No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 703 (เล่ม 36)

มูลสนฺตานกานํ ได้แก่ การหยุดอยู่ของรากไม้. บทว่า อาฬฺหกถาลิกา
หม้อหุงข้าว (บรรจุ) ข้าวสารได้ ๑ อาฬหกะ. บทว่า ขุทฺทมธุํ ได้แก่ น้ำผึ้ง
ติดไม้ที่พวกผึ้งตัวเล็ก ๆ ทำไว้. บทว่า อเนลกํ ได้แก่ ไม่มีโทษ.
บทว่า น จ สุทํ อญฺญมญฺญสฺส ผลานิ หึสนฺตึ ความว่า
ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่เบียดส่วนของกันและกัน. ขึ้นชื่อว่า ต้นไม้ที่จะเอาส่วน
ของมันตัดราก เปลือกหรือใบ (ของต้นอื่น) ไม่มี. มนุษย์ทั้งหลายมีพระราชา
เป็นต้น จะบริโภคกันเฉพาะแต่ผลที่หล่นลงไปภายใต้กิ่งของมัน ๆ เท่านั้น.
แม้ผลที่หล่นจากส่วนของต้นหนึ่ง ไปสลับอยู่กับส่วนของอีกต้นหนึ่ง มนุษย์
ทั้งหลายมีพระราชาเป็นต้น พอทราบว่า ไม่ใช่ผลจากกิ่งของเรา ก็ไม่ยอม
เคี้ยวกิน.
บทว่า ยาวทตฺถํ ภกฺขิตฺวา ได้แก่ เคี้ยวกินโดยประมาณถึงคอ
(จนเต็มอิ่ม). บทว่า สาขํ ภญฺชิตฺวา ความว่า (ชายคนหนึ่ง) ตัดใบไม้
ขนาดเท่าร่ม กั้นให้เกิดร่มเงาพลางหลีกไป. บทว่า ยตฺร หิ นาม ได้แก่
โย หิ นาม (ชายคนใดคนหนึ่ง). บทว่า ปกฺกมิสฺสติ คือ หลีกไปแล้ว.
บทว่า นาทาสิ ความว่า ต้นพญานิโครธก็มิได้ออกผลอีก ด้วยอานุภาพของ
เทวดา. เพราะว่า เทวดานั้นได้อธิษฐานอย่างนี้.
บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า เมื่อชาวชนบทไปกราบทูลว่า ข้าแต่
มหาราช ต้นไม้ไม่ออกผลเลย เป็นความผิดของพวกหม่อมฉันหรือของพระองค์
พระเจ้าโกรัพยะทรงดำริว่า ไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ใช่ความผิดของพวก
ชาวชนบท อธรรมย่อมไม่เป็นไปในแว่นแคว้นของเรา ต้นไม้ไม่ออกผลเพราะ
เหตุอะไรหนอแล เราจักเข้าไปทูลถามท้าวสักกะ ดังนี้แล้ว เข้าไปเฝ้าท้าวสักกะ
จอมเทพจนถึงภพดาวดึงส์. บทว่า ปวตฺเตสิ แปลว่า พัดผัน. บทว่า
อุมมูลมกาสิ ได้แก่ ทำ (ต้นพญานิโครธ) ให้มีรากขึ้นข้างบน. บทว่า

703
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 704 (เล่ม 36)

อปิ นุ ตฺวํ เท่ากับ อปิ นุ ตว. บทว่า อฏฺฐิตาเยว คือ อฏฺฐิตายเอว
ตั้งอยู่ไม่ได้เลย. บทว่า สจฺฉวินี ได้แก่ (รากไม้) กลับมีผิวเหมือนเดิม คือ
ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. บทว่า น ปจฺจกฺโกสติ คือ ไม่ด่าตอบ. บทว่า โรสนฺตํ
ได้แก่ บุคคลผู้กระทบอยู่. บทว่า ภณฺฑนฺตํ ได้แก่ บุคคลผู้ประหารอยู่.
บทว่า สุเนตฺโต ควานว่า นัยน์ตา เรียกว่า เนตตะ เพราะนัยน์ตา
คู่นั้นสวยงาม ครูนั้นจึง ชื่อว่า สุเนตตะ. บทว่า ติตฺถกโร ได้แก่
ผู้สร้างท่า (ลัทธิ) เป็นที่หยั่งลงสู่สุคติ. บทว่า วีตราโค ได้แก่ ผู้ปราศจาก
ราคะด้วยอำนาจการข่มไว้. บทว่า ปสวติ ได้แก่ ย่อมได้. บทว่า ทิฏฺฐสมฺปนฺนํ
ได้แก่ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ อธิบายว่า คือ พระโสดาบัน. บทว่า
ขนฺตํ ได้แก่ การขุดคุณของตน. บทว่า ยถา มํ สพฺรหฺมจารีสุ ความว่า
เทวดาและการบริภาษในเพื่อนสพรหมจารีนี้เป็นฉันใด เราไม่กล่าวการขุดคุณ
แบบนี้ ว่าเป็นอย่างอื่น (จากการด่าและบริภาษนั้น).
คนของตนเรียกว่า อามชน ในบทว่า น โน อามสพฺรหฺมจารีสุ นี้
เพราะฉะนั้น ในที่นี้จึงมีความหมายดังนี้ว่า เราทั้งหลายจักไม่มีจิตประทุษร้าย
ในเพื่อนสพรหมจารีผู้เสมอกับของตน.
บทว่า โชติปาโล จ โควินฺโท ความว่า (ครูนั้น) ว่าโดยชื่อ
มีชื่อว่า โชติปาละ ว่าโดยตำแหน่ง มีชื่อว่า มหาโควินทะ.
บทว่า สตฺตปุโรหิโต ความว่า เป็นปุโรหิตของพระราชา ๗
พระองค์ มีพระเจ้าเรณุเป็นต้น. บทว่า อภิเสกา อตีตํเส ความว่า ครู
ทั้ง ๖ เหล่านี้ (มีครูมูคปักขะเป็นต้น) ได้รับการอภิเษกมาแล้วในส่วนที่เป็น
อดีต.

704
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 705 (เล่ม 36)

บทว่า นิรามคนฺธา ได้แก่ ไม่มีกลิ่นดาว ด้วยกลิ่นดาว คือ
ความโกรธ. บทว่า กรุเณ วิมุตฺตา ความว่า หลุดพ้นแล้ว ในเพราะ
กรุณาฌาน คือ ดำรงอยู่ในกรุณาและในธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้นของกรุณา.
บทว่า เย เต แก้เป็น เอเต. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะเป็นอย่างนี้ (เอเต)
ก็มีเหมือนกัน. บทว่า น สาธุรูปํ อาสิเท คือ ไม่พึงกระทบกระทั่งสภาวะ
ที่ดี. บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานปฺปหายินํ คือ อันมีปกติละทิฏฐิ ๖๒.
บทว่า สตฺตโม ได้แก่ เป็นบุคคลที่ ๗ นับตั้งแต่พระอรหันต์ลงมา.
บทว่า อวีตราโค คือ ยังไม่ปราศจากราคะ.
ท่านปฏิเสธความเป็นอนาคามี ด้วยบทว่า อวีตราโค นั้น. บทว่า
ปญฺจินฺทฺริยา มุทู ความว่า อินทรีย์ในวิปัสสนา ๕ อ่อน. จริงอยู่ อินทรีย์
เหล่านั้นของพระโสดาบันนั้น เปรียบเทียบกับพระสกทาคามีแล้ว นับว่า อ่อน.
บทว่า วิปสฺสนา ได้แก่ ญาณเป็นเครื่องกำหนดสังขาร. บทว่า
ปุพฺเพว อุปหญฺญติ ได้แก่ กระทบก่อนทีเดียว. บทว่า อกฺขโต ได้แก่
ไม่ถูกขุด คือ ไม่ถูกกระทบกระทั่งโดยการขุดคุณ. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบธรรมิกวรรควรรณนาที่ ๕
จบปฐมปัณณาสก์
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. นาคสูตร ๒. มิคสาลาสูตร ๓. อิณสูตร ๔. มหาจุนทสูตร
๕. ปฐมสันทิฏฐิกสูตร ๖. ทุติยสันทิฏฐิกสูตร ๗. เขมสุมนสูตร ๘. อินทริย-
สังวรสูตร ๙. อานันทสูตร ๑๐. ขัตติยาธิปปายสูตร ๑๑. อัปปมาทสูตร
๑๒. ธรรมิกสูตร และอรรถกถา.

705
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 706 (เล่ม 36)

ทุติยปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๑
๑. โสณสูตร
ว่าด้วยพิณ ๓ สาย
[๓๒๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระโสณะอยู่ที่ป่าชื่อ สีตวัน ใกล้กรุงราชคฤห์
ครั้งนั้น ท่านพระโสณะหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่
เราก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนสาวกเหล่านั้น ก็แต่ว่าจิตของเรายังไม่หลุดพ้นจาก
อาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็โภคทรัพย์ย่อมมีอยู่ในสกุลของเรา เราอาจเพื่อใช้สอย
โภคทรัพย์และทำบุญได้ ผิฉะนั้น เราพึงบอกคืนสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ใช้สอย
โภคทรัพย์และพึงทำบุญเถิด.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบปริวิตกแห่งใจของท่านพระโสณะ
ด้วยพระทัย แล้วทรงหายจากภูเขาคิชฌกูฏ ไปปรากฏตรงหน้าท่านพระโสณะ
ที่ป่าสีตวัน เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่
เหยียดฉะนั้น ทรงประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ปูแล้ว แม้ท่านพระโสณะถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระโสณะว่า ดูก่อนโสณะ เธอหลีกออกเร้นอยู่ใน
ที่ลับ เกิดปริวิตกแห่งใจอย่างนี้มิใช่หรือว่า สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนสาวก

706
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 707 (เล่ม 36)

เหล่านั้น ก็แต่ว่าจิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ก็โภคทรัพย์
ย่อมมีอยู่ในสกุลของเรา เราอาจเพื่อใช้สอยโภคทรัพย์และทำบุญได้ ผิฉะนั้น
เราพึงบอกคืนสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ใช้สอยโภคทรัพย์ และพึงทำบุญเถิด.
ท่านพระโสณะทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอเมื่อก่อนยัง
อยู่ครองเรือนเป็นผู้ฉลาดในการดีดพิณมิใช่หรือ ?
โสณะ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก็สมัยใดสายพิณ
ของเธอตึงเกินไป สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะหรือ ย่อมควรแก่การ
ใช้หรือไม่ ?
โสณะ. ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนโสณะ เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมัยใดสายพิณ
ของเธอหย่อนเกินไป สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะ หรือย่อมควร
แก่การใช้หรือไม่ ?
โสณะ. ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนโสณะ ก็สมัยใด สายพิณของเธอไม่พึงเกินไป ไม่หย่อน
เกินไป ตั้งอยู่ในขนาดกลาง สมัยนั้น พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะ หรือ
ย่อมควรแก่การใช้หรือไม่ ?
โสณะ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนโสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมาก
เกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป
ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ดูก่อนโสณะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอ
จงตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ จงตั้งอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ และจง

707
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 708 (เล่ม 36)

ถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น ท่านพระโสณะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวสอนท่านพระโสณะด้วยพระโอวาทนี้
แล้วทรงหายจากป่าสีตวันไปปรากฏที่ภูเขาคิชฌกูฏ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มี
กำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
ครั้นสมัยต่อมา ท่านพระโสณะได้ตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ ได้ตั้ง
อินทรีย์ให้สม่ำเสมอ และได้ถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้นต่อมา ท่านพระโสณะ
หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจแน่วแน่อยู่ ได้
ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวช
เป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ต่อกาลไม่นานเลย
ได้ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แลท่านพระโสณะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ครั้งนั้น ท่านพระโสณะบรรลุอรหัตแล้ว ได้คิด
อย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วพึง
พยากรณ์อรหัตผลในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ลำดับนั้น ท่านพระโสณะ
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว
ปลงภาระลงได้แล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว หมดสิ้นกิเลสเครื่องประกอบ
ในภพ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้น้อมไปยังเหตุ ๖ ประการ
คือเป็นผู้น้อมไปยังเนกขัมมะ ๑ เป็นผู้น้อมไปยังความสงัด ๖ ประการ
ผู้น้อมไปยังความไม่เบียดเบียน ๑ เป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นตัณหา ๑
เป็นผู้น้อมไปยังความสิ้นอุปาทาน ๑ เป็นผู้น้อมไปยังความไม่หลง
ไหล ๑.

708
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 709 (เล่ม 36)

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้พึงมีความ
คิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ อาศัยคุณเพียงศรัทธาอย่างเดียวเป็นแน่
เป็นผู้น้อมไปยังเนกขัมมะ แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ ได้ทำกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็นกิจที่ตน
จะต้องทำ หรือไม่พิจารณาเห็นการเพิ่มพูนกิจที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็นผู้น้อม
ไปยังเนกขัมมะ เพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ เพราะสิ้นโทสะ
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้พึงมีความ
คิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ มุ่งหวังลาภ สักการะและการสรรเสริญ
เป็นแน่จึงน้อมไปยังความสงัด แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุ
ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็นกิจที่ตน
จะต้องทำ หรือไม่พิจารณาเห็นการเพิ่มพูนกิจที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยัง
ความสงัด เพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ เพราะสิ้นโทสะ
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พึงมี
ความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ ละสีลัพพตปรามาส กลับให้เป็น
แก่นสารเป็นแน่ จึงเป็นผู้นอบน้อมไปยังความไม่เบียดเบียน แต่ข้อนั้นไม่พึง
เห็นอย่างนี้ เพราะว่าภิกษุขีณาสพ ฯลฯ เป็นผู้น้อมไปยังความไม่เบียดเบียน
เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้น้อมไปยังความ
สิ้นตัณหา เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้น้อม
ไปยังความสิ้นอุปาทาน เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านผู้มีอายุบางรูปในธรรมวินัยนี้พึงมีความ
คิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุรูปนี้ ละสีลัพพตปรามาสกลับให้เป็นแก่นสาร

709
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 710 (เล่ม 36)

เป็นแน่จึงเป็นผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล แต่ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนี้ เพราะ
ว่าภิกษุขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่พิจารณาเห็น
ในกิจที่ตนจะต้องทำ หรือไม่พิจารณาเห็นการเพิ่มพูนกิจที่ทำแล้วอยู่ ย่อมเป็น
ผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล เพราะสิ้นราคะ เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ
เพราะสิ้นโทสะ เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโมหะ เพราะเป็นผู้
ปราศจากโมหะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ารูปที่พึงเห็นแจ้งด้วยจักษุแม้ดีเยี่ยมมาสู่คลอง
จักษุของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ไซร้ รูปนั้นไม่ครอบงำจิตของ
ท่านได้ จิตของท่านย่อมเป็นจิตไม่เจือด้วยกิเลส เป็นจิตตั้งมั่น ถึงความไม่
หวั่นไหวและท่านย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วย
จมูก ฯลฯ รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ฯลฯ
ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ แม้ดีเยี่ยม มาสู่คลองจักษุแห่งภิกษุ ผู้มีจิต
หลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ไซร้ ธรรมารมณ์นั้นย่อมไม่ครอบงำจิตของท่านได้
จิตของท่านย่อมเป็นจิตไม่เจือด้วยกิเลส เป็นจิตตั้งมั่นถึงความไม่หวั่นไหว
และท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น เปรียบเหมือน
ภูเขาศิลาที่ไม่มีช่อง ไม่มีโพรงเป็นแท่งทึบ ถึงแม้ลมฝนอันแรงกล้าพึงพัดมา
จากทิศบูรพาไซร้ ก็ไม่พึงยังภูเขาศิลานั้นให้หวั่นไหว ให้สะเทือนสะท้านได้
ถึงแม้ลมฝนอันแรงกล้าพึงพัดมาจากทิศประจิม ฯลฯ พึงพัดมาจากทิศอุดร ฯลฯ
พึงพัดมาจากทิศทักษิณไซร้ ก็ไม่พึงยังภูเขาศิลานั้นให้หวั่นไหว ให้สะเทือน
สะท้านได้ ฉะนั้น.
ท่านพระโสณะครั้น กล่าวดังนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ดังต่อไป
อีกว่า

710
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 711 (เล่ม 36)

จิตของภิกษุผู้น้อมไปยังเนกขัมมะ
ผู้น้อมไปยังความสงัดแห่งใจ ผู้น้อมไป
ยังความสิ้นตัณหา ผู้น้อมไปยังความสิ้น
อุปาทาน และผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหล
แห่งใจ ย่อมหลุดพ้นโดยชอบเพราะเห็น
ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งอายตนะ
ทั้งหลาย กิจที่ควรทำและการเพิ่มพูนกิจ
ที่ทำแล้ว ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้นผู้หลุดพ้น
แล้วโดยชอบ มีจิตสงบ ภูเขาศิลาเป็น
แท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลม ฉันใด
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรร-
มารมณ์ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ และ
อนิฏฐารมณ์ ย่อมยังจิตอันตั้งมั่นหลุดพ้น
วิเศษแล้ว ของภิกษุผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่
ได้ฉันนั้น และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็น
ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งจิต
นั้น ดังนี้.
จบโสณสูตรที่ ๑

711
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 712 (เล่ม 36)

ทุติยปัณณาสก์
มหาวรรควรรณนาที่ ๑
อรรถกถาโสณสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในโสณสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๑ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โสโณ ได้แก่ พระโสณเถระผู้สุขุมาลชาติ. บทว่า สีตวเน
ได้แก่ ในป่าช้าที่มีชื่ออย่างนี้ (สีตวัน).
เล่ากันว่า ในป่าช้านั้นเขาสร้างที่จงกรมไว้ ๕๐๐ แห่ง (เรียงรายกัน)
ตามลำดับ. บรรดาที่จงกรม ๕๐๐ แห่งนั้น พระเถระเลือกเอาที่จงกรม (แห่ง
หนึ่ง) ซึ่งเป็นที่สัปปายะสำหรับตน แล้วบำเพ็ญสมณธรรม. เมื่อพระเถระนั้น
ปรารภความเพียรเดินจงกรมอยู่ พื้นเท้าก็แตก. เมื่อท่านคุกเข่าเดินจงกรม
ทั้งเข่าทั้งฝ่ามือก็แตกเป็นช่อง ๆ. พระเถระปรารภความเพียรอยู่อย่างนั้น
ก็ไม่สามารถเห็นแม้แต่โอภาสหรือนิมิต. เพื่อแสดงถึงวิตกที่เกิดขึ้นแก่พระโสณะ
นั้น ผู้ลำบากกายด้วยความเพียรแล้วนั่ง (พัก ) อยู่บนแผ่นหิน (ซึ่งตั้งอยู่) ใน
ที่สุดที่จงกรม พระอานนทเถระจึงกล่าวคำว่า อถโข อายสฺมโต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อารทฺธวิริยา ได้แก่ ประคองความเพียร
ไว้เต็มที่. บทว่า น อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ ความว่า พระ
โสณะปลงใจเชื่อว่า ก็ถ้าว่า เราจะพึงเป็นอุคฆฎิตัญญู วิปจิตัญญู หรือเนยยะ
ไซร้ จิตของเราจะพึงหลุดพ้นได้อย่างแน่นอน แต่นี่เราเป็นปทปรมบุคคล
แท้ทีเดียว จิตของเราจึงไม่หลุดพ้น ดังนี้ แล้วคิดถึงเหตุมีอาทิว่าก็โภคทรัพย์
แลมีอยู่ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โภคา เป็นปฐมาวิภัตติ ใช้ในความหมาย

712