No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 377 (เล่ม 35)

ท่านเข้าไปถึงที่ภิกษุณีนั้นแล้ว นั่ง ณ อาสนะที่เขาจัดไว้ ครั้นนั่งแล้วจึงกล่าว
กะภิกษุณีนั้นว่า
ดูก่อนน้องหญิง ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยอาหาร เธอพึงอาศัยอาหาร
ละอาหารเสีย
ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย
ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยนานะ เธอพึงอาศัยมานะละมานะเสีย
ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยเมถุน ควรละเมถุนนั้นเสีย เมถุนนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ชักสะพานเสีย
ดูก่อนน้องหญิง ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยอาหาร
เธอพึงอาศัยอาหารละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าวแล้วน้องหญิง
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงกลืนกินอาหาร มิใช่
บริโภคเพื่อเล่น มิใช่เพื่อเมา มิใช่เพื่อประดับ มิใช่เพื่อประเทืองผิว เพียง
เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่อยังชีวิตให้เป็นไป เพื่อระงับความกระหายหิว
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่า ด้วยการกินอาหารนี้ เราจักระงับ
เวทนาเก่าด้วย จักไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย ความเป็นไปได้ ความ
ไม่มีโทษ และความอยู่ผาสุกจักมีแก่เรา ต่อมา ภิกษุนั้นก็อาศัยอาหารละอาหาร
เสีย ดูก่อนน้องหญิง ข้อที่เรากล่าวว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยอาหาร
เธอพึงอาศัยอาหารละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยข้อนี้แลกล่าวแล้ว
ก็ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหา
เสีย นี้ เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ได้ยินข่าวว่า
ภิกษุชื่อนั้น เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่ เธอมี
ความปรารถนาว่า เมื่อไรนะ เราจักทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ ฯลฯ

377
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 378 (เล่ม 35)

สำเร็จอยู่ในปัจจุบันบ้าง ต่อมาเธอก็อาศัยตัณหาละตัณหาเสีย น้องหญิง
ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย นี้
เราอาศัยข้อนี้แลกล่าวแล้ว
ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยมานะ บุคคลพึงอาศัยมานะละมานะ
เสีย นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ได้ยินข่าวว่า
ภิกษุชื่อนั้น เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
ฯลฯ สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่ เธอคิด (เปรียบเทียบ) ว่า ที่ท่านผู้นั้นยังทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ ก็เราเป็น
ไรเล่า ต่อมา เธอก็อาศัยมานะละมานะได้ น้องหญิง ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิด
เป็นมาด้วยมานะ บุคคลพึงอาศัยมานะละมานะเสีย นั้น เราอาศัยข้อนี้แล
กล่าวแล้ว
ดูก่อนน้องหญิง ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยเมถุน ต้องละเมถุนนั้น
เมถุนนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ชักสะพานเสีย
พอพระอานนท์กล่าวจบความนี้ลง ภิกษุณีรูปนั้นลุกขึ้นลงจากเตียง
ห่มผ้าเฉวียงบ่า หมอบลงแทบเท้าพระอานนท์ กล่าวคำขอขมาว่า ข้าแต่พระ
ผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ความผิด (ฐานอคารวะ) ได้เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้ว โดยที่เขลา
โดยที่หลง โดยที่ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพเจ้าได้การทำอย่างนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้า
อานนท์จงยกโทษ เพื่อข้าพเจ้าจะสังวรต่อไป
พระอานนท์กล่าวว่า เอาเถอะ น้องหญิง ความผิดเกิดแก่เธอแล้ว
โดยที่เขลา โดยที่หลง โดยที่ไม่ฉลาด ซึ่งเธอได้กระทำอย่างนี้ เมื่อเธอเห็น
ความผิดแล้วทำคืนตามวิธีที่ชอบ เราย่อมยกโทษให้ อันการที่เห็นความ
ผิดแล้วทำคืนตามวิธีที่ชอบ ถึงความสังวรต่อไป นั่นเป็นความเจริญในวินัย
ของพระอริยะ.
จบภิกขุนีสูตรที่ ๙

378
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 379 (เล่ม 35)

อรรถกถาภิกขุนีสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในภิกขุนีสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอหิ ตฺวํ ได้แก่ ภิกษุณีมีจิตปฏิพัทธ์ในพระเถระ จึงกล่าว
อย่างนี้ เพื่อส่งบุรุษนั้นไป. บทว่า สสีสํ ปารุปิตฺวา ได้แก่ คลุมกาย
ตลอดศีรษะ. บทว่า มญฺจเก นิปชฺชิ ได้แก่ ภิกษุณีรีบลาดเตียงแล้วนอน
บนเตียงนั้น. บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระอานนท์สังเกตอาการของ
ภิกษุณีนั้น. จึงได้กล่าวกะภิกษุณีนั้น เพื่อแสดงอสุภกถาโดยนิ่มนวล เพื่อให้
ภิกษุณีละความโลภ.
บทว่า อาหารสมฺภูโต ได้แก่ ร่างกายนี้เกิดเป็นมาเพราะอาหาร
คือเจริญขึ้นเพราะอาศัยอาหาร. บทว่า อาหารํ นิสฺสาย อาหารํ ปชหติ
ความว่า บุคคลอาศัยกวฬีการาหารอันเป็นปัจจุบัน เสพอาหารนั้นโดยแยบคาย
อย่างนี้ ย่อมละอาหารกล่าวคือกรรมเก่า พึงละตัณหา อันเป็นความใคร่ใน
กวฬีการาหารแม้อันเป็นปัจจุบัน. บทว่า ตณฺหํ ปชหติ ความว่า บุคคล
อาศัยตัณหาอันเป็นปัจจุบันที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ ในบัดนี้ ย่อมละบุพตัณหา
อันมีวัฏฏะเป็นมูล. ถามว่า ก็ตัณหาอันเป็นปัจจุบันนี้เป็นกุศลหรืออกุศล.
ตอบว่า เป็นอกุศล. ถามว่า ควรเสพหรือไม่ควรเสพ. ตอบว่า ควรเสพ.
ถามว่า จะชักปฏิสนธิมาหรือไม่ชักมา. ตอบว่า ไม่ชักมา. แต่ควรละความใคร่
ในตัณหาที่ควรเสพ อันเป็นปัจจุบันแม้นี้เสียทีเดียว. บทว่า กิมงฺคํ ปน
ในบทว่า โส หิ นาม อายสฺมา อาสวานํ ขยา ฯเปฯ อุปสมฺปชฺช
วิหริสฺสติ กิมงฺคํ ปนาหํ นี้ นั่นเป็นความปริวิตกถึงเหตุ. ท่าน
อธิบายข้อนี้ไว้ว่า ภิกษุนั้นจักทำอรหัตผลให้แจ้งอยู่ ด้วยเหตุไรเราจึงจักไม่

379
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 380 (เล่ม 35)

ทำให้แจ้งอยู่เล่า แม้ภิกษุนั้น ก็เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เราก็
เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน อรหัตผลนั้น จักเกิดแก่เราบ้าง.
บทว่า มานํ นิสฺสาย ได้แก่อาศัยมานะที่ควรเสพอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้.
บทว่า มานํ ปชหติ ได้แก่บุคคลละบุพมานะอันมีวัฏฏะเป็นมูล. อธิบายว่า
ก็บุคคลนั้น อาศัยมานะใดละมานะนั้นได้ แม้มานะนั้นก็เป็น อกุศล ควรเสพ
และไม่ชักปฏิสนธิมาดุจตัณหา แต่ควรละความใคร่แม้ในมานะนั้นเสีย. บทว่า
เสตุฆาโต วุตฺโต ภควตา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพุทธะ
ตรัสสอนให้ทำลายทาง คือ ทำลายปัจจัยเสีย. เมื่อพระเถระยักเยื้องเทศนาด้วย
องค์ ๔ เหล่านี้แล้ว ฉันทราคะ อันปรารภพระเถระเกิดขึ้นแก่ภิกษุณีนั้นได้หมด
ไปแล้ว. แม้ภิกษุณีนั้นก็ขอโทษที่ล่วงเกิน เพื่อให้พระเถระยกโทษให้. แม้
พระเถระก็รู้โทษที่ล่วงเกินของภิกษุณีนั้น. เพื่อแสดงถึงข้อนั้นท่านจึงกล่าว
คำเป็นอาทิว่า อถโข สา ภิกฺขุนี ดังนี้.
จบอรรถกถาภิกขุนีสูตรที่ ๙
๑๐. สุคตสูตร
ว่าด้วยแบบแผนคำสั่งสอนของพระสุคต
[๑๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระสุคตก็ดี วินัยพระสุคตก็ดี ยัง
ประดิษฐานอยู่ในโลก อันนั้นเป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่คนมาก เพื่อความสุขของ
คนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เป็นความเจริญ เป็นผลดี เป็นความสุขแก่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

380
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 381 (เล่ม 35)

ก็พระสุคตเป็นไฉน ? คือ ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ (อรหํ) เป็น
พระอรหันต์ (สมฺมาสมฺพุทฺโธ) เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ (วิชฺชาจรณ-
สมฺปนฺโน) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (สุคโต) เป็นผู้ไปดี
(โลกวิทู) เป็นผู้รู้แจ้งโลก (อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ) เป็นสารถีฝึก
คนไม่มีใครยิ่งกว่า (สตฺถา เทวมนุสฺสานํ) เป็นผู้สอนเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย (พุทฺโธ) เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว (ภควา) เป็นผู้
จำแนกธรรม นี้คือ พระสุคต
วินัยพระสุคตเป็นไฉน ? คือพระสุคตนั้นแสดงธรรมงามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้ง
พยัญชนะ บริบูรณ์บริสุทธิ์สิ้นเชิง (ธรรมที่พระสุคตแสดง พรหมจรรย์
ที่พระสุคตประกาศ) นี้คือ วินัยพระสุคต
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระสุคตก็ดี วินัยพระสุคตก็ดี นี้ยังประดิษฐาน
อยู่ในโลก อันนั้นเป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่คนมาก เพื่อความสุขของคนมาก เพื่อ
อนุเคราะห์โลก เป็นความเจริญ เป็นผลดี เป็นความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้พระสัทธรรม
เลอะเลือนอันตรธานไป ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุทั้งหลายในพระวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิดด้วยบท
พยัญชนะที่ใช้ผิด เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ใช้ผิด ย่อมมีนัยอันผิดไปด้วย
นี้ธรรมประการที่ ๑ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป
อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมอัน
ทำความว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับคำสั่งสอนโดยเบื้องขวา นี้ธรรมประการที่ ๒
เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป

381
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 382 (เล่ม 35)

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม
ทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุเหล่านั้นไม่เอาใจใส่บอกสอนแก่ผู้อื่น เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นล่วงไป สูตรก็ขาดผู้เป็นมูล (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป นี้ธรรม
ประการที่ ๓ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ใหญ่ ๆ เป็นผู้สะสมบริขาร ปฏิบัติย่อหย่อน
มุ่งไปทางจะลาสิกขา ทอดธุระในปวิเวก ไม่ทำความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยัง
ไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง
ปัจฉิมชนตา (ประชุมชนผู้เกิดภายหลัง คือสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเป็นต้น )
ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้น ก็พลอยเป็นผู้สะสมบริขาร ปฏิบัติย่อหย่อน
มุ่งไปทางจะลาสิกขา ทอดธุระในปวิเวก ไม่ทำความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยัง
ไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง
ไปตามกัน นี้ธรรมประการที่ ๔ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธาน
ไป
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลธรรม ๔ ประการ เป็นเหตุให้พระสัทธรรม
เลอะเลือนอันตรธาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้พระสัทธรรม
ตั้งอยู่ ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุทั้งหลายในพระวินัยนี้เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาด้วยบทพยัญชนะ
ที่ใช้ถูกต้อง เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ใช้ถูกต้องย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นกัน
นี้ธรรมประการที่ ๑ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป
อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมอัน
ทำความว่าง่าย เป็นผู้อดทน รับคำสั่งสอนโดยเบื้องขวา นี้ธรรมประการที่ ๒
เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป

382
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 383 (เล่ม 35)

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม
ทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุเหล่านั้นเลาใจใส่บอกสอนสูตรแก่ผู้อื่น เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นล่วงไป สูตรก็ไม่ขาดมูล (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป นี้ธรรม
ประการที่ ๓ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ใหญ่ ๆ ไม่เป็นผู้สะสมบริขาร ไม่ปฏิบัติ
ย่อหย่อน เป็นผู้ทอดธุระในการลาสิกขา มุ่งหน้าไปทางปวิเวก ทำความเพียร
เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรม
ที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลัง ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้น
ก็พากันเป็นผู้ไม่สะสมบริขาร ไม่ปฏิบัติย่อหย่อน เป็นผู้ทอดธุระในการลาสิกขา
มุ่งหน้าไปทางปวิเวก ทำความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรม
ที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้งไปตามกัน นี้ธรรม
ประการที่ ๔ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลธรรม ๔ ประการ เป็นเหตุให้พระสัทธรรม
ตั้งอยู่ ไม่เลอะเลือนอันตรธาน.
จบสุคตสูตรที่ ๑๐
จบอินทริยวรรคที่ ๑
อรรถกถาสุคตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุคตสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทุคฺคหิตํ ได้แก่ ถือกันมานอกลำดับ. บทว่า ปริยาปุณนฺติ
ได้แก่ ถ่ายทอดมาคือกล่าว. ก็ในบทว่า ปทพฺยญฺชเนหิ นี้ ท่านกล่าวว่า

383
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 384 (เล่ม 35)

บทของความนั่นแหละเป็นพยัญชนะโดยพยัญชนะ. บทว่า ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส
ได้แก่ใช้ผิด คือตั้งไว้นอกลำดับ. บทว่า อตฺโถปิ ทุนฺนโย โหติ ได้แก่
ไม่อาจจะนำอรรถกถาออกมากล่าวได้. บทว่า ฉินฺนมูลโก ได้แก่ ชื่อว่า
ฉินฺนมูลก เพราะขาดภิกษุผู้เป็นมูล (อาจารย์). บทว่า อปฺปฏิสรโณ คือ
ไม่มีที่พึ่ง. บทว่า พาหุลฺลิกา ได้แก่ ปฏิบัติเพื่อสะสมปัจจัย. บทว่า สาถลิกา
ได้แก่ ถือไตรสิกขาย่อหย่อน. บทว่า โอกฺกมเน ปุพฺพงฺคมา ได้แก่
นิวรณ์ ๕ ท่านเรียกว่า โอกกมนะ เพราะเดินลงต่ำ (เสื่อม) อธิบายว่า
มุ่งไปในโอกกมนะนั้น (มุ่งไปในทางจะลาสิกขา). บทว่า ปวิเวเก ได้แก่
วิเวก ๓. บทว่า นิกฺขิตฺตธุรา ได้แก่ ไม่มีความเพียร. พึงทราบความใน
ที่ทั้งปวงในสูตรนี้ .
จบอรรถกถาสุคตสูตรที่ ๑๐
จบอินทริยวรรควรรณนาที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อินทริยสูตร ๒. ปฐมพลสูตร ๓. ทุติยพลสูตร ๔. ตติยพล-
สูตร ๕. จตุตถพลสูตร ๖. กัปปสูตร ๗. โรคสูตร ๘. ปริหานิสูตร
๙. ภิกขุนีสูตร ๑๐. สุคตสูตร และอรรถกถา.

384
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 385 (เล่ม 35)

ปฏิปทาวรรคที่ ๒
๑. สังขิตตสูตร
ว่าด้วยปฏิปทา ๔
[๑๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ นี้ ปฏิปทา ๔ เป็นไฉน
คือ
ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว
สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า
สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว
ภิกษุทั้งหลาย นี้แล ปฏิปทา ๔.
จบสังขิตตสูตรที่ ๑
อรรถกถาสังขิตตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสังขิตตสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า ปฏิบัติลำบาก เพราะปฏิเสธการปฏิบัติสะดวก ชื่อว่าปฏิปทา
เพราะควรปฏิบัติ. ชื่อว่า ทันธาภิญญา เพราะมีความรู้ได้ช้า โดยความเป็น
ของหนัก เพราะปฏิบัติได้ไม่เร็ว. พึงทราบความแม้ในบททั้งปวงโดยนัยนี้.
จบอรรถกถาสังขิตตสูตรที่ ๑

385
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 386 (เล่ม 35)

๒. วิตถารสูตร
ว่าด้วยปฏิปทา ๔
[๑๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ นี้ ฯลฯ คือ
ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปปาภิญฺญา ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว
สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า
สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว
ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้าเป็นไฉน ? บุคคลบางคนโดยปกติเป็นคน
มีราคะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะเนือง ๆ บ้าง โดยปกติเป็นคน
มีโทสะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะเนือง ๆ บ้าง โดยปกติเป็นคน
มีโมหะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิด เพราะโมหะเนือง ๆ บ้าง อินทรีย์ ๕
คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาก็อ่อน เพราะอินทรีย์ ๕ นี้อ่อน
เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า นี้เรียกว่า ปฏิบัติลำบาก
ทั้งรู้ได้ช้า
ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็วเป็นไฉน บุคคลบางคนโดยปกติเป็นคน
มีราคะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะเนือง ๆ บ้าง โดยปกติเป็นคน
มีโทสะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะเนือง ๆ บ้าง โดยปกติเป็นคน
มีโมหะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโมหะเนือง ๆ บ้าง แต่อินทรีย์ ๕
คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาแก่กล้า เพราะอินทรีย์ ๕ นี้
แก่กล้า เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว นี้เรียกว่า
ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว

386