No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 173 (เล่ม 36)

๕. ปฐมโยธาชีวสูตร
ว่าด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวก
[๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้น
เท่านั้น ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ นักรบ
อาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็
อดทนได้ แต่พอเห็นยอดธงข้าศึกเข้าเท่านั้น ย่อมหยุดนิ่ง สะทก-
สะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้
เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อด
ทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แต่พอได้ยินเสียงกึกก้องของ
ข้าศึกเข้าเท่านั้น ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท่าน ไม่สามารถเข้ารบได้
นักรบอาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่
ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็
อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึก
ก็อดทนได้ แต่ว่าย่อมขลาดสะดุ้งต่อการสัมปหารของข้าศึก นักรบ
อาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็
อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องข้าศึก
ก็อดทนได้ อดทนต่อการสัมปหารของข้าศึกได้ เขาชนะสงครามนั้นแล้ว

173
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 174 (เล่ม 36)

เป็นผู้พิชิตสงคราม ยึดครองค่ายสงครามนั้นไว้ได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้
เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๕ มีปรากฏอยู่ในโลก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เปรียบด้วยหักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏ
อยู่ในพวกภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกัน ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทก-
สะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งความเป็นผู้
ทุรพลในสิกขาบอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ. อะไรเป็นฝุ่นฟุ้งขึ้นของเธอ
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น มีหญิงหรือ
กุมารีรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงามอย่างยิ่ง เธอได้ฟัง
ดังนั้นแล้วย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้
ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ นี้
ชื่อว่า ฝุ่นฟุ้งขึ้นของเธอ นักรบอาชีพนั้นเห็น ฝุ่นฟุ้งขึ้นเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง
สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๑ มี
ปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แต่ว่าเธอเห็น
ยอดธงของข้าศึกเข้าเท่านั้น ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถ
จะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอก
คืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ อะไรชื่อว่าเป็นยอดธงของข้าศึกของเธอ คือ ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือนิคมชื่อโน้น มีหญิงหรือกุมารีรูปงาม
น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงามอย่างยิ่ง แต่ว่าเธอย่อมได้เห็น
ด้วยตนเองซึ่งหญิงหรือกุมารีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณ

174
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 175 (เล่ม 36)

งามอย่างยิ่ง เธอเห็นแล้วย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะ
สืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืน
สิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ นี้ชื่อว่ายอดธงของข้าศึกของเธอ นักรบอาชีพ
นั้นเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แต่พอเห็นยอดธงของข้าศึกเข้าเท่านั้นย่อมหยุด
นิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบ
ฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ
จำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธง
ของข้าศึกก็อดทนได้ แต่พอเธอได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกข้าเท่านั้น
ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้
ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ อะไร
ชื่อว่าเป็นเสียงกึกก้องของข้าศึกของเธอ คือ มาตุคามเข้าไปหาภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้หรือเรือนว่างเปล่า แล้วย่อมยิ้มแย้ม ปราศรัย กระซิก
กระซี้ เย้ยหยัน เธอถูกมาตุคามยิ้มแย้ม ปราศรัย กระซิกกระซี้ เย้ย
หยันอยู่ ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์
ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหิน-
เพศ นี้ชื่อว่าเสียงกึกก้องของข้าศึกของเธอ นักรบอาชีพนั้นแม้เห็นฝุ่น
ฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แต่พอได้ยินเสียงกึกก้อง
ของข้าศึกเข้าเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด
เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคล
ผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธง
ของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ แต่ว่าย่อม

175
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 176 (เล่ม 36)

ขลาดต่อการสัมปหารของข้าศึก อะไรชื่อว่าเป็นการสัมปหารของข้าศึกของ
เธอ คือ มาตุคามเข้าไปหาภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือน
ว่างเปล่า แล้วย่อมนั่งทับ นอนทับ ข่มขืน เธอถูกมาตุคามนั่งทับ นอนทับ
ข่มขืนอยู่ ไม่บอกคืนสิกขา ไม่คำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพล ย่อมเสพเมถุน-
ธรรม นี้ชื่อว่า การสัมปหารของข้าศึกของเธอ นักรบอาชีพนั้นแม้
เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียง
กึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ แต่ว่าย่อมขลาดต่อการสัมปหารของข้าศึก แม้ฉัน
ใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคล
ผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธง
ของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ อดทนการ
สัมปหารของข้าศึก เขาชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิตสงคราม ยึดครอง
ค่ายสงครามนั้นไว้ได้ อะไรชื่อว่าชัยชนะในสงครามของเธอ คือมาตุคามเข้า
ไปหาภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่า แล้วย่อมนั่ง
ทับ นอนทับ ข่มขืน เธอถูกมาตุคามนั่งทับ นอนทับข่มขืนอยู่ ไม่พัวพัน
ปลดเปลื้อง หลีกออกได้ แล้วหลีกไปตามประสงค์ เธอย่อมเสพเสนา-
สนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง
ลอมฟาง เธออยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่า ย่อมนั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอย่อมละอภิชฌาในโลกเสีย มีจิตปราศจาก
อภิชฌาอยู่ ชำระจิติให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา เธอย่อมละความประทุษร้าย คือ
พยาบาท มีจิตไม่พยาบาทอยู่ เป็นผู้มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง
ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ พยาบาท เธอย่อมละถีนมิทธะ
ปราศจากถีนมิทธะอยู่ เป็นผู้มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะ ชำระจิตให้

176
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 177 (เล่ม 36)

บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ เธอย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะ มีจิตไม่ฟุ้งซ่านอยู่ เป็น
ผู้มีจิตสงบ ณ ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ เธอย่อมละ
วิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามพ้นวิจิกิจฉาอยู่ หมดความสงสัยในธรรมทั้งหลาย ชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา เธอละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมอง
แห่งใจ ทำปัญญาให้ทุรพลได้แล้ว สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มี
อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มี
กิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว
อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เธอย่อมรู้ชัดตามความ
เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ขอปฏิบัติให้ถึงความดับ
อาสวะ เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตของเธอย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ
แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้
ว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก นี้ชื่อว่า ชัยชนะใน
สงครามของเธอ นักรบอาชีพนั้น แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็น
ยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ อดทน
ต่อการสัมปหารของข้าศึกได้ เขาชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิตสงครามแล้ว
ยึดครองค่ายสงครามนั้นไว้ได้ แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๕
มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล
มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
จบปฐมโยธาชีวสูตรที่ ๕

177
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 178 (เล่ม 36)

อรรถกถาปฐมโยธาชีวสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมโยธาชีวสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โยธาชีวา ได้แก่ ผู้อาศัยการรบเลี้ยงชีพ [ทหารอาชีพ]
บทว่า รชคฺคํ ได้แก่ กลุ่มละอองที่ฟุ้งขึ้นจากแผ่นดินที่แตกกระจาย เพราะ
การเหยียบย้ำด้วยเท้าของช้างม้าเป็นต้น. บทว่า น สนฺถมฺภติ ได้แก่ ยืน
ปักหลักอยู่ไม่ได้. บทว่า สหติ รชคฺคํ ได้แก่ แม้เห็นกลุ่มละอองก็อดกลั้น.
บทว่า ธชคฺคํ ได้แก่ ยอดธงที่เขายกขึ้นบนหลังช้างม้าเป็นต้น และบนรถ
ทั้งหลาย. บทว่า อุสฺสาทนํ ได้แก่ เสียงกึกก้องอื้ออึงของช้าง ม้า รถ และ
ของหมู่ทหาร. บทว่า สมฺปหาเร ได้แก่ การประหัตประหารแม้ขนาดเล็กน้อย
ที่มาถึงเข้า. บทว่า หญฺญติ ได้แก่ เดือดร้อน คับแค้นใจ. บทว่า พฺยาปชฺ-
ชติ ได้แก่ ถึงวิบัติ ละปกติภาพไป. บทว่า สหติ สมฺปหารํ ได้แก่
แม้ประสบการประหาร ๒-๓ ครั้งก็ทน ก็อดกลั้นได้.
บทว่า ตเมว สงฺคามสึสํ ได้แก่ สถานที่ตั้งค่ายชัยภูมิ [สนามรบ]
นั้นนั่นแหละ. บทว่า อชฺฌาวสติ ได้แก่ ครอบครองอยู่ประมาณ ๗ วัน
[สัปดาห์]. ถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะว่า เพื่ออุปการะบำรุงผู้
ต้องอาวุธบาดเจ็บ เพื่อรู้ความชอบแห่งหน้าที่ที่ปฏิบัติมาแล้ว จะได้ปูนบำเหน็จ
ตำแหน่ง และเพื่อเสวยสุขในความเป็นใหญ่ [ได้ชัยชนะ].
เพราะเหตุที่ พระศาสดาไม่ทรงมีกิจหน้าที่ ด้วยเหล่านักรบทั้งหลาย
แต่ทรงนำข้ออุปมานี้มา เพื่อทรงแสดงบุคคล ๕ จำพวกเห็นปานนั้นในพระ-
ศาสนานี้ ฉะนั้น บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงบุคคลเหล่านั้น จึงตรัสว่า เอวเมว
โข เป็นอาทิ. ในคำนั้น บทว่า สํสีทติ ได้แก่ ระทดระทวย เข้าไปใน

178
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 179 (เล่ม 36)

มิจฉาวิตก. บทว่า น สกฺโกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺตาเนตุํ ได้แก่ คุ้มครอง
พรหมจริยวาส การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ที่ยังไม่ขาดสายไว้ไม่ได้. บทว่า
สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา ได้แก่ ประกาศความถอยกำลังในสิกขา. ด้วย
บทว่า กิมสฺส รชคฺคสฺมึ ตรัสว่า อะไร ชื่อว่า ปลายผงละอองของบุคคลนั้น.
บทว่า อภิรูปา แปลว่า งดงาม. บทว่า ทสฺสนียา ได้แก่ ควร
แก่การชม. บทว่า ปาสาทิกา ได้แก่ นำความแจ่มใสมาให้จิต โดยการเห็น
เท่านั้น. บทว่า ปรมาย ได้แก่ สูงสุด. บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย ได้แก่
ด้วยผิวพรรณแห่งสรีระ และด้วยทรวดทรงแห่งอวัยวะ. บทว่า โอสหติ
แปลว่า ทน. บทว่า อุลฺลปติ แปลว่า กล่าว. บทว่า อุชฺชคฺฆติ ได้แก่
ปรบมือหัวเราะลั่น. บทว่า อุปผณฺเฑติ ได้แก่ เยาะเย้ย. บทว่า อภินิ-
สีทติ ได้แก่ นั่งชิดกัน หรือนั่งร่วมที่นั่งกัน. แม้ในบทที่สองก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อชฺโฌตฺถรติ แปลว่า ทับ. บทว่า วินิเวเฐตฺวา วินิโม-
เจตฺวา ได้แก่ ปลดและปล่อยมือของหญิงนั้น จากที่ที่จับไว้. คำที่เหลือใน
ข้อนั้น มีความง่ายทั้งนั้นแล. พระสูตรนี้ตรัสทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะ.
จบอรรถกถาปฐมโยธาชีวสูตรที่ ๕

179
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 180 (เล่ม 36)

๖. ทุติยโยธาชีวสูตร
ว่าด้วยนักรบและภิกษุ ๕ พวก
[๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่
ในโลก ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ นักรบอาชีพบางคนในโลกนี้ ถือดาบและโล่
ผูกสอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายามรบในสนาม
รบนั้น พวกข้าศึกย่อมฆ่าเขาตายทำลายเขาได้ นักรบอาชีพบางคนแม้เช่นนี้ก็
มีอยู่ในโลกนี้ นี้เป็นนักรบอาชีพจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางคนในโลกนี้ ถือดาบและโล่ ผูก
สอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายามรบในสนามรบ
นั้น พวกข้าศึกย่อมทำร้ายเขาให้บาดเจ็บ พวกของเขาย่อมนำเขาออกมาส่งไป
ถึงหมู่ญาติ เขากำลังถูกนำไปยังไม่ถึงหมู่ญาติ ทำกาละเสียในระหว่างทาง
นักรบอาชีพบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในโลกนี้ นี้เป็นนักรบอาชีพจำพวกที่ ๒
มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางคนในโลกนี้ ถือดาบและโล่ ผูก
สอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายามรบในสนามรบ
นั้น พวกข้าศึกย่อมทำร้ายเขาให้บาดเจ็บ พวกของเขาย่อมนำเขาออกมาส่งไป
ถึงหมู่ญาติ หมู่ญาติย่อมพยาบาลรักษาเขา เขาอันหมู่ญาติพยาบาลรักษาอยู่
ได้ทำกาละด้วยอาพาธนั้น นักรบอาชีพบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในโลกนี้ นี้เป็น
นักรบอาชีพจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางคนในโลกนี้ ถือดาบและโล่ ผูก
สอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายามรบในสนามรบ

180
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 181 (เล่ม 36)

นั้น พวกข้าศึกย่อมทำร้ายเขาให้บาดเจ็บ พวกของเขาย่อมนำเขาออกมาส่งไป
ถึงหมู่ญาติ หมู่ญาติย่อมพยาบาลรักษาเขา เขาอันหมู่ญาติพยาบาลรักษาอยู่
ก็ได้หายจากอาพาธนั้น นักรบอาชีพบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในโลกนี้ นี้เป็น
นักรบอาชีพจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางคนในโลกนี้ ถือดาบและโล่ ผูก
สอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิต
สงคราม ยึดครองค่ายสงครามไว้ได้ นักรบอาชีพบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ใน
โลกนี้ นี้เป็นนักรบอาชีพจำพวกที่ ๕ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก.
บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ
ฉันนั้นเหมือนกัน ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยบ้าน
หรือนิคมบางแห่งอยู่ ครั้นเวลาเช้า เธอนุ่งสบงถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไป
ยังบ้านหรือนิคมนั้นเพื่อบิณฑบาต ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา ไม่รักษาจิต
มีสติไม่ตั้งมั่น ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอได้เห็นมาตุคามนุ่งห่มลับ ๆ ล่อ ๆ ใน
บ้านหรือในนิคมนั้น เพราะเห็นมาตุคามนุ่งห่มลับ ๆ ล่อ ๆ ราคะย่อมขจัดจิต
ของเธอ เธอมีจิตอันราคะขจัดแล้ว ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำให้แจ้งซึ่งความ
ทุรพล เสพเมถุนธรรม นักรบอาชีพนั้นถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่ง
แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายามรบในสนามรบนั้น พวกข้าศึก
ย่อมฆ่าเขาตาย ทำลายเขาได้ แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบ
อาชีพจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมอาศัยบ้านหรือนิคมบางแห่งอยู่ ครั้น
เวลาเช้า เธอนุ่งสบงถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปยังบ้านหรือนิคมนั้นเพื่อ

181
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ – หน้าที่ 182 (เล่ม 36)

บิณฑบาต ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา ไม่รักษาจิต มีสติไม่ตั้งมั่น ไม่
สำรวมอินทรีย์ เธอได้เห็นมาตุคามนุ่งห่มลับ ๆ ล่อ ๆ ในบ้านหรือนิคมนั้น
เพราะเห็นมาตุคามนุ่งห่มลับ ๆ ล่อ ๆ ราคะย่อมขจัดจิตของเธอ เธอมีจิต
อันราคะขจัดแล้ว ย่อมเร่าร้อนกาย เร่าร้อนจิต เธอจึงคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น
เราควรไปอารามนอกพวกภิกษุว่า อาวุโส ข้าพเจ้าถูกราคะย้อมแล้ว ถูกราคะ
ครอบงำแล้ว ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์สืบต่อไปได้ จักทำให้แจ้งซึ่ง
ความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ เธอกำลัง
เดินไปอาราม ยังไม่ทันถึงอาราม ก็ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา
บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ ในระหว่างทาง นักรบอาชีพนั้นถือดาบ
และโล่ ผูกสอดธนูและแล่ง แล้วเข้าสนามรบ เขาย่อมขะมักเขม้นพยายาม
รบในสนามรบนั้น พวกข้าศึกย่อมทำร้ายเขาให้บาดเจ็บ พวกของเขาย่อมนำ
เขาออกมาส่งไปถึงหมู่ญาติ เขากำลังถูกนำไปยังไม่ถึงหมู่ญาติ ทำกาละเสียใน
ระหว่างทาง แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้
ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๒ มีปรากฏ
อยู่ในพวกภิกษุ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมอาศัยบ้านหรือนิคมบางแห่งอยู่ ครั้นเวลา
เช้า เธอนุ่งสบงถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปยังบ้านหรือนิคมนั้นเพื่อบิณฑบาต
ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา. . . บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ เธอ
ไปสู่อารามบอกพวกภิกษุว่า อาวุโส ข้าพเจ้าถูกราคะย้อมแล้ว. . . บอกคืน
สิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ พวกเพื่อนพรหมจรรย์จึงกล่าวสอน พร่ำสอน
เธอว่า อาวุโส กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีความยินดีน้อย
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษยิ่งใหญ่ กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่าเปรียบด้วยร่างกระดูก มีทุกข์มาก. . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า

182