No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 317 (เล่ม 35)

๑๐. ทุติยภยสูตร
ว่าด้วยภัย ๔ ประการ
[๑๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ ภัย ๔ ประการ
เป็นไฉน คือ อัคคีภัย ๑ อุทกภัย ๑ ราชภัย ๑ โจรภัย ๑ นี้แลภัย
๔ ประการ.
จบทุติยภยสูตรที่ ๑๐
จบเกสีวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. เกสีสูตร ๒. ชวสูตร ๓. ปโตทสูตร ๔ . นาคสูตร ๕. ฐาน-
สูตร ๖. อัปปมาทสูตร ๗ อารักขสูตร ๘. สังเวชนียสูตร ๙. ปฐมภย-
สูตร ๑๐. ทุติยภยสูตร และอรรถกถา.

317
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 318 (เล่ม 35)

ภยวรรคที่ ๓
๑. ปฐมภยสูตร
ว่าด้วยภัย ๔ ประการ
[๑๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ ๔ ประการ
เป็นไฉน? คือ อัตตานุวาทภัย ภัยเกิดแต่การติเตียนตนเอง ๑ ปรานุวาทภัย
ภัยเกิดแต่ผู้อื่นติเตียน ๑ ทัณฑภัย ภัยเกิดแต่อาญา ๑ ทุคติภัย ภัยเกิดแต่
ทุคติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อัตตานุวาทภัย เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแล พึงประพฤติทุจริต
ด้วยกาย พึงประพฤติทุจริตด้วยวาจา พึงประพฤติทุจริตด้วยใจ ไฉนตัวเรา
จะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้เล่าดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่การติเตียนตัวเรา
จึงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต
บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์ นี้เรียกว่าอัตตานุวาทภัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปรานุวาทภัยเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแล พึงประพฤติทุจริต
ด้วยกาย พึงประพฤติทุจริตด้วยวาจา พึงประพฤติทุจริตด้วยใจ ไฉนคนอื่น
จะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้เล่า ดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่คนอื่นติเตียน จึง
ละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต
บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์ นี้เรียกว่าปรานุวาทภัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทัณฑภัยเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ เห็นเจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ
คือโบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง ตัดมือบ้าง

318
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 319 (เล่ม 35)

ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีหม้อเคี่ยวน้ำส้มบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีขอดสังข์ บ้างลงกรรมกรณ์
วิธีปากราหูบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีมาลัยไฟบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีคบมือบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีริ้วส่ายบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีนุ่งเปลือกไม้บ้าง ลงกรรมกรณ์
วิธียืนกวางบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีเหยื่อเกี่ยวเบ็ดบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีเหรียญ-
กษาปณ์บ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีแปรงแสบบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีกางเกวียนบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีตั่งฟางบ้าง ราดด้วยน้ำมันกำลังเดือดบ้างให้สุนัขกัดบ้างให้นอน
หงายบนหลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง บุคคลนั้นจึงมีความปริวิตก
อย่างนี้ว่า เจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ คือ โบยด้วย
แส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง เพราะเหตุแห่งกรรมอันลามกเห็นปานใด
ถ้าเราพึงจะทำกรรมอันลามกเห็นปานนั้นบ้าง เจ้านายจะพึงจับเราไปลงกรรม
กรณ์ต่าง ๆ เห็นปานนั้น คือ โบยด้วยแส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง
เขากลัวต่อภัยคืออาญา ไม่กล้าชกชิงทรัพย์ของผู้อื่น นี้เรียกว่าทัณฑภัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุคติภัยเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากของกายทุจริต ในภายหน้า
ชั่วร้าย วิบากของวจีทุจริตในภายหน้า ชั่วร้าย วิบากของมโนทุจริตในภายหน้า
ชั่วร้าย ก็เราแล พึงประพฤติทุจริตด้วยกาย พึงประพฤติทุจริตด้วยวาจา พึง
ประพฤติทุจริตด้วยใจ ข้อนั้นจะมีอะไรเล่า เมื่อกายแตกตายไป เราจะพึง
เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ย่อมละกายทุจริต
บำเพ็ญกายสุจริต ย่อมละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ย่อมละมโนทุจริต
บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมบริหารคนให้หมดจดได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
ทุคติภัย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล.
จบปฐมภยสูตรที่ ๓

319
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 320 (เล่ม 35)

ภยวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถาปฐมภยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมภยสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺตานุวาทภยํ ได้แก่ ภัยเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ติเตียนตน.
บทว่า ปรานุวาทภยํ ได้แก่ ภัยเกิดจากการติของผู้อื่น. บทว่า ทณฺทภยํ
ได้แก่ ภัยเกิดเพราะอาศัยกรรมกรณ์ ๓๒. บทว่า ทุคฺคติภยํ ได้แก่ ภัย
เกิดเพราะอาศัยอบาย ๔. ในคำเป็นต้นว่า อิทํ วุจฺจติ ภิกฺขเว อตฺตานุ-
วาทภยํ ก่อนอื่นหิริภายในย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้พิจารณาเห็นอัตตานุวาทภัย หิริ
นั้นย่อมยังความสำรวมให้เกิดในไตรทวารของเขา ความสำรวมในไตรทวาร
จัดเป็นจตุปาชิสุทธิศีล เธอตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาย่อม
ตั้งอยู่ในผลอันเลิศ. ส่วนโอตตัปปะภายนอก ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้พิจารณาเห็น
ปรานุวาทภัย และทัณฑภัย โอตตัปปะนั้น ย่อมยังความสำรวมให้เกิดใน
ไตรทวารของเขา. ความสำรวมในไตรทวาร จัดเป็นจตุปาริสุทธิศีล. เธอ
ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาย่อมตั้งอยู่ในผลอันเลิศ. หิริ
ภายในย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้พิจารณาเห็นทุตติภัย หิรินั้นย่อมยังความสำรวมให้เกิด
ในไตรทวารของเขา. ความสำรวมในไตรทวาร จัดเป็นจตุปาริสุทธิศีล.
เธอตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาย่อมตั้งอยู่ในผลอันเลิศ.
จบอรรถกถาปฐมภยสูตรที่ ๑

320
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 321 (เล่ม 35)

๒. ทุติยภยสูตร
ว่าด้วยภัย ๔ ประการ
[๑๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ คนผู้ลงน้ำจะพึง
หวังได้ ๔ ประการเป็นไฉน ? คือ ภัยคือคลื่น ๑ ภัยคือจระเข้ ๑ ภัยคือ
น้ำวน ๑ ภัยคือปลาฉลาม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล คน
ผู้ลงน้ำพึงหวังได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ กุลบุตรบางคนใน
โลกนี้ ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ในธรรมวินัยนี้พึงหวังได้ ฉันนั้น
เหมือนกันแล ประการเป็นไฉน คือ ภัยคือคลื่น ๑ ภัยคือจระเข้ ๑ ภัย
คือน้ำวน ๑ ภัยคือปลาฉลาม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือคลื่นเป็นไฉน
กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เรา
ถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ
ชื่อว่าตนอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉนการกระทำที่สุดแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารี
ตักเตือน สั่งสอนว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลดูอย่างนี้
พึงเหลียวดูอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงสังฆาฏิ
บาตรและจีวรอย่างนี้ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์มีแต่จะ
ควรตัดเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้คราวลูกคราวหลานของเรา สำคัญเราว่า
ควรตักเตือนสั่งสอน เธอโกรธเคืองแค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า
เป็นผู้กลัวต่อภัยคือคลื่น บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัย
คือคลื่นนี้ เป็นชื่อแต่งความโกรธและความแค้นใจ นี้เรียกว่า ภัยคือคลื่น.

321
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 322 (เล่ม 35)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือจระเข้เป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้
ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์
เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ
เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า สิ่งนี้เธอควรเคี้ยว
สิ่งนี้ไม่ควรเคี้ยว สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค สิ่งนี้ควรลิ้ม สิ่งนี้
ไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรเคี้ยว ของ
เป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรเคี้ยว ของเป็นกัปปิยะเธอควรบริโภค ของเป็น
อกัปปิยะเธอไม่ควรบริโภค ของเป็นกัปปิยะเธอควรลิ้ม ของเป็นอกัปปิยะ
เธอไม่ควรลิ้ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรดื่ม ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรดื่ม
เธอควรเคี้ยวในกาล เธอไม่ควรเคี้ยวในวิกาล เธอควรบริโภคในกาล เธอ
ไม่ควรบริโภคในวิกาล เธอควรลิ้มในกาล เธอไม่ควรลิ้มในวิกาล เธอควร
ดื่มในกาล เธอไม่ควรดื่มในวิกาล เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็น
คฤหัสถ์ ปรารถนาสิ่งใดก็เคี้ยวสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่เคี้ยวสิ่งนั้น
ปรารถนาสิ่งใดก็บริโภคสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่บริโภคสิ่งนั้น ปรารถนา
สิ่งใดก็ล้มสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ลิ้มสิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งใดก็ดื่มสิ่งนั้น
ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ดื่มสิ่งนั้น ย่อมเคี้ยวสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็น
อกัปปิยะบ้าง ย่อมบริโภคสิ่งที่เป็นกัปปิยยะบ้าง สิ่งที่ไม่เป็นอกัปปิยะบ้าง
ย่อมลิ้มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมดื่มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง
สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมเคี้ยวในกา ในวิกาลบ้าง ย่อมดื่มในกาลบ้าง
ในวิกาลบ้าง คฤหบดีผู้มีศรัทธาบ้าง ในวิกาลบ้าง ย่อมบริโภคในกาล
บ้าง ในวิกาลบ้าง ย่อมลิ้มในกาลบ้างาย่อมถวายของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภค
แม้ใด อันประณีต ในกลางวัน ในเวลาวิกาลแก่เราทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้

322
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 323 (เล่ม 35)

ย่อมกระทำเสมือนหนึ่งปิดปากแม้ในของเหล่านั้น เธอโกรธเคืองแค้นใจ
บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัยคือจระเข้นี้แล เป็น
ชื่อแห่งความเป็นผู้เห็นแก่ท้อง นี้เรียกว่า ภัยคือจระเข้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือน้ำวนเป็นไฉน ? กุลบุตรบางคนใน
โลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์
มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึง
ปรากฏ เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต
ยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์
เธอเห็นคฤหบดีในบ้านหรือในนิคมนั้น เพียบพร้อมบำเรอคนอยู่ด้วยกามคุณ
๕ เธอคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์เพรียบพร้อม บำเรอคนอยู่ด้วย
กามคุณ ๕ ก็โภคสมบัติในสกุลของเรามีพร้อม เราอาจเพื่อจะบริโภคโภคะ
ทั้งหลายและทำบุญได้ ถ้ากระไร เราพึงบอกคืนสิกขาลาเพศ แล้วบริโภค
โภคะทั้งหลายและทำบุญเถิด เธอย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า
กลัวต่อภัยคือน้ำวน บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัยคือ
น้ำวนนี้ เป็นชื่อของกามคุณ ๕ นี้เรียกว่า ภัยคือน้ำวน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือปลาฉลามเป็นไฉน ? กุลบุตรบางคน
ในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ใน
กองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
จะพึงปรากฏ เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไป
บิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวม
อินทรีย์ เธอเห็นมาตุคามในบ้านหรือในนิคมนั้น นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่ม

323
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 324 (เล่ม 35)

ไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิตของเธอ เพราะเห็นมาตุคามนุ่งไม่เรียบร้อย
หรือห่มไม่เรียบร้อย เธอมีจิตอันราคะรบกวน ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ
ภิกษุนี้เรียกว่า กลัวต่อภัยคือปลาฉลาม บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย คำว่า ภัยคือปลาฉลามนี้เป็นชื่อของมาตุคาม นี้เรียกว่า ภัยคือ
ปลาฉลาม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล กุลบุตรบางคนในโลกนี้
ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ในธรรมวินัยนี้ จะพึงหวังได้.
จบทุติยภยสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุติยภยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยภยสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุทโกโรหนฺตสฺส คือคนผู้ลงสู่น้ำ. บทว่า ปาฏิกงฺขิ-
ตพฺพานิ ได้แก่ พึงปรารถนา. บทว่า สุสุกาภยํ ได้แก่ภัยคือปลาร้าย.
บทว่า มุขาวรณํ มญฺเญ กโรนุติ ความว่า ภิกษุเหล่านั้น ย่อมทำเหมือน
ปิดปาก. บทว่า โอทริกตฺตสฺส แปลว่า ของคนกินจุ เพราะมีต้องใหญ่.
ในบทว่า อรกฺขิเตเนว กาเยน เป็นต้น พึงทราบความดังนี้ เธอมีกาย
ไม่รักษาแล้ว เพราะไม่มีการสำรวม ๓ อย่างในกายทวาร มีวาจาไม่รักษาแล้ว
เพราะไม่มีการสำรวม อย่างในวจีทวาร.
จบอรรถกถาทุติยสูตรที่ ๒

324
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 325 (เล่ม 35)

๓. ปฐมฌานสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้เจริญฌาน ๔ จำพวก
[๑๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจปฐมฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยปฐมฌานนั้น
ตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น น้อมใจไปในปฐมฌานนั้น อยู่จนคุ้นด้วยปฐมฌานนั้น
ไม่เสื่อม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุ
ทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉาน
บ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดำรงอยู่ในชั้นพรหม
นั้นตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้นทั้งหมดให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นความผิดแผกแตกต่าง
กัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติ
มีอยู่.
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความ
ผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดาขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะ
วิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจ
ทุติยฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยทุติยฌานนั้น ตั้งอยู่ในทุติยฌานนั้น
น้อมใจไปในทุติยฌานนั้น อยู่จนคุ้นด้วยทุติยฌานนั้น ไม่เสื่อม เมื่อกระทำ

325
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 326 (เล่ม 35)

กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกอาภัสสระ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
๒ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าอาภัสสระ ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระ
ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณ
อายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความพิเศษผิดแผกแตกต่างกัน ระหว่าง
อริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือในเมื่อคติ อุบัติ มีอยู่.
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลาย
สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข บุคคลนั้นพอใจ
ชอบใจตติยฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยตติยฌานนั้น ตั้งอยู่ในตติยฌาน
นั้น น้อมใจไปในตติยฌานนั้น อยู่จนคุ้นด้วยตติยฌานนั้น ไม่เสื่อม เมื่อ
กระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ๔ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ ปุถุชนดำรงอยู่ใน
ชั้นสุภกิณหะนั้นตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้น
ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วน
สาวกของพระมีพระภาคเจ้า ดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานใน
ภพนั้นเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษ ผิดแผกแตกต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติ มีอยู่.
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์
ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขา

326