสียสละมีอยู่ แก่ธรรม-
๑. วิ. มหา. ๕/๑๙๒. ๒. วิ. มหา. ๕/๒๑๔.

708
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 709 (เล่ม 3)

ชาตินั้น; เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น จึงชื่อว่า นิสสัคคีย์ ฉะนี้แล. นิสสัคคีย์
นั้น คืออะไร ? คือ ปาจิตตีย์. ในคำว่า ตํ อติกฺกามยโต นสฺสคฺคิยํ
ปาจิตฺติยํ นี้ มีใจความดังนี้ว่า เป็นปาจิตตีย์มีการเสียสละเป็นวินัยกรรม
แก่ภิกษุผู้ให้ล่วงกาลนั้นไป.
แต่ในบทภาชนะ เพื่อทรงแสดงอรรถวิกัปแรกก่อน พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงทรงตั้งมาติกาว่า เมื่อภิกษุให้ล่วงกาลนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์
แล้วตรัสคำว่า ในเมื่ออรุณวันที่ ๑๑ ขึ้น เป็นนิสสัคคีย์ คือ อันภิกษุ
พึงเสียสละ ดังนี้. และจีวรนั้น อันภิกษุพึงเสียสละแก่บุคคลใดพึงเสียสละ
โดยวิธีอย่างใด เพื่อทรงแสดงบุคคลและวิธีเสียสละนั้นอีก จึงตรัสคำ
เป็นต้นว่า สงฺฆสฺส วา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น ในคำว่า เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นี้ ผู้ศึกษา
พึงทราบว่า จีวรเกิดขึ้นในวันใด อรุณแห่งวันนั้น อาศัยวันที่จีวรเกิด
ขึ้น; เพราะเหตุนั้น จึงเป็นนิสสัคคีย์ ในเมื่ออรุณวันที่ ๑๑ ขึ้นรวมกัน
วันที่จีวรเกิด ถ้าแม้ว่า จีวรเป็นอันมากผูกหรือพับรวมกันเก็บไว้ ก็เป็น
อาบัติเพียงตัวเดียว. ไม่จีวรที่พับไว้ไม่รวมกันเป็นอาบัติหลายตัวตาม
จำนวนแห่งวัตถุ.
[อธิบายวิธีเสียสละและวิธีแสดงอาบัติ]
ข้อว่า นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติ เทเสตพฺพา มีความว่า ถามว่า พึง
แสดงอาบัติอย่างไร ?
แก้ว่า พึงแสดงเหมือนอย่างที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน
ขันธกะ.

709
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 710 (เล่ม 3)

ถามว่า ก็ตรัสไว้ในขันธกะนั้น อย่างไร ?
แก้ว่า ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น พึงเข้า
ไปหาสงฆ์ กระทำอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าแห่งภิกษุผู้แก่
ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประนมมือ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อหํ ภนฺเต
อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเส๑มิ (ท่านเจ้าข้า ! กระผมต้อง
อาบัติมีชื่ออย่างนี้ ขอแสดงคืนอาบัตินั้น ).
ก็ในอธิการนี้ ถ้าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวว่า เอกํ นิสฺสคฺคิยํ
ปาจิตฺติยํ... (ต้องแล้ว) ซึ่งนิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง. ถ้าจีวร ๒ ผืน
พึงกล่าวว่า เทฺว... ซึ่งอาบัติ ๒ ตัว. ถ้าจีวรมากผืนพึงกล่าวว่า สมฺพ-
หุลา... ซึ่งอาบัติหลายตัว. แม้ในการเสียสละ ถ้าว่า จีวรมีผืนเดียว
พึงกล่าวตามสมควรแก่บาลีนั่นแลว่า อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ท่านเจ้าข้า !
จีวรของกระผมผืนนี้ เป็นต้น ถ้าหากว่าจีวร ๒ ผืน หรือมากผืน พึง
กล่าวว่า อิมานิ เม ภน เต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ
อิมานาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามิ (ท่านเจ้าข้า ! จีวรของกระผมเหล่านี้ล่วง
๑๐ วัน เป็นนิสสัคคีย์, กระผมเสียสละจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์) เมื่อไม่สามารถ
จะกล่าวบาลีได้ พึงกล่าวโดยภาษาอื่นก็ได้. ภิกษุพึงรับอาบัติโดยนัย
ดังกล่าวไว้ในขันธกะนั่นแลว่า ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงรับอาบัติ. สมจริง
ดังที่ตรัสไว้ ในขันธกะนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียง
สงฆ์ว่า ท่านเจ้าข้า ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อนี้รูปนี้ ระลีกได้
เปิดเผย กระทำให้ตื้น ย่อมแสดงซึ่งอาบัติ, ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์
ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุมีชื่ออย่างนี้๒ ดังนี้.
๑. วิ. จุลฺล. ๖/๒๗๐. ๒. วิ. จุลล. ๖/๓๗๐.

710
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 711 (เล่ม 3)

ภิกษุผู้แสดง อันภิกษุรับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (เธอเห็น
หรือ).
ผู้แสดง: อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ! ผมเห็น)
ผู้รับ: อายตึ สํวเรยฺยาสิ (เธอพึงสำรวมต่อไป).
ผู้แสดง: สาธุ สุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี).
ก็ในอาบัติ ๒ ตัว หรือหลายตัวด้วยกัน ผู้ศึกษาพึงทราบความต่าง
แห่งวจนะโดยนัยก่อนนั่นแล แม้ในการให้จีวร (คืน) ก็พึงทราบความ
แตกต่างแห่งวจนะด้วยอำนาจแห่งวัตถุ คือ สงฺโฆ อิมํ จีวรํ อิมานิ
จีวรานิ... สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้ พึงให้จีวรทั้งหลายเหล่านี้... ถึงในการ
เสียสละแก่คณะ และแก่บุคคล ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
ก็ในการแสดงและการรับอาบัติในอธิการนี้ มีบาลีดังต่อไปนี้:-
เตน ภิกขุเว ภิกฺขุนา ฯ เปฯ เอวมสฺสุ วจนียา อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ
อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทสมิ๒ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อัน
ภิกษุนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุมากรูป กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
ไหว้เท้าทั้งหลายแห่งภิกษุผู้แก่ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี
พึงกล่าวอย่างนั้นว่า ท่านเจ้าข้า ! ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้ ขอแสดงคืนซึ่ง
อาบัตินั้น.
อันภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงภิกษุเหล่านั้นให้ทราบว่า สุณาตุ
เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺตึ สรติ วิวรติ
อุตฺตานีกโรติ เทเสติ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ อหํ อิตฺถนฺนามสฺส
ภิกฺขุโน อาปตฺตึ ปฏิคฺคณฺเห๓ยฺยํ แปลว่า ท่านเจ้าข้า ! ท่านผู้มีอายุ
๑. วิ. จุลฺล. ๖/๓๗๐. ๒-๓. วิ. จุลฺล. ๖/๓๖๙-๓๗๐

711
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 712 (เล่ม 3)

ทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ รูปนี้ย่อมระลึก ย่อมเปิด
เผย ย่อมกระทำให้ตื้น ย่อมแสดงอาบัติ, ถ้าว่าความพรั่งพร้อมแห่งท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลายถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุชื่อนี้.
ภิกษุผู้แสดง อันภิกษุผู้รับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่าน
เห็นหรือ).
ผู้แสดง: อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ! ผมเห็น).
ผู้รับ: อายตึ สํวเรยฺยาสิ* (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป).
ภิกษุนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า แล้ว
นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส ! ข้าพเจ้า
ต้องอาบัติ มีชื่ออย่างนี้แล้ว, จะแสดงคืนอาบัติ, ภิกษุผู้แสดง อันภิกษุ
ผู้รับอาบัตินั้นพึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ).
ผู้แสดง: อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ! ผมเห็น).
ผู้รับ: อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป).
ในวิสัยแห่งการแสดงและรับอาบัตินั้น ผู้ศึกษาพึงทราบการระบุชื่อ
อาบัติและความต่างแห่งวจนะ โดยนัยก่อนนั่นแล. และพึงทราบบาลี
แม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูป เหมือนในการสละแก่คณะฉะนั้น. ก็ถ้าว่า
จะพึงมีความแปลกกันไซร้, พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสบาลีไว้แผนกหนึ่ง
แม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสปาริสุทธิ-
อุโบสถแก่ภิกษุ ๓ รูป โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาต
ให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ ภิกษุทั้งหลาย ! ก็แลภิกษุเหล่านั้น
พึงทำอุโบสถเหล่านั้นอย่างนี้; ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงภิกษุ
* วิ. จุลฺล. ๖/๓๖๙/-๓๗๐.

712
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 713 (เล่ม 3)

เหล่านั้นให้ทราบ แล้วตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๒ รูปอีกแผนกหนึ่ง
ต่างหาก โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป
ทำปาริสุทธิอุโบสถ, ภิกษุทั้งหลาย ! ก็แลภิกษุเหล่านั้น พึงทำอุโบสถ
นั้นอย่างนี้ ภิกษุเถระพึงทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า* ดังนี้ ฉะนั้น. ก็เพราะ
ไม่มีความแปลกกัน; ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงมิได้ตรัสไว้ ทรง
ผ่านไปเสีย เพราะฉะนั้น บาลีในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เป็นบาลีที่
ตรัสไว้เเก่คณะเหมือนกัน.
ส่วนในการรับอาบัติมีความแปลกกันดังนี้:- บรรดาภิกษุ ๒ รูป
ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง อย่าตั้งญัตติ เหมือนภิกษุผู้รับอาบัติ ตั้งญัตติ ใน
เมื่อภิกษุผู้ต้องอาบัติสละแก่คณะแล้วแสดงอาบัติ พึงรับอาบัติเหมือน
บุคคลคนเดียวรับฉะนั้น. แท้จริง ชื่อว่าการตั้งญัตติสำหรับภิกษุ ๒ รูป
ย่อมไม่มี. ก็ถ้าหากจะพึงมี, พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่พึงตรัสปาริสุทธิ-
อุโบสถไว้แผนกหนึ่ง สำหรับภิกษุ ๒ รูป แม้ในการให้จีวรที่เสียสละ
แล้วคืน จะกล่าวว่า อิมํ จีวร อายสฺมโต เทม พวกเราใหัจีวรผืนนี้แก่
ท่าน เหมือนภิกษุรูปเดียวกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ ผมให้
จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้ ก็ควร. จริงอยู่ แม้ญัตติทุติยกรรม ซึ่งหนักกว่า
นี้ ตรัสว่า ควรอปโลกน์ทำ ก็มี วินัยกรรมมีการสละนี้ สมควรแก่
ญัตติทุติยกรรมเหล่านั้น. แต่จีวรที่สละแล้ว ควรให้คืนทีเดียว, จะไม่ให้
คืนไม่ได้. ก็การให้คืนจีวรที่สละเสียแล้วนี้เป็นเพียงวินัยกรรม. จีวรนั้น
เป็นอันภิกษุนั้นให้แก่สงฆ์ หรือแก่คณะ หรือแก่บุคคล หามิได้
ทั้งนั้นแล.
* วิ. มหา. ๔/๒๔๓-๒๔๔.

713