No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 733 (เล่ม 36)

ความเร่าร้อนเพราะกิเลส หรือความเร่าร้อนเพราะวิบาก ที่ทำความคับแค้น
ให้เหล่าอื่น. อธิบายว่า เมื่อภิกษุยินดี คือเพลิดเพลินอิฏฐารมณ์ที่มาสู่คลอง
ในจักษุทวาร ด้วยอำนาจความพอใจในกาม กามาสวะย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุ
ยินดีด้วยความปรารถนาภพว่า เราจักได้อิฏฐารมณ์เช่นนี้ แม้ในสุคติภพอื่น
ภวาสวะย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุยึดถือว่า สัตว์หรือว่าของสัตว์ ทิฏฐาสวะ
ย่อมเกิดขึ้น. ความไม่รู้ที่เกิดพร้อมกับอาสวะทั้งหมดทีเดียว ชื่อว่า อวิชชาสวะ.
อาสวะ ๔ เกิดขึ้น ดังว่ามานี้แล. กิเลสเหล่าอื่นที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เหล่านั้น ซึ่งมีความเร่าร้อนอันเกิดจากความคับแค้น หรือวิบากของกิเลส
เหล่านั้นในอนาคต ท่านกล่าวว่า พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่สำรวมจากอาสวะ
แม้เหล่านั้นอยู่. บทว่า เอวํส เต ตัดบทเป็น เอวํ อสฺส เต มีคำ
อธิบายว่า ไม่มีโดยอุบายนี้ ไม่มีโดยประการอื่น.
แม้ในบทว่า ปฏิสงฺขาโยนิโส โสตินฺทฺริยสํวรสํวุโต เป็นต้น
ก็มีนัยความหมายอย่างเดียวกันนี้แล. บทว่า อิเม วุจฺจนฺติ อาสวา สํวรา
ปหาตพฺพา ความว่า อาสวะ ๒๔ อย่าง โดยแยกเป็นอย่างละ ๔ ในทวาร
ทั้ง ๖ เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงละได้ด้วยสังวร คำใดที่จะพึง
กล่าวไว้ในบทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส จีวรํ เป็นต้น คำนั้นทั้งหมดได้กล่าว
ไว้แล้วแลในศีลกถา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า ก็เมื่อภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (ไม่เสพปัจจัย)
ในบรรดาปัจจัยมีจีวรและบิณฑบาตเป็นต้นก็ดี. บทว่า อปฺปฏิเสวโต
ได้แก่ ไม่เสพโดยอุบายอันแยบคายอย่างนี้. ในที่นี้ เมื่อภิกษุปรารถนาปัจจัย
มีจีวรเป็นต้นที่ยังไม่ได้ หรือยินดีปัจจัยมีจีวรเป็นต้นนั้นที่ได้แล้ว พึงทราบ
ว่า กามาสวะเกิดขึ้น. เมื่อภิกษุยินดีด้วยการปรารถนาภพว่า เราจักได้ปัจจัย

733
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 734 (เล่ม 36)

เช่นนี้ในสุคติภพแม้อื่น พึงทราบว่า ภวาสวะเกิดขึ้น. เมื่อภิกษุตั้งอัตต-
สัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตัวตน) ว่าเราได้ เราไม่ได้ หรือว่าจีวรนี้ของเรา
พึงทราบว่า ทิฏฐาสวะเกิดขึ้น. ส่วน อวิชชาสวะ เกิดพร้อมกับอาสวะอื่น
ทั้งหมด การเกิดขึ้นของอาสวะ ๔ เป็นความคับแค้นและความเร่าร้อน ดัง
พรรณนามานี้แล พึงทราบอาสวะแม้โดยการทำเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น.
บทว่า อิเม วุจฺจนฺติ ภิกฺขเว อาสวา ปฏิเสวนา ปหาตพฺพา
ความว่า อาสวะ ๑๖ อย่างเหล่านี้ โดยแยกออกเป็นอย่างละ ๔ ในแต่ละ
ปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงละด้วยการพิจารณาแล้วเสพ ที่เรียกว่า
ญาณสังวรนี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส ขโม โหติ สีตสฺส ความว่า
ภิกษุพิจารณาโดยอุบาย คือโดยคัลลอง แล้วย่อมเป็นผู้อดทนต่อความหนาว
คือย่อมข่ม ย่อมอดกลั้นซึ่งความหนาว ได้แก่ไม่สั่นสะท้าน คือไม่ละทิ้ง
กัมมัฏฐาน เพราะความหนาวแม้เพียงเล็กน้อย เหมือนคนขี้ขลาด. แม้ใน
ความร้อนเป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. ก็ในที่นี้ คำพูดนั่นแล พึงทราบว่า เป็น
ทางแห่งคำพูด.
ในบทว่า ทุกฺขานํ เป็นต้น มีอธิบายว่า เวทนา พึงทราบว่าเป็น
ทุกข์ เพราะหมายความว่า ทนได้ยาก เป็นเวทนากล้า เพราะหมายความว่า
มาก เป็นเวทนาแข็ง เพราะหมายความว่าหยาบ เป็นเวทนาเผ็ดร้อน เพราะ
หมายความว่าเจ็บแสบ เป็นเวทนาไม่สำราญ เพราะเว้นจากความน่ายินดี
เป็นเวทนาไม่น่าชอบใจ เพราะไม่ทำใจให้เจริญ เป็นเวทนาคร่าชีวิต
เพราะสามารถคร่าชีวิตได้. บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า (เมื่อภิกษุนั้น ไม่-

734
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 735 (เล่ม 36)

อดกลั้น) อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ แม้ธรรมอย่างหนึ่ง ในบรรดาความ
หนาวเป็นต้น. บทว่า อนธิวาสยโต คือ ไม่อดกลั้น ได้แก่ ไม่อดทน.
ส่วนความเกิดขึ้นแห่งอาสวะ ในอธิการนี้ พึงทราบดังต่อไปนี้ เมื่อภิกษุ
กระทบหนาว ปรารถนาความอบอุ่น กามาสวะย่อมเกิดขึ้น ในที่ทุกแห่ง
ก็อย่างนี้. เมื่อภิกษุปรารถนาภพว่า ในสุคติภพ ไม่มีหนาว หรือร้อน
ภวาสวะย่อมเกิดขึ้น. การยึดถือว่า เราหนาว เราร้อน ดังนี้เป็น
ทิฏฐาสวะ (ส่วน) อวิชชาสวะ ประกอบพร้อมกับอาสวะ (ที่กล่าวมา)
ทั้งหมดทีเดียว. บทว่า อิเม วุจฺจนฺติ ความว่า อาสวะเหล่านี้มีจำนวน
มาก โดยแยกแต่ละอย่าง ในความหนาวเป็นต้นแยกออกเป็นอย่างละ ๔
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงละด้วยความอดกลั้น ที่เรียกว่า ขันติสังวรนี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส จณฺฑหตฺถึ ปริวชฺเชติ ความว่า
ภิกษุพิจารณาโดยอุบาย คือ โดยคัลลองอย่างนี้ว่า เราไม่ควรยืนในที่ใกล้ช้าง
ตัวดุร้าย เพราะว่าจะพึงมีความตายบ้าง ความทุกข์ปางตายบ้างซึ่งมีเหตุมาจาก
การยืนในที่ใกล้นั้น ดังนี้แล้ว หลบหลีกช้างตัวดุร้าย คือ ถอยหนี. ในทุก
บทก็มีนัย นี้แล. บทว่า จณฺฑํ ได้แก่ ร้าย คือ ดุ. บทว่า ขาณุํ
ได้แก่ ตอไม้ตะเคียนเป็นต้น. บทว่า กณฺฎกฏฺฐานํ ได้แก่ โอกาสที่หนาม
จะแทง. บทว่า โสพฺภํ ได้แก่ ที่ที่ขาดทาง (ขึ้นลง) ทุกด้าน. (โตรก).
บทว่า ปปาตํ ได้แก่ สถานที่ที่ขาดทาง (ขึ้นลง) ไปข้างหนึ่ง. บทว่า
จณฺฑนิกํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่ทิ้งน้ำเสีย และครรภ์มลทินเป็นต้น.
บทว่า โอฬิคลฺลํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่ไหลไปแห่งโคลน เป็นต้น
เหล่านั้นนั่นแล. สถานที่นั้นถึงจะลึกถึงเข่า ก็เป็นสถานที่เต็มไปด้วยของ

735
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 736 (เล่ม 36)

ไม่สะอาด. และสถานที่ทั้ง ๒ แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีอมนุษย์ชุกชุม เพราะ
ฉะนั้นจึงต้องเว้น. ในบทว่า อนาสเน นี้มีอธิบายว่า อาสนะที่ไม่เหมาะสม
ชื่อว่า อนาสนะ อาสนะนั้น โดยความหมายพึงทราบว่า ได้แก่ อาสนะที่
เก็บไว้ในที่ลับอันเป็นสิ่งไม่แน่นอน. แม้ในบทนี้ว่า อโคจเร มีความว่า
โคจรที่ไม่เหมาะสม ชื่อว่า อโคจร อโคจรนั้นมี ๕ อย่างแยกออกเป็น
หญิงแพศยาเป็นต้น. บทว่า ปาปเก มิตฺเต ได้แก่ มิตรผู้ลามก คือ
มิตรผู้ทุศีล ได้แก่ บุคคลเทียมมิตร คือ ผู้ไม่ใช่มิตร. บทว่า ปาปเกสุ
ได้แก่ ต่ำช้า. บทว่า โอกปฺเปยฺยุํ คือ พึงเชื่อ ได้แก่ พึงน้อมใจเชื่อว่า
ท่านผู้มีอายุรูปนี้ ได้ทำหรือจักทำแน่แท้. บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า
(เมื่อภิกษุนั้นไม่บรรเทา) อันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแม้อย่าง
หนึ่งในบรรดาอันตรายมีช้างเป็นต้น. ส่วนความเกิดขึ้นแห่งอาสวะในที่นี้ พึง
ทราบดังต่อไปนี้ เมื่อภิกษุเผชิญทุกข์มีช้างเป็นต้นเป็นเหตุ ปรารถนาสุข
กามาสวะย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุปรารถนาภพว่า ทุกข์เช่นนี้ไม่มีในสุคติภพ
ภามาสวะ ย่อมเกิดขึ้น การยึดถือว่า ช้างเหยียบเรา ดังนี้เป็น ทิฏฐาสวะ
(ส่วน) อาสวะที่ประกอบพร้อมกับอาสวะ ชื่อว่า อวิชชาสวะทั้งหมดนั่นแหละ.
บทว่า อิเม วุจฺจนฺติ ความว่า อาสวะเหล่านี้มีมากอย่าง โดยแยกแต่ละ
อย่างในบรรดาอันตรายมีช้างเป็นต้น ด้วยอำนาจแยกออกเป็นอย่างละ ๔ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงละด้วยการหลีกหนี กล่าวคือ ศีลสังวรนี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสติ
ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็นโทษในกามวิตก โดยอุบายอันแยบคายโดยนัยเป็น
ต้นว่า วิตกนี้เป็นอกุศลแม้เพราะเหตุนี้ มีโทษแม้เพราะเหตุนี้ มีผลเป็นทุกข์

736
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 737 (เล่ม 36)

แม้เพราะเหตุนี้ ก็วิตกนั้นแล ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง ดังนี้แล้ว
ไม่ยับยั้งกามวิตกที่เกิดขึ้นในอารมณ์นั้น ๆ อธิบายว่า ยกอารมณ์ขึ้นสู่จิตแล้ว
บังคับไม่อยู่ หรือบังคับให้อยู่ในภายในไม่ได้. ถามว่า ภิกษุเมื่อยับยั้งไม่ได้
จะทำอย่างไร ? ตอบว่า ละทิ้งเสีย. ถามว่า ละทิ้งเหมือนเอาตะกร้าตักหยาก
เยื่อทิ้งหรือ ? ตอบว่า ไม่ใช่ โดยที่แท้แล้ว บรรเทา คือเจาะแทง นำ
กามวิตกนั้นออก. ถามว่า แทงเหมือนเอาประตักแทงโคพลิพัทหรือ ? ตอบว่า
ไม่ใช่ โดยที่แท้แล้ว ทำมันให้สิ้นสุด คือ ทำมันให้ปราศจากไปเป็นที่สุด
คือ แม้ที่สุดของกามวิตกนั้นจะไม่เหลือ โดยที่สุด แม้เพียงภังคขณะ (ของจิต)
โดยประการใด จะทำกามวิตกนั้นโดยประการนั้น.
ถามว่า ก็ภิกษุจะทำกามวิตกนั้นให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ? ตอบว่า
ทำให้ถึงความไม่มีต่อไป คือ ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง ได้แก่ ทำโดย
ประการที่มันจะถูกข่มไว้ด้วยดี ด้วยวิกขัมภนปหาน. แม้ในวิตก ๒
อย่างที่เหลือ ก็มีนัยนี้แล. บทว่า อปฺปนฺนุปฺปนฺเน ได้แก่ (วิตก) ที่
เกิดขึ้นแล้ว ๆ มีคำอธิบายว่า ที่เพียงแต่เกิดขึ้นเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง มีคำ
อธิบายว่า บรรเทาวิตกที่เกิดขึ้นคราวเดียวแล้วไม่เพิกเฉยในครั้งที่ ๒ ได้แก่
บรรเทาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ทั้ง ๗ ครั้งนั้นแล. บทว่า ปาปเก อกุสเล
ธมฺเม ได้แก่ วิตกทั้งหลายมีกามวิตกเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล หรือ วิตก
ใหญ่ทั้งหมด ๙ ชนิด.
บรรดาวิตกทั้ง ๙ ชนิดนั้น วิตก ๓ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้แล้ว (ส่วน) วิตก ๖ อย่างที่เหลือเหล่านี้คือ ญาติวิตก (วิตกถึงญาติ)
ชนบทวิตก (วิตกถึงชนบท) อมรวิตก (วิตกถึงเทวดา) วิตกที่เกี่ยวเนื่อง

737
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 738 (เล่ม 36)

ด้วยความเอ็นดูผู้อื่น วิตกที่เกี่ยวเนื่องด้วยลาภ สักการะ และคำสรรเสริญ
วิตกที่เกี่ยวเนื่องด้วยความไม่ดูหมิ่น. บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า (เมื่อภิกษุ
นั้นไม่บรรเทา) วิตกอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาวิตกเหล่านี้. อนึ่ง ในที่นี้
กามวิตกก็คือ กามาสวะนั่นเอง วิตกที่นอกไปจากกามวิตกนั้น จัดเป็นภวาสวะ
วิตกที่สัมปยุตด้วยภวาสวะนั้นจัดเป็นทิฏฐาสวะ อวิชชาในวิตกทั้งหมดจัดเป็น
อวิชชาสุวะ พึงทราบความเกิดขึ้นแห่งอาสวะดังพรรณนามานี้แล. บทว่า อิเม
วุจฺจนฺติ ความว่า อาสวะเหล่านี้มีประการดังกล่าวแล้วด้วยอำนาจกามวิตก
เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงละด้วยการบรรเทากล่าวคือวิริยะ
ประกอบด้วยการพิจารณาเห็นโทษในวิตกนั้น ๆ นี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ ความว่า
ภิกษุพิจารณาเห็นโทษในการไม่มีภาวนา และอานิสงส์ในภาวนาโดยอุบาย คือ
โดยคัลลองแล้วเจริญสติสัมโพชฌงค์. ในทุกบท ก็มีนัยนี้. ก็การเจริญโพชฌงค์
ทั้งหลายนี้ได้อธิบายไว้พิสดารแล้วในตอนต้นแล. บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า
เมื่อภิกษุนั้น (ไม่เจริญ) โพชฌงค์ข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาโพชฌงค์เหล่านี้.
ก็ในการเกิดอาสวะขึ้นในที่นี้ พึงทราบนัยดังนี้ว่า อาสวะเหล่าใดมีกามาสวะ
เป็นต้นที่จะพึงเกิดขึ้นเพราะไม่ได้เจริญ โพชฌงค์ทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยอริย-
มรรคเหล่านี้ อาสวะเหล่านั้นย่อมไม่มีแก่เธอผู้เจริญ (โพชฌงค์) อยู่อย่างนี้.
บทว่า อิเม วุจฺจนฺติ ความว่า อาสวะทั้งหลายมีกามาสวะเป็นต้น เหล่านี้
แหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จะละได้ด้วยการเจริญโพชฌงค์ที่เป็น
โลกุตระนี้.
จบอรรถกถาอาสวสูตรที่ ๔

738
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 739 (เล่ม 36)

๕. ทารุกัมมิกสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญสังฆทาน
[๓๓๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปราสาทสร้างด้วย
อิฐ ใกล้นาทิกคาม ครั้งนั้น คฤหบดีชื่อทารุกันมิกะ (พ่อค้าฟืน) เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ดูก่อนคฤหบดี ทานในสกุล ท่าน
ยังให้อยู่หรือ คฤหบดีชื่อทารุกัมมิกะได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระองค์ยังให้อยู่ และทานนั้นแล ข้าพระองค์ให้ในภิกษุผู้เป็นอรหันต์ หรือ
ผู้บรรลุอรหัตมรรค ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้ถือ
ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร.
พ. ดูก่อนคฤหบดี ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน
นอนเบียดเสียดบุตร บริโภคจันทน์แคว้นกาสี ทัดทรงดอกไม้ ของหอมและ
เครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ พึงรู้ข้อนี้ได้ยากว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นพระ-
อรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตมรรค ดูก่อนคฤหบดี ถ้าแม้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่า
เป็นวัตร เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อ ปากกล่า พูดพล่าม มีสติเลอะเลือน
ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น มีจิตพุ่งพล่าน ไม่สำรวมอินทรีย์ เมื่อเป็น
อย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว ไม่เห่อ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม มีสติตั้งมั่น
มีสัมปชัญญะ มีใจตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สำรวมอินทรีย์ เมื่อเป็น
อย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญ ด้วยเหตุนี้ ถ้าแม้ภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงกล่าวติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึง

739
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 740 (เล่ม 36)

ได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เป็นผู้
ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุ
ผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุ
นั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้รับนิมนต์ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้รับนิมนต์
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุ
นั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เป็นผู้ไม่
ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้
ภิกษุผู้ทรงคฤหบดีจีวร เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อ ปากกล้า พูดพล่าม
มีสติเลอะเลือน ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น มีจิตพลุ่งพล่าน ไม่สำรวม
อินทรีย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ถ้าแม้ภิกษุผู้ทรง
คฤหบดีจีวร เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว ไม่เห่อ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม
มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีใจตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สำรวมอินทรีย์
เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น ดูก่อนคฤหบดี เชิญ
ท่านให้สังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่ จิตจักเลื่อมใส ท่านนั้นผู้มีจิต
เลื่อมใส เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คฤหบดีชื่อทารุกัมมิกะ. ทูล
สนองว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้จักให้สังฆทาน ตั้งแต่วันนี้
เป็นต้นไป.
จบทารุกัมมิกสูตรที่ ๕

740
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 741 (เล่ม 36)

อรรถกถาทารุกัมมิกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทารุกัมมิกสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทารุกมฺมิโก ได้แก่ อุบาสกคนหนึ่ง มีอาชีพทางขายไม้.
บทว่า กาสิกจนฺทนํ ได้แก่ จุณจันทน์ที่ละเอียด. บทว่า องฺเคน ได้แก่
ด้วยองค์ไม่เป็นคุณ คือ ด้วยองค์ที่เป็นคุณ (เฉพาะ) ในฝ่ายสุกธรรม. บทว่า
เนมนฺตนิโก ได้แก่ เป็นผู้รับนิมนต์. บทว่า สํเฆ ทานานิ ทสฺสามิ
คือ เราจักถวายแก่ภิกษุสงฆ์. อุบาสกนั้นครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว ก็ถวาย
บังคมพระศาสดาแล้วหลีกไป ครั้นแล้วในเวลาต่อมา ภิกษุผู้เป็นกุลุปกะของเขา
จำนวน ๕๐๐ รูป ได้ถึงความเป็นคฤหัสถ์ (สึก). ภิกษุผู้เป็นกุลุปกะนั้น
เมื่ออุบาสกเรียนว่า ภิกษุเหล่านั้นสึกหมดแล้ว ก็พูดว่า พวกอาตมาในที่นี้สึก
หมดหรือ ด้งนี้แล้ว ก็ทำใจให้เป็นกลางไม่ได้. พระศาสดาทรงหมายเอา
เหตุนี้ จึงตรัสว่า เมื่อเธอถวายทานในสงฆ์ จิตจักผ่องใส ดังนี้.
จบอรรถกถาทารุกัมมิกสูตรที่ ๕
๖. จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร
ว่าด้วยเหตุให้ลาสิกขา
[๓๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑ-
บาตภายหลังภัต นั่งประชุมสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า

741
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 742 (เล่ม 36)

ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสาริบุตร เมื่อพวกภิกษุผู้เถระกำลังสนทนา
อภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตะ
ได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสาริบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสาริบุตร เมื่อภิกษุ
ผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นระหว่าง ขอท่านพระจิตต-
หัตถิสาริบุตรจงรอคอยจนกว่าภิกษุผุ้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน.
เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล พวกภิกษุผู้เป็นสหายของ
ท่านพระจิตตหัตถิสาริบุตร ได้กล่าวกับท่านมหาโกฏฐิตะว่า แม้ท่านพระมหา-
โกฏฐิตะย่อมรุกรานท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร (เพราะว่า) ท่านพระจิตตหัตถิ-
สาริบุตรเป็นบัณฑิต ย่อมสามารถกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากับพวกภิกษุผู้เถระ
ได้ ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ทราบ
วาระจิตของผู้อื่นพึงรู้ข้อนี้ได้ยาก.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นดุจสงบเสงี่ยม
เป็นดุจอ่อนน้อม เป็นดุจสงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสดาหรือ
เพื่อนพรหมจรรย์ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่ว่าเมื่อใด
เขาหลีกออกไปจากพระศาสดา หลีกออกไปจากเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ใน
ฐานะเป็นครู เมื่อนั้น เขาย่อมคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
พระราชา มหาอมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อ
เขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวน
จิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลาย เปรียบเหมือนโคที่เคยกินข้าวกล้า ถูกเขาผูกไว้ด้วยเชือกหรือขังไว้
ในคอก ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โคเคยกินข้าวกล้าตัวนี้จักไม่ลงกินข้าวกล้าอีก
ณ บัดนี้ ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวตอบว่า ดูก่อน
อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือโคที่เคยกินข้าวกล้า

742