หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 634 (เล่ม 3)

ที่ชื่อว่า ปริยาย ได้แก่ คำมีอาทิว่า บัณฑิตควรให้ปลูกต้นไม้
ทั้งหลาย มีต้นไม้ดอกเป็นต้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อกาลไม่นานนัก.
ที่ชื่อว่า โอภาส ได้แก่ การยืนถือจอบและเสียมเป็นต้น และ
กอไม้ดอกทั้งหลายอยู่. จริงอยู่ พวกสามเณรเป็นต้น เห็นพระเถระยืนอยู่
อย่างนั้น รู้ว่า พระเถระประสงค์จะใช้ให้ทำ แล้วจะมาทำให้.
ที่ชื่อว่า นิมิตกรรม ได้แก่ การนำจอบ เสียม มีด ขวาน
และภาชนะน้ำมาวางไว้ในที่ไกล้ ๆ.
ลักษณะทั้ง ๕ ประการนี้ ย่อมไม่ควรในการปลุก เพื่อประโยชน์
แก่การสงเคราะห์ตระกูล. เพื่อประโยชน์แก่การบริโภคผล กิจ ๒ อย่าง คือ
อกัปปิยโวหารและกัปปิยโวหาร เท่านั้น ไม่ควร. กิจ ๓ อย่างนอกนี้
ควรอยู่. แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวว่า แม้กัปปิยโวหาร ก็ควร. และการ
ปลูกใด ย่อมควรเพื่อประโยชน์แก่การบริโภคของตน, การปลูกนั้น
ก็ควรเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น แก่สงฆ์ หรือแก่เจดีย์ด้วย. แต่การใช้
ให้ปลูก เพื่อต้องการอาราม เพื่อต้องการป่า และเพื่อต้องการร่มเงา
เพียงเป็นอกัปปิยโวหารอย่างเดียว ไม่สมควร. ที่เหลือ ควรอยู่. และ
มิใช่จะควรแต่กิจที่เหลืออย่างเดียว ก็หามิได้, แม้การทำเหมืองให้ตรงก็ดี
การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะก็ดี การทำห้องอาบน้ำแล้วอาบเองก็ดี และการ
เทน้ำล้างมือ ล้างเท้าและล้างหน้าลงในที่ปลูกต้นไม้นั้นก็ดี อย่างใด
อย่างหนึ่ง สมควรอยู่. แต่ในมหาปัจจรี และในกุรุนที ท่านกล่าวว่า
แม้จะปลูกเอง ในกัปปิยปฐพี ก็ควร. ถึงแม้จะบริโภคผลไม้ที่ปลูกเอง
หรือใช้ปลูกเพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้น ก็ควร. ในการเก็บเอง และ
ในเพราะการใช้ให้เก็บผลไม้ แม้ตามปกติก็เป็นปาจิตตีย์. แต่ (ในการเก็บ

634
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 635 (เล่ม 3)

และในการใช้ให้เก็บ) เพื่อต้องการประทุษร้ายตระกูล เป็นปาจิตตีย์ด้วย
เป็นทุกกฏด้วย. ในเพราะการร้อยดอกไม้ มีการร้อยตรึงเป็นต้น มี
พวงดอกไม้สำหรับประดับอกเป็นที่สุด เป็นทุกกฏอย่างเดียว แก่ภิกษุ
ผู้ทำเพื่อต้องการประทุษร้ายตระกูล หรือเพื่อประการอื่น.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะเป็นอนาจาร และเพราะเป็นปาปสมาจารดังตรัสไว้
ในคำว่า ปาปสมาจาโร นี้.
หากโจทก์ท้วงว่า เหตุไร ในการปลูกต้นไม้เพื่อประโยชน์แก่การ
บูชาพระรัตนตรัย จึงไม่เป็นอนาบัติ เหมือนในการปลูกต้นไม้เพื่อ
ประโยชน์แก่อารามเป็นต้นเล่า ?
เฉลย เป็นอนาบัติเหมือนกัน. เหมือนอย่างว่า ในการปลูกต้นไม้
เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นนั้น เป็นอนาบัติ เพราะกัปปิยโวหาร และ
อาการมีปริยายเป็นต้น ฉันใด, แม้ในการปลูกต้นไม้เพื่อประโยชน์แก่
การบูชาพระรัตนตรัย ก็คงเป็นอนาบัติ ฉันนั้น.
โจทก์ท้วงว่า ก็ในการปลูกต้นไม้นั้น แม้ปลูกเองในกัปปิยปฐพี
ย่อมควรมิใช่หรือ ?
เฉลยว่า คำนั้นท่านกล่าวแล้วในมหาปัจจรีและกุรุนที, แต่ในมหา
อรรถกถามิได้กล่าวไว้. ถ้าแม้นท่านจะพึงฉงนไปว่า ถึงคำที่กล่าวแล้ว
ในอรรถกถานอกนี้จะเป็นประมาณได้ก็จริง, แต่การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะ
ท่านได้กล่าวไว้ในมหาอรรถกถา, การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะนั้นเป็นอย่างไร ?
แม้การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะนั้น ก็ไม่ผิด.

635
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 636 (เล่ม 3)

อันที่จริงในการปลูกและการรดนั้น เมื่อท่านกล่าวอยู่ว่า ซึ่ง
ดอกไม้ดอก ดังนี้ ในเมื่อท่านควรจะกล่าวโดยไม่แปลกกันว่า ปลูก
เองบ้าง ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดเองบ้าง ให้ผู้อื่นรดบ้าง ซึ่งต้นไม้ ดังนี้
ชื่อว่า ย่อมให้ทราบ อธิบายว่า คำว่า กอไม้ดอก นี้กล่าวหมายเอาต้นไม้
ที่มีดอกและผล เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูลเท่านั้น, แต่ยังมี
ปริยายในการปลูก เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นอย่างอื่น; เพราะ-
เหตุนั้น คำใดที่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายทราบความมีปริยายในการ
ปลูกเพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นนั้น และความไม่มีปริยายในการปลูก
เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูลนี้แล้ว กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้ง-
หลาย, คำนั้นเป็นอันท่านกล่าวชอบแท้. จริงอยู่ คำนี้ข้าพเจ้าก็ได้กล่าว
แล้วว่า
พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายในปางก่อนได้รจนาอรรถกถา
ทั้งหลาย ไม่ได้ละมติของพระสาวกทั้งหลายผู้รู้ธรรมและวินัย
เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วทีเดียว เพราะเหตุนั้นแล
คำใดที่กล่าวแล้วในอรรถกถาทั้งหลาย, คำนั้นทั้งหมด เว้น
คำที่เขียนด้วยคำพลั้งเผลอเสียแล้ว ย่อมเป็นประมาณของ
บัณฑิตทั้งหลายผู้มีความเคารพในสิกขาในพระศาสนา เพราะ
เหตุใด.
การปลูกเป็นต้นและการร้อยเป็นต้นทุก ๆ อย่าง พึงทราบตามนัย
ที่กล่าวแล้ว. ในวิสัยมีการร้อยเป็นต้นนั้น พึงมีคำถามว่า ถ้าเป็นอาบัติ
ในเพราะการร้อยเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระรัตนตรัยแล้ว
เหตุไร ในเพราะการนำไปเป็นต้น จึงเป็นอนาบัติเล่า ?

636
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 637 (เล่ม 3)

มีคำแก้ว่า เพราะนำไปเพื่อประโยชน์แก่กุลสตรีเป็นต้น จึงเป็น
อาบัติ. จริงอยู่ ในหรณาธิการ พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายได้
กล่าวไว้ให้พิเศษแล้วว่า เต กุลิตฺถีนํ เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็น
อาบัติแก่ภิกษุผู้นำไปเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธเจ้าเป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกโต วณฺฏิกํ ได้แก่ ระเบียบดอกไม้
ที่จัดทำร่วมขั้วดอกไม้เข้าด้วยกัน (มาลัยต่อก้าน).
บทว่า อุภโต วณฺฏิกํ ได้แก่ ระเบียบดอกไม้ที่ทำแยกขั้วดอกไม้ไว้
สองข้าง (มาลัยเรียงก้าน).
ส่วนในบทว่า มญฺชริกํ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า บุปผวิกัติที่ทำคล้าย
กำไล เรียกว่า มัญชริกา (ดอกไม้ช่อ).
ระเบียบดอกไม้ที่ใช้เข็ม หรือซี่ไม้เสียบดอกย่างทรายเป็นต้นทำ
ชื่อว่า วิธูติกา (ดอกไม้พุ่ม).
บทว่า วฏํสโก ได้แก่ เทริด (ดอกไม้กรองบนศีรษะ). ระเบียบ
ดอกไม้สำหรับประดับหู ชื่อ อาเวฬา (ดอกไม้พวง).
พวงดอกไม้ที่ตั้งอยู่ตรงอก คล้ายแก้วมุกดาหาร ชื่อ ทับทรวง
(ดอกไม้แผงสำหรับประดับ). พรรณนาเฉพาะบทในพระบาลีนี้เท่านี้ก่อน.
[ว่าด้วยการวินิจฉัยอาบัติในการปลูกเองเป็นต้น]
ก็แล พึงทราบวินิจฉัยอาบัติโดยพิสดารตั้งแต่ต้น ดังต่อไปนี้:-
เป็นอาบัติปาจิตตีย์ กับทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ปลูกกอไม้ดอกเอง ในอกัปปิย-
ปฐพี เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายสกุล ภิกษุใช้ให้ปลูกด้วยอกัปปิย-
โวหารก็เหมือนกัน, ในการปลูกเองก็ดี ใช้ให้ปลูกก็ดี ในกัปปิยปฐพี

637
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 638 (เล่ม 3)

เป็นทุกกฏอย่างเดียว. ในปฐพีแม้ทั้งสอง ในเพราะใช้ให้ปลูกกอไม้ดอก
แม้มาก ด้วยการสั่งครั้งเดียว เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ หรือเป็นทุกกฏล้วน
แก่ภิกษุนั้น ครั้งเดียวเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติในเพราะใช้ให้ปลูกด้วย
กัปปิยโวหาร ในฟื้นที่ที่เป็นกัปปิยะ หรือฟื้นที่ที่เป็นอกัปปิยะ เพื่อ
ประโยชน์แก่การบริโภค. แม้เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้น ในอกัป-
ปิยปฐพี ก็คงเป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ปลูกเอง หรือใช้ให้ปลูกด้วยถ้อยคำ-
ที่เป็นอกัปปิยะ. แต่นัยนี้ ท่านมิได้จำแนกไว้ให้ละเอียดในมหาอรรถกถา,
จำแนกไว้เเต่ในมหาปัจจรี ฉะนี้แล.
ก็ในการรดเอง และการใช้ให้รด มีวินิจฉัยอาบัติดังนี้:- เป็น
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ แห่ง ด้วยน้ำที่เป็นอกัปปิยะ เพื่อประโยชน์แก่การ
ประทุษร้ายตระกูลและบริโภค เป็นทุกกฏก็มี. แต่เพื่อประโยชน์แก่การ
ทั้งสองนั้นเท่านั้น เป็นทุกกฏ ด้วยน้ำที่เป็นกัปปิยะ, ก็ในการประทุษ-
รายตระกูลและการบริโภคนี้ เพื่อต้องการบริโภคไม่เป็นอาบัติในการใช้--
ให้รดน้ำด้วยกัปปิยโวหาร แต่ในฐานะแห่งอาบัติ ผู้ศึกษาพึงทราบความ
เป็นอาบัติมาก เพราะมีประโยคมาก ด้วยอำนาจสายน้ำขาด. ในการเก็บ
เอง เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล เป็นทุกกฏกับปาจิตตีย์ตาม
จำนวนดอกไม้. ในการบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้นอย่างอื่น เป็นปาจิตตีย์
อย่างเดียว. แต่ภิกษุผู้เก็บดอกไม้เป็นจำนวนมากด้วยประโยคอันเดียว
พระวินัยธรพึงปรับด้วยอำนาจแห่งประโยค. ในการใช้ให้เก็บ เพื่อ
ประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล คนที่ภิกษุใช้ครั้งเดียว เก็บแม้มาก
ครั้ง ก็เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏแก่ภิกษุนั้นครั้งเดียวเท่านั้น ในการเก็บ
เพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้น อย่างอื่นเป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว.

638
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 639 (เล่ม 3)

[อรรถาธิบายบุปผวิกัติ ๖ ชนิด]
ในการร้อยดอกไม้ทั้งหลายมีการร้อยตรึงเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบ
บุปผวิกัติทั้งหมด ๖ ชนิด คือ คณฺฐิมํ ร้อยตรึง ๑ โคปฺปิมํ ร้อยควบ
หรือร้อยคุม ๑ เวธิมํ ร้อยแทงหรือร้อยเสียบ ๑ เวฐิมํ ร้อยพันหรือ
ร้อยผูก ๑ ปูริมํ ร้อยวง ๑ วายิมํ ร้อยกรอง ๑. บรรดาบุปผวิกิติ ๖
ชนิดนั้น ที่ชื่อว่า คัณฐิมะ พึงเห็นในดอกอุบลและดอกปทุมเป็นต้นที่มี
ก้าน หรือในดอกไม้ทั้งหลายอื่นที่มีขั้วยาว. จริงอยู่ ดอกไม้ที่ร้อยตรึง
ก้านกับก้าน หรือขั้วกับขั้วนั่นเอง ชื่อ คัณฐิมะ. แม้คัณฐิมะนั้น ภิกษุ
หรือภิกษุณีจะทำเองก็ดี ใช้ให้ทำด้วยถ้อยคำเป็นอกัปปิยะก็ดี ย่อมไม่ควร.
แต่จะใช้ให้ทำด้วยกัปปิยวาจาเป็นต้นว่า จงรู้อย่างนี้, ทำได้อย่างนี้แล้วจะ
พึงงาม, จงทำดอกไม้ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ให้กระจัดกระจาย ดังนี้ ควรอยู่.
การเอาด้าย หรือปอเป็นต้น ร้อยคุมดอกไม้มีดอกมะลิเป็นต้น
ด้วยอำนาจระเบียบดอกไม้มีขั้วข้างเดียวและมีขั้วสองข้าง (ด้วยอำนาจมาลัย
ต่อก้านและมาลัยเรียงก้าน) ชื่อว่า โคปปิมะ. คนทั้งหลายทบปอ หรือ
เชือกเป็นสองเส้น และร้อยดอกไม้ไม่มีขั้วเป็นต้นในปอ หรือเชือกนั้น
แล้วขึงไว้ตามลำดับ, เเม้ดอกไม้นี้ ก็ชื่อว่า โคปปิมะ เหมือนกัน.
โคปปิมะทั้งหมด ไม่ควรโดยนัยก่อนเหมือนกัน.
ที่ชื่อว่า เวธิมะ คือ ดอกไม้ที่คนทั้งหลายเสียบดอกไม้ที่มีขั้ว มี
ดอกมะลิเป็นต้นที่ขั้ว หรือเสียบดอกไม้ที่ไม่มีขั้ว มีดอกพิกุลเป็นต้น
ภายในช่องดอก ด้วยเสี้ยนตาลเป็นต้น แล้วร้อยไว้นี้ ชื่อว่า เวธิมะ.
แม้ดอกไม้นั้น ก็ไม่สมควร โดยนัยก่อนเหมือนกัน.
ก็คนบางคนเอาหนาม หรือเสี้ยนตาลเป็นต้นปักที่ต้นกล้วยแล้ว

639
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 640 (เล่ม 3)

เสียบดอกไม้ไว้ที่หนามเป็นต้นนั้น. บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่กิ่งไม้มี
หนาม. บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่หนาม ซึ่งปักไว้ที่ฉัตรและฝา เพื่อ
กระทำฉัตรดอกไม้และเรือนยอดดอกไม้. บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่หนาม
ซึ่งผูกไว้ที่เพดานธรรมาสน์ บางพวกเสียบดอกไม้มีดอกกรรณิการ์
เป็นต้น ด้วยซี่ไม้ และกระทำให้เหมือนฉัตรซ้อนฉัตร. ดอกไม้ที่ทำ
อย่างนั้นโอฬารยิ่งนักแล.
ก็การที่จะผูกหนามไว้ที่เพดานธรรมาสน์ เพื่อเสียบดอกไม้ก็ดี จะ
เสียบดอกไม้ดอกเดียวด้วยหนามเป็นต้นก็ดี จะเอาดอกไม้เสียบเข้าใน
ดอกไม้ด้วยกันก็ดี ไม่ควร. ก็การจะแซมดอกไม้ทั้งหลายไว้ในช่องแห่ง
เพดานตาข่าย ชุกชี ฟันนาค (กระจัง) ที่วางดอกไม้เเละช่อใบตาล
เป็นต้น หรือว่า ในระหว่างช่อดอกอโศก ไม่มีโทษ. เพราะดอกไม้
อย่างนั้นไม่จัดเป็นเวธิมะ. แม้ในเชือกธรรมดา(เชือกสำหรับเสียบดอกไม้)
ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
ดอกไม้ที่มีชื่อว่า เวฐิมะ พึงเห็นในพวงดอกไม้เเละกำดอกไม้.
อธิบายว่า คนบางพวก เมื่อจะทำพวงดอกไม้แขวนยอด (ธรรมาสน์
เป็นต้น) จึงร้อยดอกไม้ทั้งหลาย* เพื่อแสดงอาการเป็นพุ่มอยู่ภายใต้
บางพวกมัดดอกอุบลเป็นต้นที่ก้านอย่างละ ๘ ดอกบ้าง อย่างละ ๑๐ ดอก
บ้างด้วยด้าย หรือด้วยปอ กระทำให้เป็นกำดอกอุบล หรือเป็นกำดอกบัว
หลวง. การทำดอกไม้อย่างนั้น ไม่ควรทั้งสิ้น โดยนัยก่อนเหมือนกัน
แม้การที่จะเอาผ้ากาสาวะพันดอกอุบลเป็นต้น ที่พวกสามเณรถอนขึ้นวาง
*สารตฺถทีปนี ๓/๑๑๖ มตฺถกทามนฺติ ธมฺมาสนาทมตฺถเก ลมฺพกทามํ

640
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 641 (เล่ม 3)

ไว้บนบกให้เป็นห่อ ก็ไม่ควร. แต่จะเอาปอหรือก้านของดอกอุบลเป็นต้น
นั้นนั่นแหละ มัดเข้าด้วยกัน หรือกระทำให้เป็นห่อสะพาย ควรอยู่.
ที่ชื่อว่า ห่อสะพายนั้น คือพวกภิกษุรวบเอาชายทั้งสองข้างของ
ผ้ากาสาวะที่พาดไว้บนคอเข้ามาแล้ว ทำให้เป็นถุง (โป่งผ้า) ใส่ดอกไม้
ลงในถุงนั้น ดุจถุงกระสอบ นี้ ท่านเรียกว่า ห่อสะพาย. การกระทำ
ดอกไม้เช่นนั้น ควรอยู่. คนทั้งหลายเอาก้านแทงใบบัว แล้วเอาใบท่อ
ดอกอุบลเป็นต้น ถือไป. แม้ในวิสัยที่เอาใบอุบลเป็นต้น ห่อถือไปนั้น
จะผูกใบปทุมเบื้องบนดอกไม้ทั้งหลายเท่านั้น ควรอยู่. แต่ก้านปทุม ไม่
ควรผูกไว้ภายใต้ดอก (แต่การผูกก้านปทุมไว้ภายใต้ดอก ไม่ควร).
ที่ชื่อว่า ปูริมะ พึงเห็นในพวงมาลัย และดอกไม้แผ่น. อธิบายว่า
ผู้ใดเอาพวงมาลัยวงรอบเจดีย์ก็ดี ต้นโพธิ์ก็ดี ชุกชีก็ดี นำวกกลับมาให้
เลยที่เดิม (ฐานเดิม) ไป, แม้ด้วยการวงรอบเพียงเท่านั้น ดอกไม้ของ
ผู้นั้น ชื่อว่า ปูริมะ, ก็จะกล่าวอะไรสำหรับผู้ที่วงรอบมากครั้ง. เมื่อ
สอดเข้าไปทางระหว่างฟันนาค* (บันไดแก้ว). ปล่อยให้น้อยลงมา แล้ว
ตลบพันรอบฟันนาค (บันไดแก้ว) อีก แม้ดอกไม้นี้ ก็ชื่อว่า ปูริมะ.
แต่จะสอดวลัยดอกไม้เข้าไปในฟันนาค (บันไดแก้ว) สมควรอยู่.
คนทั้งหลาย ย่อมทำแผงดอกไม้ (ดอกไม้แผ่น) ด้วยพวงมาลัย.
แม้ในวิสัยดอกไม้เเผงนั้น จะขึงพวงมาลัยไปเพียงครั้งเดียว ควรอยู่.
เมื่อนำย้อนกลับมาอีก จัดเป็นการร้อยวงทีเดียว. ดอกไม้ชนิดนั้น ไม่
ควรทุกอย่าง โดยนัยก่อนเหมือนกัน. ก็การได้พวงดอกไม้ที่เขาทำด้วย
พวงมาลัยแม้เป็นอันมากแล้ว ผูกไว้เบื้องบนแห่งอาสนะเป็นต้น ควรอยู่.
* นาคทนฺตกํ แปลว่า ฟันนาค, บันไดแก้ว, และกระจังก็ได้.

641
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 642 (เล่ม 3)

ก็การเอาพวงมาลัยที่ยาวมากขึงไป หรือวงรอบไปครั้งหนึ่งแล้ว (เมื่อถึง
เงื่อนเดิม) อีก ให้เเก่ภิกษุอื่นเสีย สมควรอยู่. แม้ภิกษุนั้น ก็ควรทำ
อย่างนั้นเหมือนกัน.
ที่ชื่อว่า วายิมะ พึงเห็นในดอกไม้ตาข่าย ดอกไม้แผ่น และ
ดอกไม้รูปภาพ. เมื่อภิกษุกระทำตาข่ายดอกไม้ แม้บนพระเจดีย์เป็นทุกกฏ
ทุก ๆ ช่องตาข่ายแต่ละตา. ในฝาผนัง ฉัตร ต้นโพธิ์ และเสาเป็นต้น
ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็การที่ภิกษุจะร้อยกรองแผงดอกไม้เเม้ที่คนอื่น
ทำให้เต็มแล้ว ก็ไม่ได้. คนทั้งหลายย่อมกระทำรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น
ด้วยดอกไม้ที่ร้อยคุมทั้งหลายนั่นแล. แม้รูปช้างและรูปม้าเป็นต้นเหล่านั้น
ก็ตั้งอยู่ในฐานแห่ง วายิมะ ดอกไม้นั้น ย่อมไม่ควรทั้งสิ้น โดยนัยก่อน
เหมือนกัน.
แต่เมื่อจะวางดอกไม้ (ตามปกติไม่ได้ร้อย) ในตอนที่คนเหล่าอื่น
ทำไว้แล้ว กระทำแม้ให้เป็นรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น ควรอยู่. แต่ใน
มหาปัจจรี ท่านกล่าวบุปผวิกัติไว้ ๘ ชนิด รวมกับพวงพู่ห้อย และพวง
ดังพระจันทร์เสี้ยว. บรรดาพวงพู่ห้อยและพวงดังพระจันทร์เสี้ยวนั้น
พวงห้อยที่เป็นพู่ในระหว่างพวงพระจันทร์เสี้ยว ท่านเรียกชื่อว่า กลัมพกะ
(พวงพู่ห้อย). การวงรอบพวงมาลัยกลับไปกลับมา (อันเขาทำ) โดยอาการ
ดังพระจันทร์เสี้ยว ท่านเรียกชื่อว่าอัฑฒจันทกะ (พวงพระจันทร์เสี้ยว).
แม้ดอกไม้ทั้งสองชนิดนั้น ก็จัดเข้าในปูริมะ (ร้อยวง) เหมือนกัน. ส่วน
ในกุรุนที ท่านกล่าวว่า แม้การจัดพวงมาลัยสองสามพวงเข้าด้วยกัน
แล้วทำให้เป็นพวงดอกไม้ ก็ชื่อว่า วายิมะ เหมือนกัน. แม้การทำพวง
ดอกไม้นั้นในมหาอรรถกถานี้ ก็จัดเข้าในฐานแห่ง ปูริมะ เหมือนกัน.

642
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 643 (เล่ม 3)

และมิใช่แต่พวงดอกไม้อย่างเดียวเท่านั้น, พวงดอกไม้ทำด้วยแป้งก็ดี
พวงดอกไม้ทำคล้ายลูกคลีก็ดี พวงดอกไม้ที่ทำคล้ายฟันสุนัข๑ (ที่ทำด้วย
ไม้ไผ่ก็ว่า) ซึ่งท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีก็ดี พวกภิกษุก็ดี พวกภิกษุณีก็ดี
จะทำเอง ก็ไม่ควร จะใช้ให้ทำก็ไม่ควร เพราะสิกขาบทเป็นสาธารณ-
บัญญัติ. แต่จะกล่าวถ้อยคำที่เป็นกัปปิยะ มีการบูชาเป็นเครื่องหมาย
สมควรทุก ๆ แห่ง. ปริยาย โอภาส และนิมิตกรรม สมควรทั้งนั้นแล.
[ว่าด้วยความประพฤติอนาจารต่าง ๆ]
บทว่า ตุวฏฺเฏนฺติ แปลว่า ย่อมนอน.
บทว่า ลาเสนฺติ มีความว่า พวกภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะนั้น
ลุกขึ้นดุจลอยตัวอยู่เพราะปีติ แล้วให้นางระบำผู้ชำนาญเต้นรำ ร่ายระบำ
รำฟ้อน คือ ให้จังหวะ (ร่ายรำ).๒
สองบทว่า นจฺจนฺติยาปิ นจฺจนฺติ มีความว่า ในเวลาที่หญิงฟ้อน
ร่ายรำอยู่ แม้ภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะนั้น ก็ร่ายรำไปข้างหน้า
หรือข้างหลังแห่งหญิงฟ้อนนั้น.
สองบทว่า นจฺจนฺติยาปิ คายนฺติ มีความว่า ในขณะที่หญิงฟ้อน
นั้นฟ้อนอยู่ พวกภิกษุเหล่านั้น ย่อมขับร้องคลอไปตามการฟ้อนรำ. ใน
ทุก ๆ บท ก็มีนัยอย่างนี้.
๑.อตฺถโยชนา ๑/๕๐๑ ขรปตฺตทามนฺติ สุนขทนุตสทิสํ กตปุปฺผทามํ,เวฬาทหิ กตปุปฺผทา-
มนฺติปิ เกจิ. แปลว่า พวงดอกไม้ที่ทำคล้ายฟันสุนัข ชื่อขรปัตตาทามะ,อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า พวงดอกไม้ทำด้วยไม้ไผ่เป็นต้น ก็มี.
๒.สารัตถทีปนี ๓/๑๑๘ แก้ไว้ว่า แสดงนัยยิ่ง ๆ มีอธิบายว่า ประกาศความประสงค์ของตน
แล้วลุกขึ้นแสดงอาการฟ้อนรำก่อน ด้วยกล่าวว่า ควรฟ้อนรำอย่างนี้ แต่อาจารย์บางพวกกล่าว
ว่า
สอดนิ้วมือเข้าปาก ทำเสียง หมุนตัวดุจจักร ชื่อว่า ให้ เรวกะ-ผู้ชำระ.

643