No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 638 (เล่ม 37)

เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมากหนอ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล.
ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์
มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้ว
หายใจเข้า หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก พึงมนสิการถึงคำสอน
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติ
อย่างนี้แล.
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเจริญ
มรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง
พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอน
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมากหนอ ภิกษุผู้เจริญมรณสติ
อย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ตลอดคืนหนึ่ง พึงมนสิการถึง
คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ครั้งวัน พึงมนสิการคำสอนของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก
หนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่ว

638
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 639 (เล่ม 37)

เวลาบริโภคบิณฑบาตมื้อหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก
หนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่ว
เวลาบริโภคบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก
หนอ และภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่
ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวได้ ๔-๕ คำแล้วกลืนกิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ประมาทอยู่ เจริญมรณสติเพื่อความ
สิ้นอาสวะช้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วว่าเคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน พึงมนสิการ
ถึงคำสอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเป็นอันมากหนอ และภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้าหรือหายใจ
เข้าแล้วหายใจออก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวไม่
ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เรา
ทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ประมาทอยู่ ก็เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
จบ ตติยปฏิปทาสูตรที่ ๓

639
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 640 (เล่ม 37)

อรรถกถาปฏิปทาสูตรที่ ๓
ตติยปฏิปทาสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภาเวถ โน แก้เป็น ภาเวถ นุ แปลว่า ท่านจงเจริญ
มรณัสสติสิหนอ. บทว่า สาสนํ ได้แก่ การพร่ำสอน. บทว่า
อาสวานํ ขยาย ได้แก่ เพื่อพระอรหัตผล.
จบ อรรถกถาตติยปฏิปทาสูตรที่ ๓

640
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 641 (เล่ม 37)

๔. จตุตถปฏิปทาสูตร
[๑๗๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่พัก
ก่อด้วยอิฐชื่อนาทิกะ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มรณสติอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มี
อานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็มรณสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร
จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันสิ้นไป กลางคืน
เวียนมาย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ
คือ งูพึงกัดเราก็ได้ แมลงป่องพึงต่อยเราก็ได้ ตะขาบพึงกัดเราก็ได้
เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา เราพึง
พลาดล้มลงก็ได้ อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้ ดีของเรา
พึงซ่านก็ได้ เสมหะของเราพึงกำเริบก็ได้ ลมมีพิษดังศาตราของเรา
พึงกำเริบก็ได้ มนุษย์ทั้งหลายพึงเบียดเบียนเราก็ได้ พวกอมนุษย์
พึงเบียดเบียนเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า ธรรมอัน
เป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำ
กาละในกลางคืน มีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นอกุศลอันเรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้
ทำกาละในกลางคืน มีอยู่ ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความ
พยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและ

641
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 642 (เล่ม 37)

สัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย
เปรียบเหมือนคนที่มีผ้าไฟไหม้ หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำ
ความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่
ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือศีรษะนั้น
ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแหละภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ ที่จะเป็นอันตรายแก่เรา
ผู้ทำกาละในกลางคืน ไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์
หมั่นศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวัน
สิ้นไป กลางวันเวียนมาถึง ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ปัจจัยแห่งความ
ตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเราก็ได้ แมลงป่องพึงต่อยเรา
ก็ได้ ตะขาบพึงกัดเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา
อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลงก็ได้ อาหารที่เราบริโภค
แล้วไม่ย่อยเสียก็ได้ ดีของเราพึงซ่านก็ได้ เสมหะของเราพึงกำเริบ
ก็ได้ ลมมีพิษดังศาตราของเราพึงกำเริบก็ได้ มนุษย์หลายพึง
เบียดเบียนเราก็ได้ พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้ เพราะเหตุนั้น
เราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละ
ไม่ได้ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่หรือ
หนอแล ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล
อันเรายังละไม่ได้ที่จะพึงทำอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน
มีอยู่ ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ

642
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 643 (เล่ม 37)

ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรม
อันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย เปรียบเหมือนบุคคลมีผ้าถูกไฟไหม้
หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความ
อุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้ยิ่ง
เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือศีรษะนั้น ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้า
แหละภิกษุพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรา
ยังละไม่ได้ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา ผู้ทำกาละในกลางวันไม่มี
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืน
ในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันภิกษุ
เจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์
มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด.
จบ ปฏิทาสูตรที่ ๔

643
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 644 (เล่ม 37)

๕. ปัญจมปฏิปทาสูตร
[๑๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการนี้ ๘
ประการเป็นไฉน คือ อุฏฐานสัมปทา ๑ อารักขสัมปทา ๑ กัลยาณ-
มิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑ สัทธาสัมปทา ๑ ศีลสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑
ปัญญาสัมปทา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการนี้แล.
คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัด
การงานเหมะสม เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์
ที่หามาได้ มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ
ปราศจากความตระหนี่ ชำระทางสัมปรายิกัตถ-
ประโยชน์เป็นนิตย์ ธรรม ๘ ประการดังกล่าวนี้
ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้า
ผู้มีพระนามอันแท้จริง ตรัสว่านำสุขมาให้ใน
โลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ในปัจจุบันนี้และความ
สุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้ ย่อมเจริญแก่
คฤหัสถ์ ด้วยประการฉะนี้.
จบ ปฏิปทาสูตรที่ ๕

644
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 645 (เล่ม 37)

๖. ฉัฏฐปฏิปทาสูตร
[๑๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการนี้ ๘
ประการเป็นไฉน คือ อุฏฐานสัปทา ๑ อารักขสัมปทา ๑ กัลยาณ-
มิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑
ปัญญาสัมปทา ๑.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลก
นี้ เลี้ยงชีพด้วยความหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรม พาณิชย-
กรรม โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร รับราชการฝ่ายพลเรือน
หรือศิลปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น
ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น
สามารถจัดทำได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลก
นี้ มีโภคะที่หามาได้ด้วยความเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน มี
เหงื่อไหลโทรมตัว ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เขารักษาคุ้มครอง
โภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ด้วยทำไว้ในใจว่า ไฉนหนอ
พระราชาไม่พึงริบโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา โจรไม่พึงลัก ไฟไม่
พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักไม่พึงลักไป ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรง
ตนเจรจาสั่งสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นคฤหบดี

645
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 646 (เล่ม 37)

หรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ ผู้มีสมาจารบริสุทธิ์
ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศึกษาสัทธาสัมปทา
ตามผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วย
ศีล ศึกษาจาคสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาปัญญาสัมปทา
ตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
กัลยาณมิตตตา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมชีวิตาเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญแห่งโภคะ และรู้ทางเสื่อมแห่งโภคะ
แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนักด้วยคิดว่า
รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้อง
ไม่เหนือรายได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่ง
หรือลูกมือชั่งตาชั่ง ยกตาชั่งขึ้นแล้วย่อมรู้ว่า ต้องลดออกเท่านี้
หรือต้องเพิ่มเข้าเท่านี้ ฉันใด กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญ
แห่งโภคะ และรู้ทางเสื่อมแห่งโภคะแล้ว เลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้
ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้อง
เหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากุลบุตรผู้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่โถง
จะมีผู้มีว่าเขาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ใช้โภคะเหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อ
ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ากุลบุตรผู้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพ
อย่างฝืดเคือง จะมีผู้ว่าเขาว่ากุลบุตรผู้นี้จักตายอย่างอนาถา แต่
เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญแห่งโภคะ และรู้ทางเสื่อมแห่งโภคะ
แล้ว เลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า

646
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ – หน้าที่ 647 (เล่ม 37)

รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้อง
ไม่เหนือรายได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสมชีวิตา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
มีศรัทธาคือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น
ผู้จำแนกธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ศีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาติ ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจาการดื่มนำเมา
คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่าศีลสัมปทา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
มีจิตปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน ฯลฯ ควรแก่
การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
จาคสัมปทา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
เป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๘ ประการ
นี้แล.
คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัด
การงานเหมาะสม เลี้ยงชีพพอเหมาะ ตามรักษา
ทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้
ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระทางสัม-

647