หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 644 (เล่ม 3)

สองบทว่า อฏฺฐปเทปิ กีฬนติ มีความว่า ย่อมเล่นหมากรุกบน
กระดานหมากรุกแถวละ ๘ ตา. ในกระดานหมากรุกแถวละ ๑๐ ตา ก็
เหมือนกัน.
บทว่า อากาเสปิ มีความว่า เล่นหมากเก็บในอากาศ เหมือน
เล่นหมากรุกแถวละ ๘ ตา และแถวละ ๑๐ ตาฉะนั้น.
บทว่า ปริหารปเถ มีความว่า ทำวงเวียนมีเส้นต่าง ๆ ลงบนพื้น
ดินแล้ว เล่นวกวนไปตามเส้นวกวนในวงเวียนนั้น (เล่นชิงนาง).
สองบทว่า สนฺติกายปิ กีฬนิติ ได้แก่ เล่นกีฬาหมากไหวบ้าง.
อธิบายว่า ตัวหมากรุกและหินกรวดเป็นต้นที่ทอดไว้รวมกัน เอาเล็บ
เท่านั้นเขี่ยออก และเขี่ยเข้าไม่ให้ไหว. ถ้าว่า ในลูกสกาตัวหมากรุก
หรือหินกรวดเหล่านั้นบางอย่างไหว เป็นแพ้.
บทว่า ขลิกาย ได้แก่ เล่นโยนห่วงบนกระดานสกา.
บทว่า ฆฏิกาย มีความว่า การเล่นกีฬาไม้หึ่ง ท่านเรียกว่า ฆฏิถา
เล่นด้วยกีฬาไม้หึ่งนั้น. ความว่า เที่ยวเอาไม้ยาวตีไม้สั้นเล่น.
บทว่า สลากหตฺเถน มีความว่า เล่นเอาพู่กันจุ่มด้วยน้ำครั่ง น้ำ
ฝาง หรือน้ำผสมแป้งแล้วถามว่า จะเป็นรูปอะไร ? จึงแต้มพู่กันนั้นลง
ที่พื้น หรือที่ฝาผนังแสดงรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น.
บทว่า อกฺเขน แปลว่า ลูกสกา.
บทว่า ปงฺกจิเรน มีความว่า หลอดใบไม้ ท่านเรียกว่า ปังกจิระ,
เล่นเป่าหลอดใบไม้นั้น.
บทว่า วงฺกเกน ได้แก่ ไถเล็ก ๆ เป็นเครื่องเล่นของพวกเด็กชาว
บ้าน.

644
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 645 (เล่ม 3)

บทว่า โมกฺขจิกาย มีความว่า การเล่นหกคะเมน ตีลังกา ท่าน
เรียกว่า โมกขจิกา. อธิบายว่า เล่นค้ำยันไม้บนอากาศ หรือปักศรีษะ
ลงที่พื้นแล้วหมุนไปรอบ ๆ ทั้งข้างล่างและข้างบน (เล่นจับบาร์หรือปัก
ศีรษะลงจดฟื้นแล้วหกคะเมนตีลังกา).
บทว่า จิงฺคุเลน มีความว่า กังหันที่หมุนไปโดยถูกลมพัด ซึ่ง
กระทำด้วยใบตาลเป็นต้น เรียกว่า จิงคุลกะ, เล่นด้วยกังหันนั้น.
บทว่า ปตฺตาฬหเกน มีความว่า กรวยใบไม้ เรียกว่า ปัตตาฬหกะ,
เล่นตวงทรายเป็นต้น ด้วยกรวยใบไม้นั้น.
บทว่า รถเกน ได้แก่ รถน้อย ๆ.
บทว่า ธนุเกน ได้แก่ ธนูน้อย ๆ.
บทว่า อกฺขริกาย มีความว่า การเล่นทายอักษรที่อากาศ หรือ
ที่หลัง เรียกว่า อักขริกา, เล่นด้วยกีฬาทายอักษรนั้น.
บทว่า มเนสิกาย มีความว่า เล่นด้วยกีฬาทายความคิดทางใจ
ที่ท่านเรียกว่า มเนสิกา.
บทว่า ยถาวชฺเชน มีความว่า การเล่นแสดงประกอบท่าทางของ
คนพิการ มีคนตาบอด คนกระจอก และคนค่อมเป็นต้น ที่ท่านเรียกว่า
เล่นเลียนคนพิการ. ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะเล่นด้วยกายเล่นเลียนคน
พิการ เหมือนพวกชนชาวเวลัมพกเล่น (ชนพวกเล่นกายกรรม) ฉะนั้น.
สองบทว่า หตฺถิสฺมิมฺปิ สิกฺขนฺติ มีความว่า ย่อมศึกษาศิลปะที่
ควรศึกษา มีช้างเป็นนิมิต. แม้ในศิลปะมีมาเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้
บทว่า ธาวนฺติปิ ได้แก่ วิ่งขับไปตามหลัง.

645
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 646 (เล่ม 3)

บทว่า อาธาวนฺติปิ มีความว่า วิ่งหันหน้าวกกลับมาตลอดระยะ
ทางที่ตนวิ่งไป (วิ่งเปี้ยวกัน).
บทว่า นพฺพชฺณนฺติ ได้แก่ ย่อมทำการปล้ำกัน.
สองบทว่า นลาฏิกมฺปิ เทนฺติ มีความว่า ย่อมแตะนิ้วที่หน้าผาก
ตนแล้ว แตะที่หน้าผากของหญิงฟ้อนนั้น พร้อมกับพูดว่า ดีละ ดีแล้ว
น้องหญิง !
สองบทว่า วิวิธมฺปิ อนาจารํ มีความว่า ประพฤติอนาจารต่าง ๆ
มีกลองปากเป็นต้น (ปี่พาทย์ปาก, ผิวปากเป็นต้น ) แม้อื่น ๆ ซึ่งไม่ได้
มาในพระบาลี.
[แก้อรรถตอนชาวกิฏาคีรีพบภิกษุอาคันตุกะ]
บทว่า ปาสาทิเกน ได้แก่ อันนำมาซึ่งความเลื่อมใส คือสมควร
เหมาะสมแก่สมณะ.
บทว่า อภิกฺกนฺเตน คือ มีการเดิน.
บทว่า ปฏิกฺกนฺเตน คือ มีการถอยกลับ.
บทว่า อวโลกิเตน คือ การมองดูไปข้างหน้า.
บทว่า วิโลกิเตน คือ ดูข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง.
บทว่า สมฺมิญฺชิเตน คือ การคู้ข้ออวัยวะเข้า.
บทว่า ปสาริเตน คือ การเหยียดข้อเหล่านั้นนั่นแหละออก. ใน
บททั้งปวงเป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถบอกอิตถัมภูต. มีคำอธิบายว่า เป็นผู้
มีการเดินไปข้างหน้า ถอยกลับ เหลียวซ้าย แลขวา คู้เข้า เหยียดออก
อันน่าเลื่อมใส เพราะถูกควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ.

646
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 647 (เล่ม 3)

บทว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ คือ มีจักษุทอดลงเบื้องต่ำ.
บทว่า อิริยาปถสมฺปนฺโน มีความว่า มีอิริยาบถเรียบร้อย เพราะ
มีกิริยาก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น อันน่าเลื่อมใสนั้น.
บทว่า กฺวายํ ตัดบทเป็น โก อยํ แปลว่า ภิกษุนี้เป็นใคร่ ?
บทว่า อพฬพโฬ วิย มีความว่า ได้ยินว่า ชนทั้งหลายเรียกคน
อ่อนแอว่า อพฬ. ก็คำกล่าวย้ำนี้ เป็นไปในอรรถว่า อย่างยิ่ง, เพราะ-
ฉะนั้น จึงมีคำอธิบายว่า เหมือนคนอ่อนแอเหลือเกิน.
ด้วยบทว่า มนฺทมนฺโท ชาวบ้านย่อมแสดงคุณแท้ๆ โดยเป็นโทษ
อย่างนี้ว่า เป็นผู้อ่อนแอนัก คืออ่อนเปียกนัก เพราะเป็นผู้มีอิริยาบถ
มีการก้าวเดินเป็นต้นไม่ปราดเปรียว.
บทว่า ภากุฏิกภากุฏิโก วิย มีความว่า เพราะท่านเป็นผู้มีจักษุ
ทอดลง ชาวบ้านจึงสำคัญพูดกันว่า ภิกษุนี้ทำหน้าสยิ้ว มีหน้านิ่วคิ้วขมวด
เที่ยวไปเหมือนคนโกรธ.
บทว่า สณฺหา คือ เป็นผู้ละเอียด. อธิบายว่า เป็นผู้ฉลาดชักนำ
อุบายสกชนไปในฐานะอันควรอย่างนี้ว่า แน่ะโยมหญิง โยมชาย พี่สาว
น้องสาว ! ท่านหาเป็นคนไม่มีพละกำลังเหมือนภิกษุรูปนี้ไม่.
บทว่า สขิลา ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้มีวาจานุ่มนวล.
บทว่า สุขสํภาสา นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งคำก่อน. จริงอยู่ ชน
ผู้มีการพูดจาอ่อนหวาน เป็นสัมโมทนียกถา ไม่หยาบคาย เสนาะหู
ท่านเรียกว่า ผู้มีวาจาไพเราะ ด้วยเหตุนั้น ชาวบ้านจึงกล่าวว่า (พระ-
ผู้เป็นเจ้าของพวกเรา) เป็นผู้พูดไพเราะ พูดอ่อนหวาน. ก็ในคำนี้มี
อธิบายดังนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เห็นพวกอุบาสกอุบาสิกาแล้ว

647
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 648 (เล่ม 3)

กล่าวสัมโมทนียกถาไพเราะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็นผู้พูดไพเราะ อ่อน
หวาน ไม่เป็นคนอ่อนแอและอ่อนเปียกเหมือนภิกษุนี้เลย.
บทว่า มิหิตปุพฺพงฺคมา มีวิเคราะห์ว่า ภิกษุเหล่านี้ มีการยิ้มแย้ม
เป็นไปก่อนพูด; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีการยิ้มแย้มเป็นเบื้องหน้า
ความว่า ภิกษุเหล่านั้นยิ้มแย้มก่อนจึงพูดภายหลัง.
บทว่า เอหิสฺวาคตวาทิโน มีความว่า เห็นอุบาสกแล้วมักพูด
อย่างนั้นว่า มาเถิด ท่านมาดีแล้ว หาเป็นคนมีหน้าสยิ้ว เพราะเป็นคนมี
หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนภิกษุนี้ไม่. พวกชาวกิฏาคีรีชนบท ครั้นแสดง
ความเป็นผู้มีหน้าไม่สยิ้ว เพราะเป็นผู้มีปกติยิ้มแย้มก่อนเป็นต้น โดย
อรรถอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงแม้โดยสรุปอีก จึงได้กล่าวว่า มีหน้าไม่
สยิ้ว มีหน้าชื่นบาน มักพูดก่อน.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ทั้ง ๓ บท มีบทว่า อภากุฏิกา
เป็นต้นนี้ แสดงความไม่มีแห่งอาการแม้ทั้ง ๓ โดยมาสับลำดับกัน
คือ อย่างไร ? คือ บรรดาบททั้ง ๓ มีบทว่า อภากุฏิกา เป็นต้น
นั่น ด้วยบทว่า อภากุฏิกา นี้ ท่านแสดงความไม่มีอาการสยิ้วหน้าสยิ้วตา
ด้วยบทว่า อุตฺตานมุขา นี้ ท่านแสดงความไม่มีแห่งอาการอ่อนแอ
และอ่อนเปียก. ก็ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้หน้าเบิกบานด้วยการลืมตาทั้งสอง
มองดู. ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าไม่เป็นคนอ่อนแอและอ่อนเปียก.
ด้วยบทว่า ปุพฺพภาสิโน นี้ ท่านแสดงความไม่มีแห่งอาการอ่อน
แอและอ่อนเปียก. ก็ภิกษุเหล่าใด ย่อมทักทายก่อนว่า แน่ะโยมหญิง !
โยมชาย ! ดังนี้ เพราะเป็นผู้ฉลาดในการโอภาปราศรัย, ภิกษุเหล่านั้น
หาเป็นผู้ไม่มีพละกำลังไม่ ฉะนี้แล.

648
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 649 (เล่ม 3)

[อุบาสกนิมนต์ภิกษุอาคันตุกะไปยังเรือน]
บทว่า เอหิ ภนฺเต ฆรํ คมิสฺสาม มีความว่า ได้ยินว่า อุบาสก
นั้น เมื่อภิกษุกล่าวตอบว่า ท่านผู้มีอายุ ! อาตมายังไม่ได้บิณฑบาตเลย
ดังนี้ จึงกล่าวว่า พวกภิกษุนั่นแหละ ทำให้ท่านไม่ได้บิณฑบาตนั่น ถึง
แม้ท่านจะเที่ยวไปจนทั่วหมู่บ้าน ก็จักไม่ได้เลย ประสงค์จะถวายบิณฑ-
บาต จึงกล่าวว่า มาเถิด ขอรับ ! พวกเราจักไปเรือนด้วยกัน.
ถามว่า ก็วาจานี้ เป็นวิญญัตติวาจา หรือไม่เป็น ?
ตอบว่า ไม่เป็น. ธรรมดาปัญหาที่เขาถามแล้วนี้ ควรจะตอบ.
เพราะฉะนั้น ถ้าแม้นว่าในทุกวันนี้ ใคร ๆ ถามภิกษุผู้เข้าไปสู่ละแวก
บ้านในเวลาเช้าก็ดี ในเวลาเย็นก็ดี ว่า ท่านเที่ยวไปทำไม ขอรับ !
การที่ภิกษุบอกความประสงค์ที่ตนเที่ยวไปแล้ว เมื่อเขาถามว่า ได้แล้ว
หรือยังไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ก็บอกว่า ยังไม่ได้ แล้วรับเอาสิ่งของที่เขาถวาย
ควรอยู่.
บทว่า หุฏฺโฐ มีความว่า ไม่ได้ทรุดโทรมลง ด้วยการยังความ
เลื่อมใสเป็นต้นให้พินาศไป, แต่ทรุดโทรมลง ด้วยอำนาจแห่งบุคคล
ผู้โทรม.
ทานทั้งหลายนั่นแล ท่านเรียกว่า ทานบถ. อีกอย่างหนึ่ง ทาน
ประจำ ท่านเรียกว่า ทานบถ มีคำอธิบายว่า ทานวัตร.
บทว่า อุปจฺฉินฺนานิ ได้แก่ ถูกพวกทายกตัดขาดแล้ว. อธิบายว่า
บัดนี้พวกทายกเหล่านั้น ไม่ถวายทานนั้น.
บทว่า ริญฺจนฺติ มีความว่า พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก เป็นผู้แยก
กันอยู่ คือกระจายกันอยู่ , มีคำอธิบายว่า ย่อมพากันหลีกหนีไป.

649
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 650 (เล่ม 3)

บทว่า สณฺฐเหยฺย มีความว่า พึงดำรงอยู่โดยชอบ คือพึงเป็นที่
พำนักของเหล่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก.
ภิกษุนั้นรับสาสน์ของอุบาสกผู้มีศรัทธามีความเลื่อมใส ด้วยคำว่า
เอวมาวุโส ดังนี้แล. ได้ยินว่า การนำข่าวสาสน์ที่เป็นกัปปิยะเห็นปานนี้
ไป ย่อมควร. เพราะฉะนั้น ภิกษุไม่พึงทำความรังเกียจในข่าวสาสน์
ทั้งหลายเช่นนี้ว่า ขอท่านจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาค-
เจ้าตามคำของเรา ดังนี้ ก็ดี ว่า ขอท่านจงไหว้พระเจดีย์ พระปฏิมา
ต้นโพธิ์ พระสังฆเถระ ดังนี้ ก็ดี ว่า ท่านจงทำการบูชาด้วยของหอม
การบูชาด้วยดอกไม้ที่พระเจดีย์ ดังนี้ ก็ดี ว่า ขอท่านจงนิมนต์ให้ภิกษุ
ทั้งหลายประชุมกัน, พวกเราจักถวายทาน จักฟังธรรม ดังนี้ ก็ดี ข่าว
สาสน์เหล่านี้ เป็นกัปปิยสาสน์ ไม่เกี่ยวด้วยคิหิกรรมของพวกคฤหัสถ์ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
คำว่า กุโต จ ตฺวํ ภกฺขุ อาคจนฺฉติ มีความว่า ภิกษุนั้นนั่งอยู่แล้ว
ไม่ใช่กำลังมา. แต่โดยอรรถภิกษุนั้นเป็นผู้มาแล้ว. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้
คำปัจจุบันกาลในอรรถอดีตที่ใกล้ต่อปัจจุบันกาล ย่อมมีได้ ; เพราะฉะนั้น
จึงไม่มีความผิด. แม้ในคำว่า ตโต อหํ ภควา อาคจฺฉามิ นี้ ในสุดท้าย
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
[ทรงรับสั่งให้ลงปัพพาชนียกรรมพวกภิกษุฉัพพัคคีย์]
ในคำว่า ปฐมํ อสฺสชิปุนพฺพสุกา ภิกฺขู โจเทตพฺพา นี้ มีวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้ว่า พระอัสสชิและปุนัพพสุกะ อันสงฆ์พึงให้ทำโอกาสว่า
พวกผมต้องการจะพูดกะพวกท่าน แล้วพึงโจทด้วยวัตถุและอาบัติ, ครั้น

650
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 651 (เล่ม 3)

โจทแล้วพึงให้ระลึกถึงอาบัติที่พวกเธอยังระลึกไม่ได้. ถ้าพวกเธอปฏิญญา
วัตถุและอาบัติ หรือปฏิญญาเฉพาะอาบัติ ไม่ปฏิญญาวัตถุ พึงยกอาบัติ
ขึ้นปรับ. ถ้าปฏิญญาเฉพาะวัตถุ ไม่ปฏิญญาอาบัติ แม้ในการปฏิญญา
อย่างนั้น ก็พึงยกอาบัติขึ้นทีเดียวว่า เป็นอาบัติชื่อนี้ ในเพราะวัตถุนี้.
ถ้าพวกเธอไม่ปฏิญญาทั้งวัตถุ ไม่ปฏิญญาทั้งอาบัติ ไม่พึงยกอาบัติขึ้น
ปรับ.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรับอาบัติตามปฏิญญาแล้ว เมื่อจะทรง
แสดงว่า สงฆ์พึงลงปัพพาชนียกรรมอย่างนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า พฺยตฺเตน
ภิกฺขุนา ดังนี้. คำนั้น ตื้นทั้งนั้น. ก็ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม
อย่างนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ในวัดที่ตนเคยอยู่ หรือในบ้านที่ตนทำกุลทูสก-
กรรม. เมื่อจะอยู่ในวัดนั้น ไม่พึงเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านใกล้เคียง.
แม้จะอยู่ในวัดใกล้เคียง ก็ไม่ควรเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้น. แต่
พระอุปติสสเถระ ถูกพวกอันเตวาสิกค้านว่า ท่านขอรับ ! ธรรมดาว่า
นครใหญ่มีประมาณถึง ๑๒ โยชน์ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ภิกษุทำกุล-
ทูสกกรรมในถนนใด, ท่านห้ามแต่ถนนนั้น. ลำดับนั้น ท่านถูกพวก
อันเตวาสิกค้านเอาว่า แม้ถนนก็ใหญ่ มีประมาณเท่านครเที่ยว แล้ว
จึงกล่าวว่า ภิกษุกระทำกุลทูสกกรรมในลำดับเรือนแถวใด ท่านห้าม
ลำดับ เรือนแถวนั้น ดังนี้. ท่านถูกพวกอันเตวาสิกค้านอีกว่า แม้ลำดับ
เรือน ก็มีขนาดเท่าถนนทีเดียว จึงกล่าวว่า ท่านห้าม ๗ หลังคาเรือน
ข้างโน้นและข้างนี้. ก็คำทั้งหมดนั้น เป็นเพียงมโนรถของพระเถระ
เท่านั้น. ถ้าแม้นวัดใหญ่มีขนาด ๓ โยชน์เป็นอย่างสูง และนครโตขนาด

651
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 652 (เล่ม 3)

๑๒ โยชน์เป็นอย่างยิ่ง ภิกษุผู้ทำกุลทูสกกรรม จะอยู่ในวัดจะเที่ยวไป
ในนคร (นั้น ) ไม่ได้เลย ฉะนั้นแล.
ข้อว่า เต สงฺเฆน ปพฺพาชนียกมฺมกตา มีความว่า ถามว่า สงฆ์
ได้กระทำกรรมแก่พวกภิกษุอัสสชิและปุนพัพสุกะนั้น อย่างไร ?
ตอบว่า สงฆ์ไม่ได้ไปข่มขี่กระทำกรรมเลย, โดยที่แท้ เมื่อพวก
ตระกูลอาราธนา นิมนต์มาแล้ว กระทำภัตเพื่อสงฆ์ พระเถระทั้งหลาย
ในที่นั้น ๆ แสดงข้อปฏิบัติของสมณะ ให้พวกมนุษย์เข้าใจว่า นี้เป็น
สมณะ นี้ไม่ใช่สมณะ แล้วให้ภิกษุ ๑ รูป ๒ รูป เข้าสู่สีมาแล้ว ได้
กระทำปัพพาชนียกรรมแมแก่พวกภิกษุทั้งหมด โดยอุบายนี้นั่นแล.
ก็เมื่อภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมอย่างนี้แล้ว บำเพ็ญวัตร ๑๘
ประการให้บริบูรณ์ขออยู่ กรรมอันสงฆ์พึงระงับ. และแม้ภิกษุผู้มีกรรม
ระงับแล้วนั่น ตนทำกุลทูสกกรรมไว้ในตระกูลเหล่าใดในครั้งก่อน ไม่
ควรรับปัจจัยจากตระกูลเหล่านั้น. แม้บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะแล้วก็
ไม่ควรรับ, ปัจจัยเหล่านั้น จัดเป็นของไม่สมควรแท้.
เมื่อภิกษุถูกทายกถามว่า ทำไม ท่านจึงไม่รับ ? ตอบว่า เพราะ
ได้กระทำไว้อย่างนี้เมื่อก่อน ดังนี้, ถ้าพวกชาวบ้านกล่าวว่า พวกกระผม
ไม่ถวายด้วยเหตุอย่างนั้น, ถวายเพราะท่านมีศีลในบัดนี้ (ต่างหาก) ดังนี้
ควรรับได้. กุลทูสกกรรม เป็นกรรมอันภิกษุผู้กระทำเฉพาะในสถานที่
ให้ทานตามปกติ, จะรับทานตามปกติจากสถานที่นั้นนั่นแล ควรอยู่.
ทานที่ทายกถวายเพิ่มเติม ไม่ควรรับ.
บทว่า น สมฺมา วตฺตนฺติ มีความว่า ก็พวกภิกษุอัสสชิปุนัพพสุกะ
เหล่านั้นย่อมไม่ประพฤติโดยชอบ ในวัตร ๑๘ ประการ.

652
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 653 (เล่ม 3)

ข้อว่า น โลมํ ปาเตนฺติ มีความว่า ชื่อว่า เป็นผู้ไม่หายเย่อหยิ่ง
เพราะไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติอันสมควร.
ข้อว่า น เนตฺถารํ วตฺตนฺติ มีความว่า ย่อมไม่ปฏิบัติตามทางเป็น
เครื่องช่วยถอนตนเอง.
ข้อว่า ภิกขู น ขมาเปนฺติ มีความว่า ย่อมไม่กระทำให้ภิกษุ
ทั้งหลายอดโทษอย่างนี้ว่า พวกกระผมกระทำผิด ขอรับ ! แต่พวกกระผม
จะไม่กระทำเช่นนี้อีก, ขอท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่พวกกระทำเถิด.
บทว่า อกฺโกสนฺติ คือ ย่อมด่าการกสงฆ์ ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐.
บทว่า ปริภาสนฺติ คือ ย่อมแสดงภัยแก่ภิกษุเหล่านั้น.
ข้อว่า ฉนฺทคามิตา ฯ เป ฯ ภยคามิตา ปาเปนฺติ มีความว่า ย่อม
ให้ถึง คือ ประกอบด้วย ความลำเอียงเพราะรักใคร่กันบ้าง ฯลฯ ด้วย
ความลำเอียงเพราะกลัวบ้าง อย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นผู้มีความลำเอียง
เพราะรัก ฯ ล ฯ และมีความลำเอียงเพราะกลัว.
บทว่า ปกฺกมนฺติ มีความว่า บรรดาสมณะ ๕๐๐ ซึ่งเป็นบริวาร
ของพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะนั้น บางพวกก็หลีกไปสู่ทิศ.
บทว่า วิพฺภมนฺติ คือ บางพวกก็สึกเป็นคฤหัสถ์.
ในคำว่า กถํ หิ นาม อสฺสสชิปุนพฺพสุกา นี้ ท่านเรียกภิกษุแม้
ทั้งหมดว่า อสัสชิปุนัพพสุกะ ด้วยอำนาจแห่งภิกษุทั้งสองรูปผู้เป็น
หัวหน้า.
[อรรถาธิบายกุลทูสกรรมมีการให้ดอกไม้เป็นต้น]
ในคำว่า คามํ นี้ แม้นครท่านยึดเอาด้วยคามศัพท์เหมือนกัน.
ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บ้านก็ดี นิคม

653