หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 574 (เล่ม 3)

แก่เธอ. แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอ ศึกษาตามอยู่ จักสำคัญ
ข้อที่ตนควรอยู่ในป่าด้วย. อนึ่ง ภิกษุรูปใด มีกำลังอ่อนแอ มีเรื่ยวแรง
น้อย ย่อมอาจจะกระทำที่สุดทุกข์ได้ในแดนบ้านเท่านั้น ในป่าไม่อาจ,
ภิกษุนั้นจงอยู่แต่ในเขตบ้านนั้น ก็ได้ ส่วนภิกษุรูปใด ซึ่งมีกำลังแข็งแรง
มีธาตุเป็นไปสม่ำเสมอ สมบูรณ์ด้วยอธิวาสนขันติ มีจิตคงที่ ในอิฎ-
ฐารมณ์และอนิฎฐารมณ์ ย่อมอาจทั้งในป่าทั้งในแดนบ้านทีเดียว. แม้
รูปนี้ จงละเสนาสนะใกล้แดนบ้านเสียแล้ว อยู่ในป่าเถิด, การอยู่ในป่านี้
สมควรแก่เธอ. แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอ ศึกษาตามอยู่ จัก
สำคัญข้อที่ตนควรอยู่ป่า.
ส่วนภิกษุนี้ใด ซึ่งไม่อาจทั้งในแดนบ้าน ไม่อาจทั้งในบ่า เป็น
ปทปรมบุคคล, แม้รูปนี้ ก็จงอยู่ในป่านั้นเถิด. เพราะว่า การเสพ
ธุดงคคุณ และการเจริญกรรมฐานนี้ของเธอ จักเป็นอุปนิสัยเพื่อมรรค
และผลต่อไป (ในอนาคต). แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอเมื่อศึกษา
ตาม จักสำคัญข้อที่ตนควรอยู่ป่า ฉะนี้แล. ภิกษุนี้ใด ซึ่งเป็นผู้มีกำลัง
อ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อยอย่างนี้ เมื่ออยู่ในแดนบ้านเท่านั้น จึงอาจเพื่อ
จะทำที่สุดทุกข์ได้ ในป่า ไม่อาจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงบุคคล
เช่นนี้ จึงตรัสว่า โย อิจฺฉติ คามนฺเต วิหรตุ (ภิกษุใดปรารถนา,)
ภิกษุนั้นจงอยู่ในแดนบ้านเถิด) ดังนี้. และบุคคลนี้ ได้ให้ช่องแม้แก่
คนเหล่าอื่น.
ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงทรงรับรองวาทะของพระเทวทัต
ไซร้, บุคคลนี้ใด ซึ่งมีกำลังอ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อยตามปกติ, ถึง
บุคคลใดสามารถอยู่ในป่าสำเร็จได้แต่ในเวลายังเป็นหนุ่ม ต่อมาในเวลา

574
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 575 (เล่ม 3)

แก่ตัวลง หรือในเวลาเกิดธาตุกำเริบ เพราะลมและดีเป็นต้นอยู่ป่าไม่
สำเร็จ, แต่เมื่ออยู่ในแดนบ้านเท่านั้น จึงอาจกระทำที่สุดทุกข์ได้. บุคคล
เหล่านั้น จะพึงสูญเสียอริยมรรคไป ไม่พึงบรรลุอรหัตผลได้, สัตถุศาสน์
พึงกลายเป็นนอกธรรมนอกวินัย ยุ่งเหยิง ไม่เป็นไปเพื่อนำออกจากทุกข์.
และพระศาสดาจะพึงเป็นผู้มิใช่พระสัพพัญญูของบุคคลจำพวกนั้น ทั้งจะ
พึงถูกตำหนิติเตียนว่า ทรงทิ้งวาทะของพระองค์เสีย ไปตั้งอยู่ในวาทะ
ของพระเทวทัต ดังนี้.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงสงเคราะห์บุคคล
ทั้งหลายผู้เห็นปานนี้ จึงทรงปฎิเสธวาทะของพระเทวทัต. ในเรื่องแห่ง
ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรก็ดี ในเรื่องแห่งภิกษุผู้ถือผ้าบังสกุลเป็น
วัตรก็ดี ในเรื่องแห่งภิกษุผู้ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอด ๘ เดือนก็ดี พึง
ทราบวินิจฉัยโดยอุบายนี้นั่นแล. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงห้ามเสนาสนะ
โคนไม้ตลอด ๔ เดือน (ฤดูฝน) เท่านั้น.
[ปลาเนื้อบริสุทธิ์โดยส่วน ๓ เป็นกัปปิยมังสะควรฉันได้]
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องปลาและเนื้อ ดังนี้:-
บทว่า ติโกฏิปริสุทฺธํ ได้แก่ บริสุทธิ์โดยส่วน ๓. อธิบายว่า
เว้นจากที่ไม่บริสุทธิ์ มีการเห็นเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ.
บรรดามังสะ ๓ อย่างนั้น มังสะที่ชื่อว่า ไม่ได้เห็น คือ ไม่เห็น
ชาวบ้านฆ่าเนื้อและปลา เอามาเพื่อประโยชน์แก่พวกภิกษุ. ที่ชื่อว่า
ไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ยินว่า พวกชาวบ้านฆ่าเนื้อ ปลา เอามาเพื่อ

575
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 576 (เล่ม 3)

ประโยชน์แก่พวกภิกษุ, ส่วนที่ไม่ได้รังเกียจ ผู้ศึกษาควรรู้จักมังสะที่
รังเกียจด้วยการเห็น รังเกียจด้วยการได้ยิน และที่รังเกียจพ้นจากเหตุ
ทั้งสองนั้น แล้วพึงทราบโดยส่วนตรงกันข้ามจากสามอย่างนั้น.
คือ อย่างไร ? คือว่า พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นพวกชาว
บ้านถือแหและตาข่ายเป็นต้น กำลังออกไปจากบ้าน หรือกำลังเที่ยว
ไปในป่า. และในวันรุ่งขึ้น พวกชาวบ้านนำบิณฑบาตมีปลาและเนื้อมา
ถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้เข้าไปยังบ้านนั้นเพื่อบิณฑบาต. ภิกษุเหล่านั้น
รังเกียจด้วยการได้เห็นนั้นว่า พวกชาวบ้านทำเนื้อเพื่อประโยชน์แก่พวก
ภิกษุหรือหนอแล ? มังสะนี้ ชื่อว่า รังเกียจโดยได้เห็นมา. จะรับมังสะ
เช่นนั้น ไม่ควร. มังสะที่ไม่ได้รังเกียจเช่นนั้นจะรับ ควรอยู่. ก็ถ้า
พวกชาวบ้านเหล่านั้น ถามว่า ทำไม ขอรับ ! ท่านจึงไม่รับ ? ได้ฟัง
ความนั้นแล้ว พูดว่า มังสะนี้ พวกกระผมไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์
แก่ภิกษุทั้งหลาย, พวกกระผมกระทำเพื่อประโยชน์แก่ตนบ้าง เพื่อประ-
โยชน์แก่ข้าราชการเป็นต้นบ้าง ดังนี้, มังสะนั้น ควร.
ภิกษุทั้งหลายหาเห็นไม่แล, แต่ได้ฟังว่า ได้ยินว่า พวกชาวบ้าน
มีมือถือแหและตาข่ายออกจากบ้าน หรือเที่ยวไปในป่า และในวันรุ่งขึ้น
พวกชาวบ้านนำบิณฑบาตมีปลาและเนื้อมาถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้เข้าไป
ยังบ้านนั้น เพื่อบิณฑบาต. พวกเธอสงสัยด้วยการได้ยินนั้นว่า เขาทำ
เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย หรืออย่างไรหนอ ? มังสะนี้ ชื่อว่า
รังเกียจด้วยได้ยินมา. จะรับมังสะนั้น ไม่ควร. มังสะที่ไม่ได้สงสัยอย่างนี้
จะรับ ควรอยู่. ก็ถ้าพวกชาวบ้านเหล่านั้น ถามว่า ทำไม ขอรับ !
ท่านจึงไม่รับเล่า ? ได้ฟังความนั้นแล้ว จึงพูดว่า มังสะนี้ พวกกระผม

576
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 577 (เล่ม 3)

ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย, พวกกระผมทำเพื่อประโยชน์แก่
ตนเองบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ข้าราชการเป็นต้นบ้าง ดังนี้, มังสะนั้น
ควรอยู่.
อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟังมาเลย, แต่เมื่อพวกภิกษุ
เหล่านั้นเข้าไปยังบ้านนั้นเพื่อบิณฑบาต ชาวบ้านรับบาตรไปแล้ว จัด
บิณฑบาตมีปลา เนื้อ นำมาถวาย. พวกเธอรังเกียจว่า มังสะนี้ เขาทำ
เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย หรืออย่างไรหนอ ? นี้ชื่อว่า มังสะที่
รังเกียจพ้นจากเหตุทั้งสองนั้น. แม้มังสะเช่นนั้น ก็ไม่สมควรรับ. มังสะ
ที่ไม่ได้รังเกียจอย่างนั้น จะรับ ควรอยู่ ก็ถ้าว่าพวกชาวบ้านเหล่านั้น
ถามว่า ทำไม ขอรับ ! พวกท่านจึงไม่รับ ? แล้วได้ฟังความนั้น จึง
พูดว่า มังสะนี้ พวกกระผมไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย,
พวกกระผมกระทำเพื่อประโยชน์แก่ตนบ้าง เพื่อประโยชน์แก่พวกข้าราช-
การเป็นต้นบ้าง, หรือว่า พวกกระผมได้ปวัตตมังสะ เฉพาะที่เป็นกัปปิยะ
เท่านั้น จึงปรุงให้สำเร็จเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย มังสะนั้น ควรอยู่.
แม้ในมังสะที่เขาทำเพื่อประโยชน์แห่งเปตกิจ แก่ผู้ตายไปแล้วก็ดี เพื่อ
ประโยชน์ แก่งานมงคลเป็นต้นก็ดี ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. จริงอยู่
มังสะชนิดใด ๆ ที่เขาไม่ได้กระทำเพื่อภิกษุทั้งหลายเลย และภิกษุก็ไม่มี
ความสงสัยในมังสะใด, มังสะนั้น ๆ ควรทั้งนั้น.
ก็ถ้าว่า มังสะที่เขาทำอุทิศพวกภิกษุในวิหารหนึ่ง และพวกเธอ
ไม่ทราบว่าเขากระทำเพื่อประโยชน์ตน, แต่ภิกษุพวกอื่นรู้ พวกใดรู้
ไม่ควรแก่พวกนั้น. พวกอื่นไม่รู้ แต่พวกเธอเท่านั้นรู้, ย่อมไม่ควร
เฉพาะพวกเธอนั้น, แต่ควรสำหรับพวกอื่น. แม้พวกเธอรู้อยู่ว่า เขา

577
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 578 (เล่ม 3)

กระทำเพื่อประโยชน์แก่พวกเรา, ถึงภิกษุพวกอื่นก็รู้ว่า เขาทำเพื่อ
ประโยชน์แก่ภิกษุพวกนี้ ไม่ควรแก่พวกเธอทั้งหมด. พวกภิกษุทั้งหมด
ไม่รู้, ย่อมควรแก่พวกเธอทั้งหมด. บรรดาสหธรรมิกทั้ง ๕ มังสะอัน
เขาทำเจาะจงเพื่อประโยชน์แก่สหธรรมิกรูปใดรูปหนึ่งหนึ่งก็ตาม ย่อมไม่สม
ควรแก่สหธรรมิกทั้งนั้น.
ถามว่า ก็ถ้าว่า มีบุคคลบางคนฆ่าสัตว์ เจาะจงภิกษุรูปหนึ่งบรรจุ
บาตรให้เต็มแล้ว ถวายแก่ภิกษุรูปนั้น และเธอรู้อยู่ด้วยว่า มังสะเขา
กระทำเพื่อประโยชน์ตน รับไปแล้วถวายแก่ภิกษุรูปอื่น ภิกษุรูปอื่นนั้น
ฉันด้วยเชื่อภิกษุนั้น, ใครต้องอาบัติเล่า ?
ตอบว่า ไม่ต้องอาบัติแม้ทั้งสองรูป.
ด้วยว่า มังสะที่เขาทำเฉพาะภิกษุใด ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น
เพราะเธอไม่ได้ฉัน, และไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนอกนี้ เพราะไม่รู้. แท้จริง
ในการรับกัปปิยมังสะ ไม่เป็นอาบัติ. แต่ภิกษุไม่รู้ ฉันมังสะที่เขากระทำ
เจาะจง ภายหลังรู้เข้า กิจด้วยการแสดงอาบัติ ไม่มี. ส่วนภิกษุไม่รู้
ฉันอกัปปิยมังสะ แม้ภายหลังรู้เข้า พึงแสดงอาบัติ. จริงอยู่ เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้รู้แล้ว ฉันมังสะที่เขาทำเจาะจง. และเป็นอาบัติเหมือนกัน แม้
แก่ภิกษุผู้ไม่รู้ ฉันอกัปปิยมังสะ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้เกรงกลัวต่ออาบัติ
แม้เมื่อกำหนดรูปการณ์ พึงถามก่อนแล้วจึงรับประเคนมังสะ, จะรับ
ประเคนด้วยใจตั้งว่า ในเวลาฉันเราจักถามแล้ว จึงจะฉัน ควรถามก่อน
แล้ว จึงฉัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะมังสะรู้ได้ยาก.

578
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 579 (เล่ม 3)

ความจริง เนื้อหมี ก็คล้ายกับเนื้อสุกร. เนื้อเสือเหลืองเป็นต้น ก็เหมือน
กับเนื้อมฤคเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น เพราะอาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
การถามแล้วจึงรับประเคนนั่นแล เป็นธรรนเนียม.
[แก้อรรถตอนพระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕]
สองบทว่า หฏฺโฐ อุหคฺโค ได้แก่ เป็นผู้ยินดีแล้ว และมีกาย
ใจฟูขึ้นแล้ว.
ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต
วัตถุ ๕ เหล่านี้, บัดนี้ เราจักอาจเพื่อทำสังฆเภท ดังนี้ จึงได้แสดง
อาการลิงโลดแก่พระโกกาลิก ไม่รู้ว่าทุกข์ที่ตนจะพึงบังเกิดในอเวจีแล้ว
เสวย แม้ซึ่งใกล้เข้ามาเพราะสังฆเภทเป็นปัจจัย ร่าเริงเบิกบานใจว่า
บัดนี้ เราได้อุบาย เพื่อทำลายสงฆ์ เหมือนดังบุรุษผู้ประสงค์จะกินยาพิษ
ตาย หรือประสงค์จะเอาเชือกผูกคอตาย หรือประสงค์จะเอาศัสตรามาฆ่า
ตัวตาย ได้วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง มียาพิษเป็นต้น ไม่รู้จักทุกข์ คือ
ความตายแม้ใกล้เข้ามา เพราะการกินยาพิษเป็นต้นนั้นเป็นปัจจัย เป็นผู้
ร่าเริงเบิกบานใจอยู่ ฉะนั้น จึงพร้อมด้วยบริษัทลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเป็นผู้ร่าเริงนั่นแล ได้กระทำประทักษิณแล้ว
หลีกไป.
ก็ในคำว่า เต มยํ อิเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหิ สมาทาย วตฺตาม
นี้ แม้เมื่อพระเทวทัตควรจะกล่าวคำว่า อิมานิ ปญฺจ วตฺถูนิ ดังนี้
ไม่ทันได้สังเกตความผิดพลาดแห่งวิภัตติ ด้วยอำนาจแห่งวิตกเนือง ๆ ว่า
เต มยํ อเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหิ ชนํ สญฺญาเปสฺสาม (พวกเรานั้น)

579
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 580 (เล่ม 3)

จักยังประชาชนให้ยินยอมด้วยวัตถุ ๕ เหล่านี้) ดังนี้ จึงกล่าวตามควร
แก่ความรำพึงเนือง ๆ นั่นแลว่า เต มยํ อิเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหิ...
(พวกเรานั้นจะสมาทานประพฤติด้วยวัตถุ ๕ เหล่านี้) เหมือนกับคนมีจิต
ฟุ้งซ่านฉะนั้นแล.
สองบทว่า ธุตา สลฺเลขวุตฺติโน มีความว่า ผู้ชื่อว่า ธุตะ เพราะ
เป็นผู้ประกอบด้วยปฏิปทาอันกำจัดเสียซึ่งกิเลส, และผู้ชื่อว่ามีความประ-
พฤติขัดเกลา เพราะภิกษุเหล่านี้ มีความประพฤติขัดเกลากิเลสทั้งหลาย.
บทว่า พาหุลฺลิโก มีความว่า ภาวะที่ปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น มีมาก
ชื่อว่า พาหุลละ. ความที่ปัจจัย ๔ มีมาก มีแก่พระโคดมนั้น; เหตุนั้น
พระโคดมนั้น ชื่อว่า พาหุลลิกะ อีกอย่างหนึ่ง พระโคดมนั้น เป็นผู้
ประกอบ คือตั้งอยู่ในความมีปัจจัยมากนั้น; เหตุนั้น จึงชื่อว่า พาหุลลิกะ
(เป็นผู้มีความมักมาก).
สองบทว่า พาหุลฺลาย เจเตติ มีความว่า ย่อมคิด คือย่อมดำริ
ย่อมตรึก เพื่อต้องการความมีปัจจัยมาก. อธิบายว่า ผู้ถึงความขวนขวาย
อย่างนี้ว่า ทำอย่างไรหนอ ความเป็นผู้มีปัจจัย มีจีวรเป็นต้นมาก จะพึง
มีแก่เราและสาวกของเรา.
[แก้อรรถตอนตรัสประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท]
หลายบทว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า ทรงกระทำ ธรรมีกถา
อันสมควรในขณะนั้น คือเหมาะสมในขณะนั้น แก่พระเทวทัตและแก่
ภิกษุทั้งหลายเป็นอเนกประการ โดยนัยที่ตรัสไว้ในขันธกะ มีอาทิอย่างนี้ว่า
อย่าเลย เทวทัต ! การทำลายสงฆ์ อย่าเป็นที่ชอบใจแก่เธอเลย, ดูก่อน
เทวทัต ! การทำลายสงฆ์ หนักแล. ดูก่อนเทวทัต ! บุคคลใดแล ทำลาย

580
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 581 (เล่ม 3)

สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน, ผู้นั้น จะประสบกรรมอันหยาบช้า คงอยู่ชั่วกัป,
ดูก่อนเทวทัต ! ส่วนบุคคลใดแล กระทำสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้สมัคร
สมานกัน, ผู้นั้นย่อมประสบบุญอันประเสริฐ บันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป
ดังนี้.
บทว่า สมคฺคสฺส ได้แก่ ผู้ร่วมกัน, อธิบายว่า ผู้ไม่แยกกัน
ทั้งทางใจและทางกาย. จริงอยู่ แม้ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ได้ทรงแสดงเนื้อความอย่างนั้นเหมือนกัน.
แท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสว่า สมานสํวาสโก ย่อมเป็น
อันทรงแสดงความไม่แยกกันทางจิต.
เมื่อตรัสว่า สมานสีมายํ  ิโต ย่อมเป็นอันทรงแสดงความไม่
แยกกันทางกาย. คืออย่างไร ? คือว่า ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน เว้นจาก
ผู้มีสังวาสต่างกันโดยลัทธิ หรือผู้มีสังวาสต่างกันโดยกรรม ชื่อว่าเป็นผู้
ไม่แยกกันทางจิต เพราะมีจิตเสมอกัน, ผู้ตั้งอยู่ในสีมาเสมอกัน ชื่อว่า
เป็นผู้ไม่แยกกันทางกาย เพราะให้กายสามัคคี.
สองบทว่า เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณํ ได้แก่ เหตุที่เป็นไป
เพื่อแตกแยกกัน คือเพื่อต้องการทำลายสงฆ์.
จริงอยู่ ในโอกาสนี้ เหตุท่านประสงค์เอาว่า อธิกรณ์ ดุจใน
ประโยคว่า กามเหตุ กามนิทานํ กามาธิกรณํ (แปลว่า มีกาม
เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเหตุ มีกามเป็นมูลเหตุ). ก็เพราะอธิกรณ์นั้นมี
๑๘ ประการ; ฉะนั้น ในบทภาชนะพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วัตถุ
กระทำความแตกแยกกันมี ๑๘ อย่าง. ก็เภทกรวัตถุเหล่านั้นมาแล้วใน
ขันธกะโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดง

581
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 582 (เล่ม 3)

อธรรมว่า ธรรม ดังนี้. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักพรรณนาเนื้อความแห่ง
เภทกรวัตถุเหล่านั้นในขันธกะนั้นนั่นแล. อนึ่ง สังฆเภทนี้ แม้ใด อาศัย
วัตถุเหล่านี้ ย่อมมีโดยเหตุอื่นอีก ๕ ประการ คือ โดยกรรม ๑ โดยอุเทศ ๑
โดยโวหาร ๑ โดยอนุสาวนา ๑ โดยการจับสลาก ๑, ข้าพเจ้าจักประกาศ
สังฆเภทแม้นั้น ในอาคตสถานนั่นแล. แต่โดยสังเขปในคำว่า ถือเอา
อธิกรณ์ที่เป็นไปเพื่อความแตกแยกกัน นี้ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความอย่าง
นี้ว่า ถือเอาเหตุที่เป็นไปเพื่อต้องการทำลายสงฆ์ คืออันสามารถให้สำเร็จ
การทำลายสงฆ์ได้.
บทว่า ปคฺคยฺห ได้แก่ ประคอง คือยกย่อง ทำให้ปรากฎ.
บทว่า ติฏฺเฐยฺย มีความว่า ยืนยันให้เป็นอย่างที่ตนถือเอาแล้ว
คืออย่างที่ตนยกย่องแล้วนั่นแลอยู่. ก็เพราะอธิกรณ์นั้น. ย่อมเป็นอัน
ภิกษุผู้ประคองและยืนยันอย่างนั้น แสดงแล้วและไม่สละคืน; ฉะนั้น
ในบทภาชนะพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พึงแสดง และว่า ไม่พึงสละคืน
ดังนี้
คำว่า ภิกฺขูหิ เอวมสฺส วจนีโย มีความว่า ภิกษุนั้น เป็น
ผู้อันพวกลัชชีภิกษุเหล่าอื่นจะพึงว่ากล่าวอย่างนี้.
ก็ในบทภาชนะแห่งบทว่า ภิกฺขูหิ นั้น มีวินิจฉัยดังนี้:- คำว่า
เย ปสฺสนฺติ มีความว่า ภิกษุเหล่าใดเห็นภิกษุนั้นผู้ยกย่องยันอยู่ต่อหน้า.
คำว่า เย สุณนฺติ มีความว่า แม้ภิกษุเหล่าใด ได้ยินว่า พวกภิกษุ
ในวิหารชื่อโน้น ถือเอาอธิกรณ์อันเป็นไปเพื่อความแตกกันยกย่องยันอยู่.
คำว่า สเมตายสฺมา สงฺเฆน มีความว่า ท่านผู้มีอายุ ขอจงร่วม
จงสมาคม จงเป็นผู้มีลัทธิอันเดียวกันกับด้วยสงฆ์.

582
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 583 (เล่ม 3)

ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะว่า สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่
วิวาทกัน มีอุเทศเดียวกัน ย่อมอยู่เป็นผาสุก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺโมทมาโน มีความว่า บันเทิงอยู่
ด้วยดีด้วยสมบัติ (มีศีลเป็นต้น ) ของกันและกัน
บทว่า อวิวทมาโน มีความว่า ไม่วิวาทกันอย่างนี้ นี้ธรรม
นี้มิใช่ธรรม.
สงฆ์นั้นมีอุเทศอันเดียวกัน; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอกุทเทส
(มีอุเทศเดียวกัน ). อธิบายว่า มีปาฏิโมกขุทเทส เป็นไปร่วมกันไม่
แยกกัน.
สองบทว่า ผาสุวิหรติ ได้แก่ ย่อมอยู่เป็นสุข.
คำว่า อิจฺเจตํ กุสลํ มีความว่า การสละเสียได้นั้น เป็นกุศล
คือปลอดภัย ได้แก่เป็นสวัสดิภาพแก่ภิกษุนั้น.
ข้อว่า โน เจ ปฏินิสฺสชฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ได้แก่ เป็น
ทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ถูกสวด ๓ ครั้ง แล้วไม่สละคืน.
ข้อว่า สุตฺวา น วทนฺติ อาปตฺติ ทุกฺกกสฺส มีความว่า เป็นทุกกฏ
แม้แก่พวกภิกษุ ผู้ได้ยินแล้วไม่ว่ากล่าว ในที่ไกลเท่าไร จึงเป็นทุกกฏ
แก่พวกภิกษุผู้ได้ยินแล้วไม่ว่ากล่าว. ในวิหารเดียวกัน ไม่มีคำที่จะพึง
กล่าวเลย. ส่วนในอรรถกถา ท่านกล่าวว่า ในระยะทางกึ่งโยชน์โดยรอบ
จัดเป็นภาระของภิกษุทั้งหลาย. ความพ้นจากอาบัติย่อมไม่มี แม้แก่ภิกษุ
ผู้ส่งทูตหรือจดหมายไปพูด. พึงไปห้ามเองทีเดียวว่า ท่านผู้มีอายุ !
การทำลายสงฆ์ เป็นการหนัก, เธออย่าพยายามเพื่อทำลายสงฆ์. แต่ภิกษุ

583