No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 183 (เล่ม 36)

ตรัสว่า เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก. . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบด้วยคบเพลิง มีทุกข์มาก. . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง มีทุกข์มาก. . . กามทั้งหลายพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก. . .กามทั้งหลายพระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยของขอยืม มีทุกข์มาก. . . กามทั้งหลายพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์มาก. . .กามทั้งหลายพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยดาบและของมีคม มีทุกข์มาก...กามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยหอกและหลาว มีทุกข์มาก... กาม
ทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยหัวงู มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก มีโทษยิ่งใหญ่ ขอท่านผู้มีอายุ จงยินดียิ่งในพรหมจรรย์ จงอย่า
ทำให้แจ้งซึ่งควานเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์
เธออันพวกเพื่อนพรหมจรรย์กล่าวสอน พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่า อาวุโส กาม
ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับ
แค้นมาก มีโทษยิ่งใหญ่ ก็จริง แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์
สืบต่อไปได้ จักทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมา
เพื่อเป็นคฤหัสถ์ นักรบนั้นถือดาบและโล่ ฯ ล ฯ เขาอันหมู่ญาติพยาบาล
รักษาอยู่ก็ได้ตายเพราะอาพาธนั้น แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
บุคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบ
อาชีพจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมอาศัยบ้านหรือนิคมบางแห่งอยู่ ครั้นเวลา
เช้า เธอนุ่งสบงถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปยังบ้านหรือนิคมนั้นเพื่อบิณฑบาต
ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา. . . บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ เพื่อ
ไปอารามบอกพวกภิกษุว่า อาวุโส ข้าพเจ้าถูกราคะย้อมแล้ว. . .บอกคืนสิกขา

183
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 184 (เล่ม 36)

เวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ พวกเพื่อนพรหมจรรย์จึงกล่าวสิ้น พร่ำสอนเธอว่า
อาวุโส กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจาตรัสว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์
มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษยิ่งใหญ่ กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบด้วยร่างกระดูก. . . เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ. . . เปรียบด้วยคบ
เพลิง. . . เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง. . . เปรียบด้วยความฝัน. . . เปรียบ
ด้วยของขอยืม. . . เปรียบด้วยผลไม้. . . เปรียบด้วยดาบและของมีคม . . .
เปรียบด้วยหอกและหลาว. . . เปรียบด้วยหัวงู มีความยินดีน้อย มีทุกข์
มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษยิ่งใหญ่ ขอท่านผู้มีอายุจงยินดียิ่งในพรหม-
จรรย์ จงอย่าทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อ
เป็นคฤหัสถ์ เธออันพวกเพื่อนพรหมจรรย์กล่าวสอน พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ จึง
กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ข้าพเจ้าจักขะมักเขม้น จักทรงไว้ จักยินดียิ่ง จักไม่
กระทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็น
คฤหัสถ์ ณ บัดนี้ นักรบนั้นถือดาบและโล่. . . เขาอันหมู่ญาติพยาบาล
รักษาอยู่ ก็ได้หายจากอาพาธนั้น แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบ
อาชีพจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมอาศัยบ้านหรือนิคมบางแห่งอยู่ ครั้นเวลา
เช้า เธอนุ่งสบงถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปยังบ้านหรือนิคมนั้นเพื่อบิณฑบาต
รักษากาย รักษาวาจา รักษาจิต มีสติตั้งมั่นสำรวมอินทรีย์ เธอเห็นรูปด้วย
จักษุแล้ว ย่อมไม่ถือโดยนิมิต ย่อมไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
สำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศล
คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมใน
จักขุนทรีย์ ฟังเสียงด้วยหู. . .ดมกลิ่นด้วยจมูก. . . ลิ้มรสด้วยลิ้น. . . ถูก

184
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 185 (เล่ม 36)

ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย. . . รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่ถือโดยนิมิต
ย่อมไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวม
แล้ว พึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำ
ได้ ย่อมรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ เธอกลับจากบิณฑบาต
ภายหลังภัตแล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา
ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธออยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง
ย่อมนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอย่อมละ
อภิชฌาในโลกเสีย ฯ ล ฯ เธอละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็นเครื่องเศร้า
หมองใจ ทำปัญญาให้ทุรพลได้แล้ว สงัดจากกาม ฯ ล ฯ บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้
อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว
อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เธอย่อมรู้ชัดตามความ
เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก นักรบ
อาชีพนั้นถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งแล้ว เข้าสนามรบ เขาชนะ
สงครามแล้ว เป็นผู้พิชิตสงคราม ยึดครองค่ายสงครามนั้นไว้ได้ แม้ฉันใด
เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้
นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๕ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล
มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
จบทุติยโยธาชีวสูตรที่ ๖

185
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 186 (เล่ม 36)

อรรถกถาทุติยโยธาชีวสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยโยธาชีวสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า อสิจฺมฺมํ คเหตฺวา ได้แก่ ถือดาบและโล่. บทว่า ธนุกลาปํ
สนฺนยฺหิตฺวา ได้แก่ สอดธนูและแล่งธนู. บทว่า วิยุฬฺหํ ได้แก่ ตั้งอยู่
โดยการเผชิญหน้าพร้อมรบ [ประชิด]. บทว่า สงฺคามํ โอตรติ ได้แก่
เข้ารบใหญ่. บทว่า อุสฺสหติ วายํมติ ได้แก่ ทำความอุตสาหะพยายาม.
บทว่า หนนฺติ แปลว่า ฆ่า บทว่า ปริยาเทนฺติ ได้แก่ ยื้อยุด. บทว่า
อุปลิกขนฺติ ได้แก่ แทง. บทว่า อปเนนฺติ ได้แก่ พาทหารฝ่ายตนไป.
บทว่า อปเนตฺวา ณาตกานํ เนนฺติ ได้แก่ นำทหารฝ่ายตนไปส่งให้ญาติ.
บทว่า นียนาโน ได้แก่ นำไปสู่เรือนตน หรือสำนักญาติที่เหลือ. บทว่า
อุปฏฐหนฺติ ปริจรนฺติ ได้แก่ กระทำความสะอาดเครื่องประหาร และ
สมานแผลเป็นต้น บำรุงคุ้มครอง.
บทว่า อรกฺขิเตเนว กาเยน ได้แก่ มีกายทวารอันมิได้รักษา.
บทว่า อรกฺขิตาย วาจาย ได้แก่ มีวจีทวารอันมิได้รักษา. บทว่า อรกฺขิ-
เตน จิตฺเตน ได้แก่ มีมโนทวารอันมิได้รักษา. บทว่า อนุปฏฺฐิตาย
สติยา ได้แก่ ไม่ทำสติให้ตั้งด้วยดี. บทว่า อสํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิ ได้แก่
มีอินทรีย์ที่มีใจเป็นที่ ๖ อันมิได้ระวังมิได้คุ้มครองแล้ว. บทว่า ราโค จิตฺตํ
อนุทฺธํเสติ ได้แก่ ราคะเมื่อเกิดขึ้น ย่อมกำจัดจิตในสมถะและวิปัสสนา คือ
เหวี่ยงไปเสียไกล.
บทว่า ราคายิโตมฺหิ อาวุโส ราคปเรโต ความว่า ผู้มีอายุ
ผมถูกราคะย้อมแล้ว ถูกราคะตามถึงแล้ว.

186
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 187 (เล่ม 36)

ในบทว่า ฃอฏฺฐิกงฺกสูปมา เป็นต้น กามทั้งหลายเปรียบเหมือน
ท่อนกระดูก เพราะอรรถว่ามีความอร่อยน้อย เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ เพราะ
อรรถว่าทั่วไปแก่คนจำนวนมาก เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า เพราะอรรถว่า
ตามเผาผลาญ เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง เพราะอรรถว่าทำความเร่าร้อน
มาก เปรียบเหมือนความฝัน เพราะอรรถว่าปรากฏขึ้นนิดหน่อย เปรียบ-
เหมือนของยืมเขามา เพราะอรรถว่าอยู่ได้ชั่วคราว เปรียบเหมือนผลไม้
เพราะอรรถว่าการหักหมดทั้งต้น เปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ เพราะอรรถว่าเป็น
ที่รองมีดสับ เปรียบเหมือนปลายหอก เพราะอรรถว่าทิ่มแทง เปรียบเหมือน
หัวงู เพราะอรรถว่า น่าสงสัยน่ามีภัย.
บทว่า อุสฺสทิสฺสามิ ได้แก่ จักทำอุตสาหะ. บทว่า ธารยิสฺสามิ
ได้แก่ จักทรงความเป็นสมณะไว้. บทว่า อภิรมิสฺสามิ ได้แก่ จักทำความ
ยินดียิ่ง [ในพรหมจรรย์] ให้เกิดขึ้น อธิบายว่า จักไม่กระสันสึก. คำที่เหลือ
ในสูตรนี้ง่ายทั้งนั้น. ในพระสูตรนี้ตรัสทั้งวัฏฏะทั้งวิวัฏฏะแล.
จบอรรถกถาทุติยโยธาชีวสูตรที่ ๖
๗. ปฐมอนาคตสูตร
ว่าด้วยภัยในอนาคต ๕ ประการ
[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคต ๕
ประการนี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรม
ที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำ
ให้แจ้ง ภัย ๕ ประการเป็นไฉน คือ

187
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 188 (เล่ม 36)

ภิกษุผู้อยู่ป่าในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่
ในป่าผู้เดียว งูพึงกัดเรา แมลงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เพราะ
การกัดต่อยแห่งสัตว์เหล่านั้น เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น
เราจะปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า
เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว
เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรม
ที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่
ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว พึงพลาดล้มลง ภัตตาหารที่ฉันแล้ว
ไม่ย่อย ดีของเราพึงกำเริบ เสมหะพึงกำเริบ หรือลมมีพิษเพียงดังศัสตราพึง
กำเริบ เพราะเหตุนั้น ๆ เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น
เราจะปรารภความเพียร. . . ภิกษุผู้อยู่ป่าเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ควรเป็น
ผู้ไม่ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เรา
อยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว พึงพบสัตว์ร้าย คือสีหะ เสือโคร่ง
เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว สัตว์เหล่านั้นพึงทำร้ายเราถึงตาย เพราะการ
ทำร้ายนั้น เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภ
ความเพียร. . . ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ควรเป็นผู้ไม่
ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เรา
อยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว เราพึงพบคนร้าย ผู้มีกรรมอันทำแล้ว
หรือมีกรรมยังไม่ได้ทำ คนร้ายเหล่านั้นพึงปลงเราจากชีวิต เพราะการปลงนั้น

188
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 189 (เล่ม 36)

เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร. . .
ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เรา
อยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว ในป่าย่อมมีพวกอมนุษย์ดุร้าย
อมนุษย์เหล่านั้นพึงปลงชีวิตเรา เพราะการปลงชีวิตนั้น เราพึงทำกาละ พึงมี
อันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่าเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ควรเป็นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรม
ที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล
ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง.
จบปฐมอนาคตสูตรที่ ๗
อรรถกถาปฐมอนาคตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมอนาคตสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อารญฺญเกน แปลว่า ผู้อยู่ป่า. บทว่า อปตฺตสฺส ได้แก่
เพื่อถึงคุณวิเศษอันต่างโดยฌานวิปัสสนาและมรรคผลที่ยังไม่ถึง. แม้ในบท
ที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า โส มมสฺส อนฺตราโย ความว่า อันตราย
แห่งชีวิต และอันตรายแห่งพรหมจรรย์นั้น จะพึงมีแก่เรา. อันตรายแห่ง

189
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 190 (เล่ม 36)

สวรรค์และอันตรายแห่งมรรค จะพึงมีแก่ภิกษุผู้ทำกาลกิริยา [ตาย] เยี่ยงปุถุชน.
คำว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถของตนเอง.
บทว่า วิริยํ อารภามิ ได้แก่ เราจะทำความเพียร ๒ อย่าง. บทว่า
สตฺถกา ได้แก่ ลมอันตัดที่ต่อและเส้นเอ็น ดุจศัสตรา. บทว่า วาเฬหิ
แปลว่า หยาบช้า. บทว่า มาณเวหิ ได้แก่โจร. ในคำว่า กตกมฺเมหิ วา
อกตกมฺเมหิ วา นี้ โจรทั้งหลายผู้ออกไปทำโจรกรรมแล้ว ชื่อว่า ผู้ทำกรรม
แล้ว ผู้ออกไปเพื่อทำโจรกรรม [พยายาม] ชื่อว่า ผู้ยังไม่ได้ทำกรรม.
บรรดาโจร ๒ พวกนั้น เหล่าโจรถือเอาเลือดในคอของสัตว์ทั้งหลาย กระทำ
การเซ่นเทวดา ชื่อว่ากระทำกรรมแล้ว เพราะกรรมสำเร็จแล้ว. เหล่าโจร
กระทำการเช่นเสียก่อน ด้วยคิดว่า กรรมของเราจักสำเร็จผลด้วยวิธีอย่างนี้
ชื่อว่า ยังไม่กระทำกรรม. ทรงหมายเอาข้อนี้ จึงตรัสว่า โจรเหล่านั้นพึง
ปลิดชีวิตเราเสียดังนี้. บทว่า วาฬาอมนุสฺสา ได้แก่ เหล่าอมนุษย์มียักษ์
เป็นต้น ที่หยาบช้าร้ายกาจ.
จบอรรถกถาปฐมอนาคตสูตรที่ ๗
๘. ทุติยอนาคตสูตร
ว่าด้วยภัยในอนาคต ๕ ประการ
[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคต ๕ ประการนี้
ก็ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ภัย
๕ ประการเป็นไฉน คือ

190
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 191 (เล่ม 36)

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เรายังเป็น
หนุ่มแน่น มีผมดำสนิท ประกอบด้วยความเป็นหนุ่มอันเจริญ ตั้งอยู่ใน
ปฐมวัย ถึงกระนั้น ก็มีสมัยที่ชราย่อมจะถูกต้องกายนี้ได้ ก็ผู้ที่แก่แล้ว ถูกชรา
ครอบงำแล้ว จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำได้ง่าย จะเสพ
เสนาสนะอันสงัด คือ ป่า และป่าชัฏ ก็ไม่ใช่ทำได้ง่าย ก่อนที่ธรรมอันไม่
น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้นจะมาถึงเรา เราจะรีบปรารภความเพียร
เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรม
ที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง เสียก่อนทีเดียว ซึ่งเราประกอบแล้ว แม้เป็นผู้ชราก็จักอยู่
สบาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ควรเป็นผู้ไม่
ประมาทมีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุ
ธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เรามีอาพาธ
น้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอ ไม่
เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ขนาดกลาง ควรแก่การบำเพ็ญเพียร แต่ย่อมมีสมัยที่
พยาธิจะถูกต้องกายนี้ ก็ผู้ที่ป่วยไข้อันความป่วยไข้ครอบงำแล้ว จะมนสิการ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทำได้ง่าย. . . ซึ่งเราประกอบแล้ว เเม้ป่วยไข้
ก็จักอยู่สบาย ภิกษุเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แล ข้าวกล้าดี
บิณฑบาตก็หาได้ง่าย สะดวกแก่การแสวงหาเลี้ยงชีพ แต่ก็ย่อมมีสมัยที่มี
ข้าวแพง ข้าวกล้าไม่ดี บิณฑบาตหาได้ยาก ไม่สะดวกแก่การแสวงหาเลี้ยงชีพ
อนึ่ง ในสมัยข้าวแพง พวกมนุษย์ย่อมหลั่งไหลไปในที่ที่มีอาหารดี ในที่นั้น
ย่อมมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ มีการอยู่พลุกพล่านกัน เมื่อมีการอยู่คลุกคลี
ด้วยหมู่คณะ อยู่พลุกพล่านกัน จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่

191
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 192 (เล่ม 36)

ทำได้ง่าย. . . ซึ่งเราประกอบแล้ว ก็จักอยู่สบายแม้ในเวลาทุพภิกขภัย ภิกษุ
ผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แล มนุษย์
ทั้งหลายย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมต่อกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดังน้ำนม
กับน้ำ มองดูกันด้วยนัยน์ตาแสดงความรักอยู่ แต่ย่อมมีสมัยที่มีภัย มีความ
ปั่นป่วนในดง ประชาชนวุ่นวาย และเมื่อมีภัย พวกมนุษย์ย่อมหลั่งไหลไปใน
ที่ซึ่งปลอดภัย ในที่นั้นย่อมมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ มีการอยู่พลุกพล่านกัน
เมื่อมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อยู่พลุกพล่านกัน จะมนสิการคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำได้ง่าย. . . ซึ่งเราประกอบแล้วก็จักอยู่สบายแม้ในสมัย
ที่มีภัย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แล สงฆ์เป็นผู้
พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมต่อกัน ไม่วิวาทกัน มีอุเทศร่วมกัน อยู่ผาสุก
แต่ก็ย่อมมีสมัยที่สงฆ์แตกกัน ก็เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว จะมนสิการคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำได้ง่าย จะเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า และป่าชัฏ
ก็ไม่ใช่ทำได้ง่าย ก่อนที่ธรรมอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้น
จะมาถึงเรา เราจะรีบปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุ
ธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ซึ่งเราประกอบ
แล้ว ก็จักอยู่สบายแม้ในเมื่อสงฆ์แตกกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัย
ในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่
เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรม
ที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง.

192