หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 604 (เล่ม 3)

กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละเสีย
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๖๑๓] ภิกษุผู้ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส ๑ ภิกษุผู้สละเสียได้ ๑ ภิกษุ
วิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒ จบ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒
ทุพพจสิกขาบทวรรณนา
ทุพพจสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น ข้าพเจ้า
จะกล่าวต่อไป:- ในทุพพจสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระฉันนะ]
สองบทว่า อนาจารํ อาจรติ มีความว่า ย่อมกระทำการล่วงละเมิด
ทางกายทวารและวจีทวาร มีอเนกประการ.

604
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 605 (เล่ม 3)

คำว่า กึ นุ โข นาม นี้ เป็นการกล่าวข่ม (ผู้อื่น).
คำว่า อหํ โข นาม เป็นคำยก (ตน).
ด้วยคำว่า ตุมฺเห วเทยฺย ท่านแสดงว่า เราควรจะว่ากล่าวพวก
ท่านว่า พวกท่าน จงกระทำอย่างนี้ อย่ากระทำอย่างนี้.
หากผู้ถามจะถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะพระฉันนะกล่าวหมายเอาความประสงค์เป็นต้น
อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงม้ากัณฐกะเสด็จออกพร้อมกับ
เรา ทรงผนวชแล้ว. ครั้นกล่าวว่า พระธรรมของเราแล้ว เมื่อจะแสดง
ยุติในความเป็นของ ๆ คนอีก จึงกล่าวว่า พระธรรมนี้ พระลูกเจ้าของ
เรา ได้ตรัสรู้แล้ว ดังนี้. มีคำอธิบายว่า เพราะว่า สัจจธรรม ๔ อัน
พระลูกเจ้าของเราแทงตลอดแล้ว; ฉะนั้น แม้พระธรรมก็เป็นของเรา.
แต่สำคัญพระสงฆ์ว่า ตั้งอยู่ในฝักฝ่ายแห่งคนคู่เวรของตน จึงไม่กล่าวว่า
พระสงฆ์ของเรา. แค่ใคร่จะกล่าวเปรียบเปรยรุกรานสงฆ์ จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า เสยฺยถาปิ นาม ดังนี้.
บทว่า ติณกฏฺฐปณฺณสฏํ ได้แก่ หญ้า ไม้ และใบไม้แห้งที่ร่วง
หล่นตกไปในสถานที่นั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง หญ้าด้วย ไม้เบาไม่มีแก่น
ด้วย; เหตุนั้น จึงชื่อว่า หญ้าและไม้. ใบไม้แห้ง ชื่อว่า ปัณณสฏะ.
บทว่า อุสฺสาเทยฺย ได้แก่ พัดไปกองรวมไว้.
บทว่า ปพฺพเตยฺย ได้แก่ เกิดจากภูเขา. จริงอยู่ แม่น้ำนั้นมี
กระแสอันเชี่ยว; เพราะฉะนั้น ท่านจึงระบุเอาแต่แม่น้ำนั้นเท่านั้น.
ในคำว่า สงฺขเสวาลปณกํ น มีวินิจฉัยดังนี้:-
สาหร่ายที่มีใบ มีรากยาว เรียกว่า จอก. สาหร่ายสีเขียว เรียกว่า

605
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 606 (เล่ม 3)

สาหร่าย. สาหร่ายที่เหลือ มีตะไคร้น้ำและแหนเป็นต้น แม้ทั้งหมด
ถึงการนับว่า แหน.
ด้วยคำว่า เอกโต อุสฺสาทิตา ท่านแสดงว่า แม้อันใครๆ ประมวล
มาแล้ว คือทำเป็นกองไว้ในที่เดียวกัน.
บทว่า ทุพฺพจชาติโก ได้แก่ มีภาวะแห่งบุคคลผู้ว่ายาก. อธิบายว่า
ผู้อันใคร ๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้. แม้ในบทภาชนะแห่งบทว่า ทุพฺพจชาติโก
นั้น บทว่า ทุพฺพโจ ได้แก่ ผู้อันเขากล่าวสอนได้โดยยาก คือโดยลำบาก.
มีคำอธิบายว่า อันใคร ๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้โดยง่าย.
บทว่า โทวจสฺสกรเณหิ คือ (ด้วยธรรม) อันกระทำความเป็น
ผู้ว่ายาก. อธิบายว่า ก็ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ย่อมทำบุคคลให้เป็นผู้ว่า
ยาก, เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้น.
ก็บัณฑิตพึงทราบธรรมเหล่านั้น มี ๑๙ อย่าง คือความเป็นผู้มี
ความปรารถนาลามก ๑ ความยกตนข่มผู้อื่น ๑ ความเป็นคนมักโกรธ ๑
ความผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ ๑ ความเป็นผู้มักระแวงเพราะ
ความโกรธเป็นเหตุ ๑ ความเป็นผู้เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธเพราะ
ความโกรธเป็นเหตุ ๑ ความกลับเป็นผู้โต้เถียงโจทก์ ๑ ความเป็นผู้กลับ
รุกรานโจทก์ ๑ ความเป็นผู้กลับปรักปรำโจทก์ ๑ ความกลบเรื่องอื่น
ด้วยเรื่องอื่น ๑ ความเป็นผู้ไม่พอใจตอบด้วยความประพฤติ ๑ ความเป็น
ผู้ลบหลู่ตีเสมอ ๑ ความเป็นคนริษยาเป็นคนตระหนี่ ๑ ความเป็นคนโอ้
อวดเจ้ามายา ๑ ความเป็นคนกระด้างดูหมิ่นผู้อื่น ๑ ความเป็นคนถือแต่
ความเห็นของตน ๑ ความเป็นคนถือรั้น ๑ ความเป็นผู้ถอนได้ยาก ๑
* มีเพียง ๘ แม้ในอนุมานสูตร ก็มีเพียง ๑๖. ม. มู. ๑๒/๑๘๙.

606
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 607 (เล่ม 3)

อันมาแล้วในอนุมานสูตรตามลำดับ โดยนัยมีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ก็ธรรมอันทำความเป็นคนว่ายากเหล่าไหน ? ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ! ภิกษุ
ในศาสนานี่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ดังนี้ เป็นต้น.
ผู้ใด ไม่อด ไม่ทนโอวาท, เพราะเหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า อักขมะ.
ผู้ใด เมื่อไม่ปฏิบัติ ตามที่ท่านพร่ำสอน ไม่รับอนุสาสนีโดยเบื้องขวา;
เพราะเหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า มีปกติไม่รับโดยเบื้องขวาซึ่งอนุสาสนี.
บทว่า อุทฺเทสปริยาปนฺเนสุ ได้แก่ นับเนื่องในอุเทศ คือรวมลง
ในภายใน. ความว่า เป็นไปภายในปาฏิโมกขุทเทส เพราะท่านสงเคราะห์
อย่างนี้ว่า อาบัติ มีแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเปิดเผย.
สองบทว่า สหธมฺมิกํ วุจฺจมาโน ได้แก่ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว
อยู่โดยชอบสหธรรม. นี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ. อธิบาย
ว่า อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ ด้วยสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ไว้ อันได้นามว่า สหธรรมิก เพราะเป็นสิกขาอันสหธรรมิก ๕ พึง
ศึกษา หรือเพราะเป็นของสหธรรมิก ๕ เหล่านั้น .
คำว่า วิรมถายสฺสนฺโต มม วจนาย มีความว่า พวกท่านว่ากล่าว
ข้าพเจ้าด้วยคำใด, จงเลิกจากคำนั้น ตามคำของข้าพเจ้า. มีคำอธิบายว่า
พวกท่าน จงอย่ากล่าวคำนั้นกะข้าพเจ้า.
คำว่า วเทตุ สหธมฺเมน มีความว่า ท่านผู้มีอายุ จงว่ากล่าวด้วย
สิกขาบทอัน เป็นสหธรรม หรือด้วยคำแม้อื่นอันเป็นสหธรรม คือเป็นไป
เพื่อความเลื่อมใส.
ศัพท์ว่า ยทิทํ เป็นนิบาต ลงในอรรถ คือแสดงเห็นแห่งความ
เจริญ. ด้วยคำว่า ยทิทํ นั้น ย่อมเป็นอันท่านแสดงเหตุแห่งความเจริญ

607
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 608 (เล่ม 3)

ของบริษัทอย่างนี้ว่า การพูดแนะประโยชน์แก่กันและกัน และการยังกัน
และกันให้ออกจากอาบัตินี้ใด, บริษัทเจริญแล้ว ด้วยการว่ากล่าวกันและ
ด้วยการยังกันและกันให้ออกจากอาบัตินั้น. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้น
ทั้งนั้น. แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับปฐมสังฆเภทสิกขาบท
นั้นแล.
ทุพพจสิกขาบทวรรณนา จบ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓
เรื่องภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ
[๖๑๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี
เป็นภิกษุอลัชชี ชั่วช้า ภิกษุพวกนั้นประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ
ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น
รดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง
ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำ
มาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้
ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริด
เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ภิกษุพวกนั้น
นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อก้าน นำไปเองบ้าง ใช้

608
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 609 (เล่ม 3)

ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง
ซึ่งดอกไม้ช่อ นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พุ่ม นำ
ไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใช้ให้
ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พวง นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อันนำไปบ้าง ซึ่ง
ดอกไม้แผงสำหรับประดับอก เพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุลกุมารี
เพื่อสะใภ้เเห่งสกุล เพื่อกุลทาสี ภิกษุพวกนั้น ฉันอาหารในภาชนะอัน
เดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันใบเดียวกันบ้าง นั่งบนอาสนะอันเดียวกันบ้าง
นอนบนเตียงอันเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดอัน เดียวกันบ้าง นอน
คลุมผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้าง
กับกุลสตรี กุลธิดา กุลกุมารี สะใภ้แห่งสกุล กุลทาสี ฉันอาหารในเวลา
วิกาลบ้าง ดื่มน้ำเมาบ้าง ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้บ้าง
ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง เต้นรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงฟ้อนรำ
บ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ประโคมกับหญิงฟ้อนรำบ้าง เต้นรำกับ
หญิงฟ้อนรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงขับร้องบ้าง ขับร้องกับหญิงขับร้องบ้าง
ประโคมกับหญิงขับร้องบ้าง เต้นรำกับหญิงขับร้องบ้าง ฟ้อนรำกับหญิง
ประโคมบ้าง ขับร้องกับหญิงประโคมบ้าง ประโคมกับหญิงประโคมบ้าง
เต้นรำกับหญิงประโคมบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงเต้นรำบ้าง ขับร้องกับหญิง
เต้นรำบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรำบ้าง เต้นรำกับหญิงเต้นรำบ้าง เล่น
หมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บ
บ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วงบ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง
เล่นฟาดให้เป็นรูปต่าง ๆ บ้าง เล่นสกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง เล่นไถ
น้อย ๆ บ้าง เล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วย

609
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 610 (เล่ม 3)

ใบไม้บ้าง เล่นรถน้อย ๆ บ้าง เล่นธนูน้อย ๆ บ้าง เล่นเขียนทายบ้าง
เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง หัดขี่ช้างบ้าง หัดขี่ม้าบ้าง หัด
ขี่รถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิ่งผลัดช้างบ้าง วิ่งผลัดม้า
บ้าง วิ่งผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือ
บ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกันบ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานเต้นรำ
แล้ว พูดกับหญิงฟ้อนรำอย่างนี้ว่า น้องหญิง เธอจงฟ้อนรำ ณ ที่นี้ ดังนี้
บ้าง ให้การคำนับบ้าง ประพฤติอนาจารมีอย่างต่าง ๆ บ้าง.
[๖๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแคว้นกาสี
เดินทางไปพระนครสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงชนบทกิฎาคีรีแล้ว
ครั้นเวลาเช้าภิกษุนั้นครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต
ยังชนบทกิฎาคีรี มีอาการเดินไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน
คู้แขน น่าเลื่อมใส มีจักษุทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ
คนทั้งหลายเห็นภิกษุรูปนั้นแล้ว พูดอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้เป็นใคร
ดูคล้ายคนไม่ค่อยมีกำลัง เหมือนคนอ่อนแอ เหมือนคนมีหน้าสยิ้ว ใคร
เล่าจักถวายบิณฑะแก่ท่านผู้เข้าไปเที่ยวบิณฑบาตรูปนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้า
เหล่าพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะของพวกเรา เป็นผู้อ่อนโยน พูด
ไพเราะ อ่อนหวาน ยิ้มแย้มก่อน มักพูดว่า มาเถิดมาดีแล้ว มีหน้าไม่
สยิ้ว มีหน้าชื่นบาน มักพูดก่อน ใคร ๆ ก็ต้องถวายบิณฑะแก่ท่าน
เหล่านั้น.
อุบาสกคนหนึ่ง ได้แลเห็นภิกษุรูปนั้นกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ใน
ชนบทกิฎาคีรี ครั้นแล้วจึงเข้าไปหาภิกษุนั้น กราบเรียนถามภิกษุรูปนั้น
ว่า พระคุณเจ้าได้บิณฑะบ้างไหม ขอรับ

610
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 611 (เล่ม 3)

ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ยังไม่ได้บิณฑะเลยจ้ะ
อุบายสกกล่าวอาราธนาว่า นิมนต์ไปเรือนผมเถิด ขอรับ แล้วนำ
ภิกษุนั้นไปเรือน นิมนต์ให้ฉันแล้วถามว่า พระคุณเจ้าจักไปที่ไหน ขอรับ
ภิ. อาตมาจักไปพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
อุ. ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้า จงกราบถวายบังคมพระบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า และขอจงกราบทูลตามถ้อยคำของ
กระผมอย่างนี้ด้วยขอรับว่า พระพุทธเจ้าข้า วัดในชนบทกิฏาคีรีโทรม
ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็น
ภิกษุอลัชชี เลวทราม พวกเธอประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือปลูก
ต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง
เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้
ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัย
เรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง... ประพฤติอนาจารมีอย่างต่าง ๆ
บ้าง เมื่อก่อนชาวบ้านยิ่งมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่
เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อน ๆ บัดนี้ทายกทายิกาได้ตัดขาด
แล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง พระ-
พุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส พระผู้มีพระภาคเจ้า
พึงส่งภิกษุทั้งหลายไปสู่ชนบทกิฎาคีรี เพื่อวัดในชนบทกิฏาคีรีนี้จะพึงตั้ง
มั่นอยู่
ภิกษุนั้นรับคำของอุบาสกนั้นแล้ว หลีกไปโดยหนทางอันจะไปสู่
พระนครสาวัตถี ถึงพระนครสาวัตถี พระวิหารเชตวัน อารามของ

611
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 612 (เล่ม 3)

อนาถบิณฑิกคหบดีโดยลำดับ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พุทธประเพณี
[๖๑๖] อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัย
กับพระอาคันตุกะทั้งหลาย นั่นเป็นพุทธประเพณี
พระพุทธเจ้าทรงปราศรัย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอยังพอทนอยู่ดอกหรือ ยังพอครองอยู่ดอกหรือ เธอเดินทางมาเหนื่อย
น้อยหรือ ก็นี่เธอมาจากไหนเล่า
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ายังพอทนอยู่ได้ ยังพอครอง
อยู่ได้ พระพุทธเจ้าข้า และข้าพระพุทธเจ้าเดินทางมาลำบากเล็กน้อย
ข้าพระพุทธเจ้าจำพรรษาในแคว้นกาสีแล้ว เมื่อจะมายังพระนครสาวัตถี
เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ผ่านชนบทกิฎาคีรี พระพุทธเจ้าข้า ครั้น
เวลาเช้า ข้าพระพุทธเจ้าครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไป
บิณฑบาตยังชนบทกิฎาคีรี พระพุทธเจ้าข้า อุบาสกคนหนึ่ง ได้เห็น
ข้าพระพุทธเจ้ากำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในชนบทกิฎาคีรี ครั้นแล้ว ได้
เข้าไปหาข้าพระพุทธเจ้า กราบไหว้ข้าพระพุทธเจ้าถามว่า ท่านได้บิณฑะ
บ้างไหม ขอรับ ข้าพระพุทธเจ้าตอบว่า ยังไม่ได้บิณฑะเลยจ้ะ เขาพูดว่า
มนต์ไปเรือนผมเถิด ขอรับ แล้วนำข้าพระพุทธเจ้าไปเรือน ให้ฉันแล้ว
ถามว่า พระคุณเจ้าจักไปที่ไหน ขอรับ ข้าพระพุทธเจ้าตอบว่า จักไป
พระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจ้ะ เขาพูดว่า ท่านขอรับ

612
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 613 (เล่ม 3)

ถ้าเช่นนั้นขอท่านจงกราบถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
เศียรเกล้า และขอจงกราบทูลตามถ้อยคำของกระผมอย่างนี้ว่า พระพุทธ-
เจ้าข้า วัดในชนบทกิฏาคีรีโทรม ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ
เป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม ประพฤติอนาจาร
เห็นปานดังนี้ คือปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเอง
บ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง... ประพฤติอนาจารมีอย่างต่าง ๆ บ้าง เมื่อก่อน
ชาวบ้านยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้
ทานประจำของสงฆ์ก่อน ๆ บัดนี้ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีล
เป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง พระพุทธเจ้าข้า ข้า-
พระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส พระองค์ควรส่งภิกษุทั้งหลายไปสู่
ชนบทกิฎาคีรี เพื่อวัดในชนบทกิฏาคีรีนี้จะพึงตั้งมั่นอยู่ดังนี้ ข้าพระ-
พุทธเจ้ามาจากชนบทกิฏาคีรีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงสอบถามภิกษุสงฆ์
[๖๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุพวกอสัสชิและ
ปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม
ประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น
ปลูกบ้าง รดนำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้
ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง
ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง

613